ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงตู้ฉิงในตอนนี้ หากเขาจะไม่ให้คู่พี่น้องสองคนนี้รับรู้ถึงตัวตนของเขาได้มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จำเป็นต้องไปที่เกาะหนานชานเพื่อดูว่าตระกูลหลินที่อยู่บนเกาะนั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาหรือไม่ ทำไมแซ่ของพวกเขามันถึงได้ดูคล้ายกับของเขาแบบนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลของเขากันแน่
เขาไม่ได้ใส่ใจเลยว่าตอนนี้บนเกาะหนานชานนั่นจะมีอะไรเกิดขึ้น
หลินเหรินเจี๋ยและน้องสาวของเขามุ่งหน้ากลับไปที่เกาะหนานชาน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าหลิงตู้ฉิงกำลังบินตามหลังพวกเขาอยู่ไม่ห่างราวกับว่าพวกเขามาด้วยกัน
บรรยากาศทั่วเกาะหนานชานในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด แต่ละคนที่อยู่บนเกาะล้วนแล้วแต่มีสีหน้าตึงเครียด และที่สำคัญในหลาย ๆ จุดของเกาะนั้นยังมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวังราวกับว่าพวกเขากำลังจะถูกศัตรูบุกยังไงหยั่งงั้น
แต่แล้วเมื่อพวกผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเห็นหลิงตู้ฉิง ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าพวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรเลย เพราะพวกเขาเข้าใจว่าคู่พี่น้องน่าจะพาหลิงตู้ฉิงมาด้วยกัน ซึ่งมันคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงตามคู่พี่น้องไปถึงคฤหาสน์ตระกูลหลินได้อย่างสะดวกโดยที่ไม่มีใครหยุดเขาเลยสักคน
จากนั้นเมื่อพวกเขาไปถึงตึกหลักของคฤหาสน์ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ยืนคอยพวกเขาอยู่แล้ว
เมื่อหลินเหรินเจี๋ยเห็นชายวัยกลางคนยืนรอเขาอยู่ เขาก็รีบพูดขึ้นทันที “ท่านพ่อ ข้าได้ยินว่าท่านปู่กำลังตามหาข้างั้นเหรอ?”
หลินเหวินปิงโบกมือขัดหลินเหรินเจี๋ย และพูดว่า “เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง นี่เจ้าพาสหายของเจ้ามาด้วยงั้นเหรอ? ทำไมเจ้าไม่พาเขาไปพักผ่อนที่เรือนรับแขกให้เรียบร้อยก่อน?”
คู่พี่น้องแสดงสีหน้าตกตะลึง จากนั้นพวกเขาหันกลับไปด้านหลัง ซึ่งภาพที่พวกเขาเห็นมันยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกสับสนมากกว่าเดิม
นี่ชายผู้นี้ตามพวกเขามาถึงนี่ได้ไง?
แต่ในระหว่างที่หลินหรูซวนกำลังจะเปิดปากถามว่า หลิงตู้ฉิงตามพวกนางมาทำไม นางกลับถูกพี่ชายของนาง หลินเหรินเจี๋ยพูดขึ้นแทรกก่อนว่า
“หรูซวน เจ้าจงพาสหายของพี่ไปพักผ่อนที่เรือนรับรองแขกก่อน” เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้ามีความหมายแอบซ่อน “เอาไว้เดี๋ยวพี่คุยกับท่านปู่เสร็จพี่จะรีบตามไป”
หลังจากพูดจบ หลินเหรินเจี๋ยก็เดินตามพ่อของเขาไปพับกับปู่ของเขา
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แล้ว หลินหรูซวนก็จ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิง และถามขึ้นเสียงต่ำว่า “นี่เจ้าตามพวกข้ามาที่นี่ทำไม? เจ้าวางแผนอะไรไว้กันแน่?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ข้าจะไปทำอะไรได้ เจ้าไม่เห็นรึไงว่าตระกูลของเจ้ามีผู้เชี่ยวชาญอยู่ตั้งมากมายคอยเฝ้าระวัง เอาล่ะตอนนี้เจ้าจงทำตามคำสั่งของพี่ชายเจ้าก่อนเถอะ รีบพาข้าไปที่เรือนรับรองได้แล้ว ข้าเดินทางมาไกลมากข้าอยากพักผ่อน”
หลินหรูซวนพ่นลมหายใจด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่จากนั้นนางก็ยังพาหลิงตู้ฉิงไปที่เรือนรับรองเพื่อพักผ่อน แต่นางก็ไม่ยอมออกไปจากเรือน นางยังคงยืนจ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิงไม่เบนสายตาไปไหน
“หืม? ทำไมเจ้ายังไม่ออกไปอีก?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
หลินหรูซวนตะคอกกลับด้วยความเดือดดาลจนหน้าอกกระเพื่อม “ที่นี่มันบ้านข้า นี่เจ้ากล้าดียังไงมาไล่ข้าแบบนี้?”
