เป่ยถังเย่นำทหารมาที่เรือนของคุณหนูจิ่ว
ในเวลานี้ ทั้งนอกและในตัวเรือนเต็มไปด้วยองครักษ์และทหาร เมื่อเป่ยถังเย่เดินเข้าไป คุณหนูจิ่วก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“ท่านพี่ จับผู้ลอบสังหารได้หรือไม่? ”
เป่ยถังเย่ส่ายศีรษะช้าๆ
แม้ใบหน้าของคุณหนูจิ่วจวนอี้อ๋องจะดูอ่อนกว่าวัยเล็กน้อย ทว่าแสงในดวงตากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง มันทั้งมืดมนและเย็นชา ไม่สอดคล้องกับอายุของนาง
“หึ องครักษ์และทหารในตำหนักมากมายถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ นับว่าครั้งนี้เป็นโชคดีของพวกเขา กล้าบุกรุกจวนอี้อ๋องของข้า หากยังกล้ามาอีก คงต้องให้พวกเขามาโดยไม่ได้กลับไป”
เป่ยถังเย่มองคุณหนูจิ่วด้วยแววตาอ่อนโยนเล็กน้อย “หลีเอ๋อร์ เจ้าเห็นหน้าสองคนนั้นชัดเจนหรือไม่? ”
เป่ยถังหลีส่ายศีรษะ “พวกเขาปิดหน้า น้องเห็นไม่ชัดเพคะ”
ดูเหมือนเป่ยถังเย่กำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง เป่ยถังหลีจึงเดินเข้าไปใกล้เป่ยถังเย่ด้วยใบหน้าสงสัย พลางยื่นมือไปเบื้องหน้าเขาแล้วโบกไปมา
“ท่านพี่ ท่านกำลังคิดอันใดอยู่หรือ? ”
เป่ยถังเย่ได้สติทันที “ไม่มีอันใด” จากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าเฆี่ยนสาวใช้อีกแล้วหรือ? ”
“หึ ไม่ตีนางจนตายก็นับว่าโชคดีของนางแล้ว นึกไม่ถึงว่านางคิดจะลวกข้าให้ตาย ต้องมีคนสั่งให้นางมาสังหารข้าแน่นอน! ”
ใบหน้าของเป่ยถังเย่เผยความเอือมระอา ทว่าไม่ว่าเป่ยถังหลีจะทำอันใด นางก็ยังเป็นน้องสาวที่เขารักมาก เขาลูบผมของเป่ยถังหลีด้วยความเอ็นดู
“มีพี่ชายคนนี้อยู่ ผู้ใดจะกล้าสังหารเจ้า? ”
เป่ยถังหลียิ้มแย้มร่าเริง พลางดึงแขนของเป่ยถังเย่มาคล้องไว้ นางซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางหยิ่งยโส
“มีพี่ชายอยู่ ข้าไม่กลัวแน่นอน! ”
“ดีแล้ว ค่ำมากแล้วรีบไปนอนเถิด! ”
เป่ยถังหลีเกาะหนึบเป่ยถังเย่ “ไม่! หลีเอ๋อร์อยากอยู่กับพี่ชาย พี่ชายอยู่กับหลีเอ๋อร์สักครู่เถิด! ”
“อย่าดื้อ! ” น้ำเสียงของเป่ยถังเย่เผยความเอ็นดูเป็นอย่างมาก “พี่ชายยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่อาจรีรอได้ ไว้มีเวลาว่างจะมาอยู่กับเจ้าอีก! ”
เป่ยถังหลีเบะปากอย่างไม่พอใจ “ท่านพี่พูดว่าค่ำมากแล้ว ทว่าดึกป่านนี้ ท่านพี่ยังมีเรื่องอันใดต้องทำอีก? ท่านพี่ต้องโกหกหลีเอ๋อร์แน่นอน ท่านพี่ไม่รักหลีเอ๋อร์แล้ว! ”
“ไม่ พี่มีเรื่องต้องไปจัดการจริงๆ หลีเอ๋อร์อย่าดื้อ! ”
“ก็ได้! ปล่อยท่านพี่ไปก็ได้! ทว่าท่านพี่พูดแล้ว ท่านพี่มีเวลาว่างต้องมาหาหลีเอ๋อร์”
แม้เป่ยถังหลีจะไม่เต็มใจนัก ทว่านางยังปล่อยแขนของเป่ยถังเย่และถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว
“ตกลง! ”
เป่ยถังเย่ตอบรับแล้วออกจากเรือนไป
