ตอนที่ 656 นาง ติดค้างหนี้ชีวิตจีเฉวียนอีกครั้ง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เขาจดจ้องเข้าไปในดวงตาของตู๋กูซิงหลัน ดวงตาดอกท้อระยิบระยับดุจแสงดาว เปล่งประกายพร่างพราวราวดวงดาวที่อยู่เหนืองท้องทะเล 

 

 

สำหรับซือเป่ยแล้ว ในใต้หล้าดวงตาที่งดงามเช่นนี้มีอยู่เพียงคู่เดียวก็พอแล้ว 

 

 

เขารวบรวมพลังทั้งหมดในร่างเอาไว้บนปลายง้าว ง้าวเล่มนี้เคยถูกทำลายลงด้วยฝีมือของซือมั่ว หลังจากที่เขากลับมายังแดนสวรรค์ ก็เบิกเอาทองคำขาวออกมาจากสายธารดวงดาว ใช้จิตวิญญาณของเทพหล่อหลอมอยู่สี่สิบเก้าวัน ยามนี้แค่เขาโบกง้าวด้ามนี้ออกไป ภูเขาและสายน้ำต้องถูกเขย่า แผ่นดินสั่นสะเทือน 

 

 

สำหรับเขาแล้ว ตู๋กูซิงหลันนับว่าแข็งแกร่ง แต่ยังไม่อาจประชันกับเขาได้ 

 

 

บางที หากนางไปฝึกอีกสักหมื่นปี นางก็อาจจะพอประมือกับเขาได้สักรอบ 

 

 

ยามนี้ ยังนับว่าห่างไกลเกินไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถอยหลังออกไป นางถอยไปจนถึงด้านหลังของหงส์แดง 

 

 

แต่ว่าง้าวของซือเป่ยติดตามมายังไม่ทันถึง นางรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งและรุนแรงจนสั่นสะเทือนฟ้าดิน ที่พุ่งใส่ราวกับระเบิดนับพันลูกถล่มเข้ามาอย่างพร้อมเพียงกัน 

 

 

จนทำให้แม้แต่จิตวิญญาณของนางก็ยังพลอยกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงไปด้วย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้ว่า ครั้งก่อนตอนที่พบกันในหุบเขาปีศาจ ซือเป่ยยังไม่ได้เอาจริงกับนาง 

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกระชับไม้คฑาสีดำในมือ ถอยร่างไปจนถึงปลายหางของหงส์แดง ก็เห็นว่าซือเป่ยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา 

 

 

พลังของง้าวสีทองด้ามนั้นเพิ่มพูนเป็นสองเท่าในทันควัน บนตัวง้าวปรากฏแสงสว่างกลุ่มใหญ่ออกมาจากปลายง้าว 

 

 

ง้าวเล่มนั้นยังพุ่งมาไม่ทันถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน แต่แสงที่สว่างออกมาก็ทะลวงผ่านร่างของนางไปจนแทบจะกลายเป็นโปร่งใสอยู่แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะหลบพ้นแล้ว แต่ว่าแสงสว่างนั้นก็ยังบาดลึกลงไปบนท่อนแขนของนางจนกลายเป็นแผลกว้าง 

 

 

เพราะนี้คือดวงวิญญาณ ดังนั้นแม้ว่าจะบาดเจ็บแต่ก็ไม่มีเลือดไหลออกมา 

 

 

“เจ้าไม่มีทางหนีอีกแล้ว” เขาใช้ใบหน้าที่เหมือนกับตู๋กูจุน จดจ้องและมองดูด้วยสายตาเย็นชาอย่างปราศจากน้ำใจไมตรีใดๆ 

 

 

แสงสว่างจากปลายง้าวเล่มนั้นส่องออกไปไกลหลายสิบเมตร เขาบีบคั้นตู๋กูซิงหลันจนหมดสิ้นหนทางหลบหนี 

 

 

เป็นดวงวิญญาณแล้วจะอย่างไร ใต้คมง้าวของเทพสงคราม ไม่มีผู้ใดสามารถมีชีวิตรอดไปได้ แม้แต่จิตวิญญาณก็ต้องสูญสลาย 

 

 

เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็มองดู ด้วยแววตาสะใจ 

 

 

เทพสงครามสมแล้วที่เป็นเทพสงคราม ไหนเลยจะปล่อยให้นางมารจากโลกเบื้องล่างผู้นั้นมากำแหงได้ ไม่สิ มีแต่จะต้องถูบกระหน่ำตีโดยไม่อาจตอบโต้เลยต่างหาก นางได้แต่หลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเท่านั้น แต่ว่านางยังจะหนีไปที่ไหนได้อีก? 