“แต่ตอนนี้เรือนนี้เป็นของข้าและข้าต้องการพักผ่อน” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
“ถ้างั้นข้ายิ่งจำเป็นต้องจับตาดูเจ้าเอาไว้ เจ้ามันน่าสงสัยเกินไป เอ๊ะหรือว่าที่เจ้ามาที่นี่เพราะเจ้าต้องการขโมยของในตระกูลของข้า?” หลินหรูซวนมองหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “ว่าแต่เจ้าติดตามพวกข้ามาที่ได้ยังไงโดยที่ข้ากับพี่ชายข้าไม่รู้ตัวเลย?”
“มันเป็นเพราะข้าเก่งกว่าพวกเจ้ายังไงล่ะ!” หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มีทางพูดอะไรกับหลินหรูซวนแบบนี้แน่นอน
แต่หลังจากที่เขาออกจากอาณาเขตนภารอบนี้มาได้ 200 กว่าปี เขาก็ได้พบปะผู้คนมากมายและแวะสถานที่ต่าง ๆ หลายที่เพื่อพยายามทำความเข้าใจผู้คนปกติ แถมเขายังพยายามเข้าสังคมอีกต่างหาก มันจึงส่งผลให้เขาในตอนนี้นั้นดูเหมือนเป็นคนธรรมดามากยิ่งขึ้น และระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ก็ได้ก้าวมาจนถึงระดับหลุดพ้นสามัญเรียบร้อยแล้ว..
ในความทรงจำของเขา เขาจำได้ว่าอาณาเขตหนานหัวนั้นไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ดังนั้นเพื่อความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเขาจึงลดระดับการบ่มเพาะของตนเองให้ลงมาอยู่ในขอบเขตนภา ซึ่งถ้ามองจากมุมของคนที่อยู่ในอาณาเขตหนานหัวนั้นมันนับได้ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับกลางไม่แข็งแกร่งและไม่อ่อนแอจนน่าเกลียด
เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงโอ้อวดว่าตัวเองเก่งกว่า หลินหรูซวนจึงตะคอกกลับทันทีด้วยสีหน้าดูแคลน “เจ้าเก่งกว่าพวกข้างั้นเหรอ? ในเมื่อเจ้าปากดีนักงั้นมาลองสู้กันหน่อยสักยกที่ข้างนอก!”
“เอางั้นก็ได้!” หลิงตู้ฉิงตอบรับด้วยสีหน้ายินดี “แต่ว่าจะให้สู้กันอย่างเดียวมันคงไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เอาเป็นว่าพวกเรามาวางเดิมพันกันด้วยดีไหม? ไม่สิระดับการบ่มเพาะของเจ้าตอนนี้อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราเท่านั้นเอง ถ้าข้าชนะเจ้า เจ้าจะอ้างรึเปล่าว่าข้าเอาเปรียบเจ้าเรื่องระดับการบ่มเพาะ?”
“เจ้าอยากพนันด้วยอะไรก็ว่ามาเลย! ส่วนเรื่องระดับการบ่มเพาะนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลความแข็งแกร่งของข้านั้นสามารถเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาอยู่แล้ว ดังนั้นข้าไม่อ้างว่าเจ้าเอาเปรียบข้าแน่นอนข้าให้สัญญา!” หลินหรูซวนกระแทกเสียง
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ถ้าข้าแพ้ ข้าจะมอบสมบัติระดับราชวงศ์ให้เจ้าชิ้นหนึ่งก็แล้วกัน แต่ถ้าเจ้าแพ้…”
เมื่อพูดถึงประโยคนี้ หลิงตู้ฉิงก็กวาดสายตามองเรือนร่างของหลินหรูซวนจนทั่ว
หลินหรูซวนรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก นางรีบกระโดดถอยและตะคอกว่า “นี่เจ้าคิดบ้าอะไรของเจ้าอยู่!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เจ้าคิดไปถึงไหนกัน? เอาล่ะเมื่อครู่ข้าดูแล้วตัวเจ้าเองก็ไม่มีอะไรที่ข้าสนใจเลยเอาเป็นว่าถ้าเจ้าแพ้ข้า เจ้าจะต้องรับหน้าที่พาข้าชมเกาะหนานชานจนทั่วแบบนี้เจ้าตกลงไหม?”
