บทที่ 1955 นี่เป็นบริการหลังการขาย
“ข้อที่สอง…บางที กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์อยากให้ความทรงจำของคุณกลับคืนมาด้วยตัวเอง โดยไม่ใช่การรับรู้ความจริงจากปากของคนข้างเคียง แน่นอน นี่เป็นแค่การคาดเดาของผม ยังต้องมีการตรวจสอบต่อ” จี้ซิวหร่านกล่าว
“ยังมีอีก” จี้ซิวหร่านไม่เปิดโอกาสให้เยี่ยหวันหวั่นได้พูดก็เปิดปากขึ้นมาอีกครั้งแล้ว “ความจริงแล้ว ที่ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ากลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์จะตามฆ่าคุณ ก็เป็นเพราะคุณตาของคุณ”
“คุณตา…” เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วนิดๆ พอพูดถึงคุณตา ในสมองของเยี่ยหวันหวั่นก็พลันมีภาพของชายชราคนนั้นที่เข้มงวดกับหลานสาวตัวน้อยยิ่งนักผุดขึ้นมา
“ใช่แล้ว” จี้ซิวหร่านพยักหน้าน้อยๆ หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “เห็นทีว่าคุณจะยังจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ คุณตาของคุณน่ะ เป็นอดีตหัวหน้าของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์”
พอจี้ซิวหร่านพูดจบ เยี่ยหวันหวั่นก็เผยสีหน้าตกตะลึง อดีตหัวหน้ากลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ คุณตาของเธอน่ะเหรอ?!
“คุณตาของคุณกับพ่อแม่ของคุณห่างเหินกันมาก เลยพาคุณออกจากบ้านสกุลเนี่ยไปตั้งแต่ยังเด็ก คุณน้าเนี่ยรู้สึกติดค้างเนี่ยอู๋โยวมาด้วยตลอด เลยรักใคร่เอ็นดูตัวปลอมคนนั้นมาก นี่คือสิ่งที่มีอยู่ในความสัมพันธ์”
“แล้วตอนนี้คุณตาของฉันอยู่ที่ไหนคะ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
คุณตาของตัวเองเป็นอดีตหัวหน้าสหพันธ์ แต่กลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ยังกล้ามาไล่ล่าสังหารเธออีก?! นี่มันอะไรกัน?
“หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน ส่วนเบาะแสที่อยู่ ไม่มีใครรู้เลย” จี้ซิวหร่านเอ่ยตอบ
เยี่ยหวันหวั่นจึงเงียบไป
ที่พึ่งอันแข็งแกร่งแบบคุณตา ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะหายตัวไปแล้ว…
“เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นการห้ำหั่นกันภายในของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์” หลังจากเยี่ยหวันหวั่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“มีความเป็นได้สูง หัวหน้าคนปัจจุบันของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์นั้นลึกลับมาก น้อยคนนักที่จะเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา นิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ว่ายังไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน” จี้ซิวหร่านส่ายหน้า
“มีเรื่องบางอย่าง ที่เป็นไปได้ว่าต้องรอให้คุณจดจำเรื่องทุกอย่างได้ก่อนถึงจะรู้ ตอนนี้ คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น และห้ามไปยั่วโมโหกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์อีก”
หลังจากหารือกันเรื่องกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์แล้ว เดิมทีเยี่ยหวันหวั่นต้องการจะพูดเรื่องสัญญาหมั้นหมายของทั้งคู่ให้กระจ่าง แต่จี้ซิวหร่านกลับหันหลังจากไปแล้ว