 

 

จุดจบย่อมเป็นจิตวิญญาณแตกสลาย ก็แค่ขึ้นอยู่กับเวลา ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้มองดูท่อนแขนที่บาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ นางกุมคฑาสีดำมะเมื่อมด้ามนั้นเอาไว้ เมื่อซือเป่ยฟาดง้าวลงมาอีกครั้ง ก็ใช้คฑาสีดำขวางเอาไว้ 

 

 

และครั้งนี้ ทั่วทั้งบริเวณรอบประตูสวรรค์ทิศใต้ถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หมอกสีแดงแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง และที่อยู่เบื้องหลังหมอกเหล่านั้น ก็คือดวงตาดอกท้อที่แน่วแน่คู่นั้นของนาง 

 

 

นางยังไม่ได้พบกับจีเฉวียนหรืออาจารย์ที่กลับคืนมาอีกครั้งเลย แล้วไหนเลยจะยอมตายใต้ฝ่ามือของเขาได้กัน? 

 

 

ที่จริงแล้ว นางยังคิดจะสังหารซือเป่ยกับมือมาโดยตลอด 

 

 

หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตนางก็ต้องลากเขาไปตายให้จงได้ 

 

 

แต่ว่าตอนนี้นางไม่อาจทำเช่นนั้น 

 

 

นางจะต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อกลับไปเจอพวกเขา 

 

 

ซือเป่ยแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งถึงขนาดที่จะทำลายนางให้แหลกสลายได้ 

 

 

เหล่าเทพมากมายต่างก็พ่ายแพ้ลงใต้ฝีมือของนาง แม้ว่าในใจของพวกเขาจะมีแต่ความโกรธแค้น แต่ก็ไม่กล้าเยาะเย้ยตู๋กูซิงหลันอย่างโง่ๆอีก 

 

 

ไม้คฑาสีดำในมือของนางช่างพิศดาร ทั้งๆที่มองดูแล้วแสนจะธรรมดาไม่มีสิ่งใดเตะตาทั้งสิ้น แต่ว่าก่อนหน้านี้แม้แต่ดาบคาตานะและค้อนทลายดาราก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ 

 

 

กลุ่มระเบิดแสงที่สว่างจ้าจางหายไป พวกเขาถึงค่อยสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ว่าคฑาสีดำมะเมื่อมด้ามนั้นยังคงสามารถต้านทานง้าวของเทพสงครามเอาไว้ได้จริงๆ 

 

 

ซือเป่ยเองก็มิได้ทำท่าจะประหลาดใจ เพียงแต่เหลือบมองดูคฑาสีดำนั่นอีกครั้ง 

 

 

เขารู้สึกว่ามันช่างดูคุ้นเคย แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน 

 

 

“อาศัยโชคลาภเก็บสมบัติล้ำค่ามาได้ชิ้นหนึ่ง ก็ทำให้เจ้ากล้ามากำแหงถึงเพียงนี้” เขาเอ่ยเสียงเย็นชา 

 

 

จริงอยู่ ว่าคฑาสีดำด้ามนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ ทั้งๆที่ถูกง้าวของเทพสงครามฟันใส่ ก็ยังคงไร้ปัญหา แม้แต่ริ้วรอยสักนิดก็ไม่มี 

 

 

แม้ว่าท่อนแขนของตู๋กูซิงหลันจะชาไปแล้ว แต่มือที่กุมคฑาสีดำเอาไว้ก็ยังไม่ยอมคลายออกแม้แต่น้อย นางเพียงกวาดตาใส่ซือเป่ยอย่างเย็นชาเท่านั้น 

 

 

“เจ้ามันพูดมากเกินไป” 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง ง้าวของซือเป่ยก็บุกเข้ามาอีกครั้ง 

 

 

แรงกดดันครอบคลุมทั่วฟ้า บีบคั้นเสียจนหงส์แดงที่อยู่ใต้ร่างของนางเริ่มแตกร้าวออกมา 

 

 

เหล่าทวยเทพต่างไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แถมตอนนี้ยังพากันถอยห่างออกไปอีกด้วย 

 

 

เทพสงครามลงมือ ย่อมไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาคอยช่วยเหลือ 

 

 

พวกที่เสนอหน้าออกไป มีแต่จะต้องกลายเป็นเถ้าถ่านเท่านั้น 

 

 

ที่ด้านหลังของตู๋กูซิงหลันคือใบมีดแสงที่ฟันลงมาอย่างถี่ยิบของประตูสวรรค์ทิศใต้ เบื้องหน้าของนางคือซือเป่ยและนักรบเทพนับหมื่นคน นางไม่เหลือทางถอยอีกแล้ว 

 

 

เมื่อครู่นางทดลองใช้พลังวิญญาณปลุกเร้าคฑาสีดำ คิดจะดูดซับพลังวิญญาณของซือเป่ย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสำเร็จ  

 

 

ตบะของอีกฝ่ายสูงล้ำเหนือกว่านาง พลังวิญญาณย่อมแข็งแกร่งกว่ามาก 

 

 

คฑาสีดำด้ามนี้นางยังไม่ได้ปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า พลังในการดูดซับมีอยู่ค่อนข้างจำกัด 

 

 