“ได้! เจ้าเองก็เตรียมสมบัติของเจ้าเอาไว้ให้ดี ๆ เพราะอีกครู่เดียวมันจะต้องเป็นของข้าแน่นอน!” หลินหรูซวนพูดขึ้นด้วยแววตาเย้ยหยัน “เจ้าพร้อมแล้วรึยัง? ถ้าพร้อมแล้วก็ออกไปข้างนอกข้าจะได้ลงมือ!”
“เข้ามาเลยเถอะไม่ต้องเสียเวลาออกไปข้างนอกหรอก” หลิงตู้ฉิงตอบกลับโดยที่เขายังนั่งนิ่งไม่ลุกไปไหน
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงดูไม่จริงจังกับการประลองกับนางเลย หลินหรูซวนจึงยิ่งโมโหมาก จากนั้นนางชักกระบี่ออกจากฝักและฟันปราณกระบี่พุ่งไปหาหลิงตู้ฉิง
แต่แล้วเมื่อปราณกระบี่ใกล้จะกระทบถึงร่างของหลิงตู้ฉิง มันกลับหายไปดื้อ ๆ ซะอย่างนั้นราวกับว่ามันถูกลบออกไปโดยพลังบางอย่าง
หลินหรูซวนแสดงสีหน้าสับสนอย่างหนัก เนื่องจากนางไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ปราณกระบี่ของนางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป เมื่อครู่มันน่าจะมีอะไรผิดพลาดบางอย่าง กระบี่ต่อไปข้าแน่ใจว่าเจ้าจะต้องได้เลือดแน่!” หลินหรูซวนพูดขึ้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
แต่แล้วหลังจากนั้นทุกครั้งที่นางโจมตี ปราณกระบี่ของนางจะถูกลบหายไปทุกครั้งก่อนที่มันจะถึงตัวของหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิงกลับแสร้งพูดชมเชยกับนางว่า “จริง ๆ แล้วเจ้าก็เป็นหญิงสาวที่มีจิตใจอ่อนโยน ถึงแม้ว่าเจ้าจะปากร้ายแต่พอเอาเข้าจริงเจ้าก็ไม่อาจใจร้ายกับข้าทำร้ายข้าได้ลงคอ เฮ้อ…ข้านับถือเจ้าจริง ๆ เอาแบบนี้ดีกว่าในเมื่อเจ้ามีจิตใจอ่อนโยนแบบนี้พวกเรามาเปลี่ยนวิธีการประลองกันไหม?”
เป็นเพราะว่าหลิงตู้ฉิงรู้สึกได้คร่าว ๆ ว่าคนตระกูลหลินน่าจะเป็นคนตระกูลเดียวกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะใช้ความรุนแรงกับหลินหรูซวนให้มากเกินไป เขาจึงจงใจแสร้งทำอุบายบังคับให้หลินหรูซวนเปลี่ยนวิธีการประลอง
หลินหรูซวน เมื่อเห็นว่านางไม่สามารถทำอะไรหลิงตู้ฉิงได้เลย นางก็รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก และทำได้แค่ยอมคล้อยตามเปลี่ยนวิธีการประลอง
“เจ้ามีทักษะอะไรอย่างอื่นอีกบ้าง?” หลินหรูซวนถามขึ้นด้วยสีหน้าที่พยายามข่มความรู้สึกหดหู่
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เพื่อให้เกียรติเจ้าที่เจ้าเมตตาไม่ทำร้ายข้า ข้าจะให้เจ้าเลือกก็แล้วกันว่าอยากจะประลองอะไรต่อ!”
“เจ้าเหรอ? ถ้างั้นพวกเรามาประลองในด้านการวาดภาพและเล่นพิณกัน! แต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้เลยทักษะการเล่นพิณของข้านับได้ว่าสูงมาก ๆ เจ้าสู้ข้าไม่ได้แน่นอน!” หลินหรูซวนพูดขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ข้าแน่ใจว่าข้าสู้เจ้าได้!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
หลังจากนั้นผ่านไปพักใหญ่ หลิงตู้ฉิงก็หัวเราะและพูดว่า “เจ้าอย่าลืมพาข้าขมให้ทั่วเกาะด้วยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลินหรูซวนนั่งจ้องรูปวาดของหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าตกตะลึง “เจ้าทำได้ยังไง? นี่เจ้าสามารถวาดภาพที่มันเหมือนกับมีชีวิตจริง ๆ แบบนี้ได้ยังไง?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “ก็ข้าเป็นปรมาจารย์จิตรกร!”