หลังออกจากภัตตาคาร เยี่ยหวันหวั่นก็ให้เป่ยโต่วกับชีซิงกลับไปที่พันธมิตรอู๋เว่ยก่อน ส่วนตัวเองก็ขับรถมุ่งไปที่วิลล่า
วิลล่าหลังนั้นอึมครึมอยู่บ้าง เยี่ยหวันหวั่นพักอยู่ที่วิลล่าน้อยมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ที่พันธมิตรอู๋เว่ย ครั้งนี้ที่กลับมายังวิลล่า หลักๆ คือจะมาดูให้ละเอียดว่า ตัวเองในปีนั้นได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ในวิลล่าบ้างไหม
อย่างไรก็ตาม แทบจะพลิกวิลล่าให้กลับหัวแล้ว ก็ยังไม่พบสิ่งของอะไรที่พอจะเข้าเค้าเลย
เยี่ยหวันหวั่นออกมาจากวิลล่า เพิ่งเดินไปถึงข้างรถ ก็พลันขมวดคิ้ว
ในกระจกรถ เยี่ยหวันหวั่นมองเห็นอย่างชัดเจน คนที่ปรากฏตัวในจีนครั้งก่อน ชายที่แย่งแหวนของตัวเอง…
เยี่ยหวันหวั่นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และไม่ได้ก้าวขึ้นรถ แต่กลับเดินไปยังบ้านพักของอี้สุ่ยหาน
เมื่แสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังใกล้เข้ามา เยี่ยหวันหวั่นไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร ล้วงกุญแจออกมาแล้วไขเปิดประตูบ้านของอี้สุ่ยหานทันที
เพิ่งก้าวเข้ามาในบ้าน สายตาเยียบเย็นของชายในชุดนอนลายการ์ตูนก็จับจ้องมาที่ร่างของเยี่ยหวันหวั่น
“ประตูนี้…ไม่เลวเลยนี้” หลังจากสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาไร้ปราณีของอี้สุ่ยหาน เยี่ยหวันหวั่นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมเธอถึงมีกุญแจบ้านฉัน” อี้สุ่ยหานจ้องมองเยี่ยหวันหวั่น น้ำเสียงที่แหบพร่านิดๆ แต่กลับยิ่งมีแรงดึงดูด
เยี่ยหวันหวั่นชะงักไป
“สหายอี้ นี่เป็นบริการหลังการขายไง…ฉันเป็นคนขายประตูให้คุณ ฉันก็ต้องมีกุญแจแน่นอน ถ้าหากวันไหนคุณทำกุญแจหาย ก็ยังมีที่ฉันไง…ใช่ไหมล่ะ” เยี่ยหวันหวั่นกล่าว
—————————————————————–
บทที่ 1956 คุณห้ามรังแกแม่ผมนะ
เยี่ยหวันหวั่นคิดในใจ ขายหน้าก็ขายหน้าไปเถอะ ยังไงก็ดีกว่าถูกคนข้างนอกจับตัว
ครั้งแรกแปลกหน้าครั้งต่อมาคุ้นเคย ถึงยังไงก็ไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้ว
เยี่ยหวันหวั่นเพิ่งพูดจบ อี้สุ่ยหานยังไม่ทันได้อ้าปาก ร่างเล็กผอมในชุดลายการ์ตูนร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากด้านในห้องแล้ว
หลังจากมองเห็นเงาร่างเล็กผอมนั้น เยี่ยหวันหวั่นก็ตะลึงงันไป
“ถังถัง?!”
เยี่ยหวันหวั่นจ้องมองถังถังที่ดูประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน แล้วรีบเอ่ยขึ้น
“คุณแม่…แม่มาได้ยังไงครับ” ถังถังมองเยี่ยหวันหวั่น ในดวงตาฉายแววปรีดา
“ถังถัง ไม่ใช่ว่าลูกควรไปโรงเรียนเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยไปตามสัญชาตญาณ
ก่อนหน้านี้นายหญิงสกุลเนี่ยเคยพูดกับตนไว้อย่างชัดเจนว่าถังถังเข้าเรียนแล้ว ทำไมเผลอแปบเดียวก็วิ่งแจ้นมาที่บ้านของอี้สุ่ยหานแล้วล่ะ
ถังถังตอบกลับมาว่า “อาจารย์บอกว่าการเรียนวรยุทธ์สำคัญกว่า…”
ถังถังเพิ่งจะพูดออกมา เยี่ยหวันหวั่นก็ถลึงตาใส่อี้สุ่ยหานแล้ว “เด็กเล็กขนาดนี้ จะให้ฝึกวรยุทธ์แบบไหนกัน ยังจะไม่ให้ถังถังลูกรักของฉันไปเรียนอีกเหรอ!”