ก่อนหน้าที่อยู่กับเป่ยถังหลี เขายังมีใบหน้าเอ็นดูและอ่อนโยน ทว่าทันทีที่ออกจากเรือนของเป่ยถังหลี สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและเย็นชา
เขาสั่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกเรือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปกป้องคุณหนูจิ่วอย่างใกล้ชิด ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดที่เข้าใกล้คุณหนูจิ่วให้เฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
……
หลังกลับมาถึงที่พัก ความโกรธและไฟปรารถนาของเยี่ยโยวเหยาทั้งหมดก็กลายเป็นความจำใจและความอ่อนโยน สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอันใดซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียังคงหัวเราะเยี่ยโยวเหยา และยังคงถามเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เลิกราว่า เขาชอบบุตรชายหรือบุตรสาว
“ท่านอ๋อง ท่านชอบบุตรสาวหรือบุตรชายกันแน่? ”
“ท่านอ๋อง ท่านหวังให้บุตรของพวกเราเป็นบุตรสาวหรือบุตรชาย? ”
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านไม่ตอบข้า? ”
“ท่านอ๋อง… ”
“ท่านอ๋อง! ”
เยี่ยโยวเหยาหลบเลี่ยงจากห้องนอนไปอยู่ที่ห้องทรงอักษร แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีไว้ใจว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ทำอันใด นางจึงออดอ้อนเยี่ยโยวเหยาอย่างสุดความสามารถและซักถามคำถามนี้ไม่หยุดหย่อน
ตอนนี้เยี่ยโยวเหยาเลี่ยงไม่ได้แล้ว เขาวางหนังสือในมือลงและดึงซูจิ่นซีมานั่งตัก พลางจ้องตาซูจิ่นซีแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “จิ่นซี เหตุใดเจ้าต้องซักถามคำถามเช่นนี้กับข้า? ”
ซูจิ่นซีจ้องเยี่ยโยวเหยาด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน “เพราะข้าต้องการรู้คำตอบ! ”
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีเพียงต้องการรู้ว่าเยี่ยโยวเหยามีแนวโน้มเป็นปิตาธิปไตยหรือไม่ อย่างไรเสีย เวลานี้อยู่ในยุคโบราณ! แนวคิดปิตาธิปไตยหยั่งรากลึก
ในไม่ช้า เยี่ยโยวเหยาก็ให้คำตอบแก่ซูจิ่นซี “แท้ที่จริงสำหรับข้าแล้ว บุตรชายหรือบุตรสาวก็เหมือนกัน”
แม้ประโยคนี้จะฟังดูไม่เป็นความจริง ทว่าฟังแล้วสบายใจ แม้จะไม่จริง ซูจิ่นซีก็ถือว่าได้ฟังความจริงแล้ว นางจึงแย้มยิ้มอย่างสดใส
ทว่าขณะที่ซูจิ่นซีแย้มยิ้มดีใจ เยี่ยโยวเหยาก็พูดว่า “ทว่า ข้ายังหวังว่าทารกในครรภ์จิ่นซีจะเป็นบุตรชาย”
ซูจิ่นซีชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปอย่างรวดเร็ว แม้เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถจริงจังมากเกินไป และไม่สามารถกล่าวโทษเยี่ยโยวเหยาได้ ทว่าซูจิ่นซีก็รู้สึกไม่สบายใจมากอยู่ดี
“เพราะเหตุใด? ”