พอเห็นว่าง้าวของเทพสงครามด้ามนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ปิดดวงตาลง หมอกสีแดงรอบกายเปลี่ยนเป็นหมอกสีดำไปในทันที 

 

 

ทันใดนั้น กระแสความเย็นที่เหน็บหนาวก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของนาง 

 

 

ชุดสีแดงโบกโบย เส้นผมสีดำอมเงินพลิ้วไหวไปในอากาศ หมอกสีดำหมุนวนรอบกายก่อนจะพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับพายุหมุนที่มุ่งหน้าเข้าหาซือเป่ย 

 

 

หมอกสีดำที่หนาวเย็นอย่างยิ่งพัดออกไป ทั้งยังได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน ราวกับภูตผีคร่ำครวญ 

 

 

“นาง นาง นาง นี่ก็คือ…..” 

 

 

ชั่วขณะนั้น เหล่าทวยเทพต่างพากันตกตะลึงงัน 

 

 

บนแดนสวรรค์ มีแต่แสงสว่างกระจ่างอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจดจำไม่ได้แล้วว่ากี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยมีพายุสีดำทมึนปรากฏขึ้น 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นหมอกสีดำที่ออกมาจากร่างกายของนางมารผู้นี้ ยังเหน็บหนาวอย่างน่าหวาดกลัว จนรู้สึราวกับว่าผู้คนกำลังถูกลากลงสู่ขุมนรก 

 

 

ในขณะเดียวกันง้าวเทพสงครามของซือเป่ยก็ยังไม่ได้ดึงกลับไป หากแต่ฟาดลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลันแทบจะในเวลาเดียวกัน 

 

 

แต่ในตอนนั้นเอง เงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจกลางของหมอกสีดำ และสกัดพลังของง้าวด้ามนั้นเอาไว้ 

 

 

ซือเป่ยรู้สึกได้ว่าตนเองฟันลงไปโดนบางสิ่ง แต่เมื่อเขามองดูให้ละเอียด ก็ต้องพบว่าหมอกสีดำนั้นมีเงาบุรุษที่ไหนกัน 

 

 

มีแต่ตู๋กูซิงหลันที่เย็นชาประดุจพญามารซิ่วหลัว[1]  

 

 

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่า แหวนบนนิ้วก้อยมือขวาของตู๋กูซิงหลัน ตอนนี้ได้สลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว 

 

 

แหวนวงนั้น คือแหวนที่จีเฉวียนเคยมอบให้แก่นาง แล้วถูกนางเอาไปจำนำ ต่อมาภายหลัง เมื่อจีเฉวียน ‘ตาย’ ไปแล้ว นางก็เก็บมันได้จากในกองขี้เถ้าที่เคยเป็น ‘ร่างกาย’ ของเขา 

 

 

นับแต่นั้นนางก็สวมมันไว้บนนิ้วมาโดยตลอด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน นางมองดูเรือนแหวนที่สลายไปพร้อมๆกับหมอกสีดำ เมื่อครู่นี้….นางมองเห็นเงาร่างร่างหนึ่งอย่างชัดเจนอย่างแน่นอน 

 

 

ถึงแม้ว่าจะมิได้หันร่างกลับมา แต่นางก็จดจำได้ว่านั่น คือจีเฉวียน 

 

 

แม้แต่นางยังไม่เคยรู้เลยว่า ในแหวนวงนี้จะมีพลังส่วนหนึ่งของเขากักเก็บเอาไว้ และในยามที่อันตรายที่สุดนั้น พลังนี้ได้ปกป้องชีวิตของนางเอาไว้อีกครั้ง 

 

 

แน่นอนว่า หากเมื่อครู่จีเฉวียนมิได้ช่วยสกัดพลังขุมนั้นเอาไว้ แม้แต่หมอกสีดำของนางก็คงไม่อาจช่วยปกป้องนางได้อย่างแน่นอน 

 

 

พลังของซือเป่ยแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ความเคลื่อนไหวก็รวดเร็ว ต่อให้นางจะขับเคลื่อนพลังของหยกสรรพชีวิตออกมาในทันที ก็คงจะยังชักช้าไปก้าวหนึ่ง 

 

 

นาง ติดค้างหนี้ชีวิตจีเฉวียนอีกครั้งแล้ว 

 

 

……………….. 

 

 

ขณะเดียวกัน บนดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น บุรุษที่สถิตย์อยู่ในแก่นกลางของดวงดาวดวงนั้น ก็กระพริบตาขึ้นมาเบาๆ 

 

 

แสงเจิดจ้าของสายฟ้าฟาดลงมาบนร่างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาที่งดงามดุจดวงตาหงส์คู่นั้น ในที่สุดก็ลืมขึ้นมาเป็นเส้นบางๆ 

 

 

………………….  

 

 

  

 

 

[1] 修罗: พญามารระดับเทพในยุคบรรพกาล (ภาษาญี่ปุ่น ใช่คำว่า อาชูร่า) มักทดสอบจิตมนุษย์ด้วยการล่อลวงให้ตกในกิเลส