อี้สุ่ยหานเหลือบมองเยี่ยหวันหวั่นแวบหนึ่ง “ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เธอเป็นใครกันแน่”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก…
“อาจารย์ เธอคือแม่ของผม” ถังถังรีบก้าวไปอยู่ตรงหน้าเยี่ยหวันหวั่น ปกป้องเยี่ยหวันหวั่นไว้ข้างหลัง “อาจารย์ คุณห้ามรังแกแม่ผมนะ”
“แล้วฉันไปรังแกแม่นายตอนไหน” อี้สุ่ยหานเอ่ยอย่างเฉยชา
“คุณห้ามรังแกลูกชายฉันนะ!” เยี่ยหวันหวั่นกล่าวพลางขมวดคิ้ว
พอได้ยินดังนั้น สายตาของอี้สุ่ยหานก็วกกลับมาที่ร่างของเยี่ยหวันหวั่น “ฉันไปรังแกลูกชายเธอตอนไหนกัน”
“คุณไม่ให้ลูกฉันไปโรงเรียน ก็ถือเป็นการรังแกลูกฉันแล้ว” เยี่ยหวันหวั่นพูดอย่างชอบธรรมมีหลักการ
เยี่ยหวันหวั่นเพิ่งพูดจบ ถังถังก็มองเยี่ยหวันหวั่นอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง “แม่ครับ…อย่าโทษอาจารย์เลย เป็นผมเองที่โทรหาอาจารย์ ให้อาจารย์ไปรับผมมาจากโรงเรียน”
“ลูกรัก ด้วยวัยของลูกในตอนนี้ จำเป็นต้องเข้าเรียนให้ดีๆ รู้ไหมจ๊ะ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยเสียงจริงจัง
“แม่ครับ แต่เพื่อนนักเรียนกับคุณครูในโรงเรียนแต่ละคนโง่เกินไป” สุ้มเสียงของถังถังมีความจนปัญญาอยู่บ้าง “ผมไม่อยากอยู่กับคนโง่นี่นา”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออกอีกครั้ง
พอคิดดูให้ละเอียดแล้ว ด้วยความแตกต่างของถังถัง การที่มีคนวัยเดียวกันอยู่ข้างกายถังถัง ก็ดูเข้ากันไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ
แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยหวันหวั่นไม่เคยฉุกสงสัยเลยว่า ลูกน้อยที่ถือกำเนิดจากเธอและซือเยี่ยหานนั้น ย่อมเป็นอัจฉริยะแน่นอน
เยี่ยหวันหวั่นยังไม่ทันได้อ้าปากพูด ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว
“ถังถัง ไปเปิดประตู” อี้สุ่ยหานพูดขึ้นมา
“ห้ามเปิดนะ” เยี่ยหวันหวั่นรีบไปขวางถังถังไว้
“คุณแม่ เป็นอะไรไปครับ” เห็นเยี่ยหวันหวั่นมีสีหน้าผิดปกติ ถังถังจึงมุ่นคิ้วเล็กน้อย
วินาทีถัดมา ก็เกิดเสียงดังปัง ประตูนิรภัยถูกถีบให้เปิดจากด้านนอกแล้ว
หนุ่มสาวหลายคนกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เจอกันอีกแล้วนะ” พอชายร่างผอมแห้งที่เป็นหัวหน้ามองเห็นเยี่ยหวันหวั่นก็เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เยี่ยหวันหวั่นตอบกลับไป “แกมันเกาะติดเหนียวหนึบ สลัดทิ้งยังไงก็ไม่หลุดน่ะสิ”
“ส่งแหวนมาให้ฉันซะ แล้วแกจะรอด” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มมองไปที่เยี่ยหวันหวั่น
“พวกแกเป็นใครกัน” ดวงตาของถังถังที่ยืนอยู่ข้างๆ เยี่ยหวันหวั่นพลันฉายแววเยียบเย็น มองหนุ่มสาวหลายคนที่บุกเข้ามาในบ้าน แล้วเอ่ยขึ้นว่า “มาพูดแบบนี้กับแม่ฉัน จองหองเกินไปแล้วนะ”
“ไอ้หนู นี่ไม่ใช่เรื่องของแก” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้ารำคาญใจ
พอได้ยินประโยคนี้ ถังถังจึงมองหญิงสาวด้วยสายตาที่ราวกับมองคนโง่ “ฉันบอกไปแล้วไง เธอเป็นแม่ของฉัน แต่แกมาบอกว่าไม่ใช่เรื่องของฉัน เห็นทีว่าแกคงจะโง่พอๆ กับเพื่อนนักเรียนแล้วก็อาจารย์พวกนั้นของฉันเลยสินะ”