ซูจิ่นซียังคิดว่า เยี่ยโยวเหยาจะบอกว่าบุตรชายมีความสำคัญกว่าบุตรสาว หรือบุตรชายในอนาคตมีความรู้ความสามารถมากกว่าบุตรสาว
อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะตอบว่า “เพราะว่าเขาคือบุตรคนแรกของพวกเรา และเป็นบุตรคนโตในอนาคต บุตรคนโตเป็นทายาท สามารถรับช่วงต่อภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของพวกเราได้ เช่นนั้น ข้าจะได้มีเวลาอยู่กับเจ้ามากขึ้น”
ก่อนหน้านี้ ภายในใจของนางยังรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย กลับไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกอบอุ่นได้รวดเร็วเช่นนี้ ซูจิ่นซีรู้สึกว่าความสุขมาอย่างฉับพลันเกินไป นางยังไม่ได้เตรียมใจแม้แต่น้อย
ก้นบึ้งของหัวใจราวกับกระเพื่อมไหวอย่างแผ่วเบา และมีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
นางเข้าใจเยี่ยโยวเหยาผิด และไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะคิดไปไกลถึงเพียงนั้นแล้ว
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นดวงตาของซูจิ่นซีเป็นประกาย สีหน้าของเขาจึงผิดปกติเล็กน้อย พลางขมวดคิ้ว “เป็นอันใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะแล้วเงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยา “ไม่มีอันใดเพคะ! ” จากนั้นจึงเอนศีรษะแนบชิดหน้าอกของเยี่ยโยวเหยาและกอดเอวของเขาเอาไว้
“ข้าต้องการกอดท่านอ๋อง! ”
เยี่ยโยวเหยานิ่งงัน เขาโอบไหล่ของซูจิ่นซีและกอดซูจิ่นซีเช่นกัน
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใด ภายในห้องตกสู่ความเงียบ
ซูจิ่นซีคิดว่าตนเองใช้หัวข้อเกี่ยวกับเด็กมาเบี่ยงเบนความสนใจของเยี่ยโยวเหยาได้สำเร็จ ทำให้เยี่ยโยวเหยาลืมเรื่องเดินเล่นยามดึกที่จวนอี้อ๋องของนาง
ทว่าความจริงได้พิสูจน์ว่านางไร้เดียงสาเกินไป
แม้หลังกลับจากจวนอี้อ๋อง ภายนอกพวกเขาดูรักใคร่ปรองดองและทำตัวหวานชื่น ทว่าทั้งคืน เยี่ยโยวเหยาไม่ได้หลับ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอ่านหนังสือและเอกสารอยู่ ทว่าแท้จริงแล้ว เขากำลังจับตาดูซูจิ่นซี เพราะกลัวว่านางจะกระทำอันใดอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาได้สั่งความเรื่องทั้งหมดให้องครักษ์และองครักษ์เงาไปจัดการแทน ส่วนตนเองก็อยู่กับซูจิ่นซี
เมื่อแม่นมฮวาและลวี่หลีเข้ามา เขาก็ได้เตือนอย่างเคร่งครัดว่า หากภายหลังปรนนิบัติพระชายาได้ไม่ดีอีก และปล่อยให้นางออกไปเพียงลำพัง ศีรษะของพวกนางทั้งสองคงต้องหลุดจากบ่าแน่นอน
เตือนลวี่หลียังพอเข้าใจได้ ทว่าอย่างไรเสีย แม่นมฮวาก็เป็นผู้เฒ่าที่คอยรับใช้ข้างกายเยี่ยโยวเหยามาทั้งชีวิต! คอยดูแลเยี่ยโยวเหยาตั้งแต่เล็กจนโต เยี่ยโยวเหยาไม่เคยพูดกับนางอย่างเข้มงวดเช่นนี้ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก