ในท้องฟ้าที่เป็นประกาย ราชามารเงยหน้าขึ้น ความมืดและทิวทัศน์ที่ปกคลุมใบหน้าดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา
ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
เขาเหลือบมองไปที่มัน
มันเป็นแค่การเหลือบมองเท่านั้น
ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักก็หดเล็กลงสิบเท่าในทันที
ภาพนี้ลึกลับอย่างมาก หรือบางทีก็แปลกประหลาด
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออก
เขาหยุดป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักเอาไว้
ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักไม่อาจที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าได้แม้แต่นิ้วเดียว
หากพูดให้เจาะจง ตอนที่เขามองไปที่มัน เมื่อมือเขาสัมผัสกับมัน ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักในตำนานก็ไม่คิดที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าอีก
ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักจำได้ว่าเขาเป็นใคร
ราชามารมองไปที่ไห่ตี๋และกล่าว “เจ้าชั่ว กล้าใช้อาวุธของเรามาโจมตีเรา เราไม่รู้ว่าจะบอกว่าเจ้ากล้าหรือโง่กันแน่”
ความกลัวไร้จำกัดผุดขึ้นในดวงตาไห่ตี๋ ในเวลาเดียวกัน ฝุ่นผงนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นจากร่องบนชุดเกราะของเขา
ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาไม่ใช่เพราะปราณที่เขาแผ่ออกมาสู่โลก ทว่าเป็นเพราะมันถูกพลังบางอย่างเขย่าออกมา
ครั้นราชามารพูด ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักในมือไห่ตี๋ก็สั่นสองหมื่นสี่พันแปดร้อยครั้ง
ในฐานะหนึ่งในมารที่แข็งแกร่งที่สุด ไห่ตี๋มีร่างกายแกร่งดุจเหล็ก แต่มันก็ยังไม่อาจต้านทานการสั่นสะเทือนความถี่สูงได้
เมื่อคำว่า ‘โง่’ เข้าสู่ห้วงแห่งจิตของเขา ข้อมือไห่ตี๋ข้างที่ใช้ถือป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักสลายเป็นเศษผง ขณะต่อมากระดูกแขนก็แหลกจากนั้นรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนกระดูกไหล่
เฉกเช่นกระดูกวัวที่ถูกเผาเป็นเวลานาน รอยร้าวพวกนี้เคลื่อนไปอย่างลึกลับ ก่อให้เกิดภาพที่น่าหวาดกลัว
กระดูกแหลกแต่เนื้อยังคงอยู่ดี มีแต่ไห่ตีที่รู้ถึงรอยร้าว เศษกระดูก เศษผงในแขนของตน
เขารู้ว่าเขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป รู้ว่าเขาต้องหาวิธีที่จะหนีไป
เลือดมารสีประหลาดสิบกว่าสายพุ่งออกจากไหล่และแขนที่เหมือนกับต้นไม้ของเขาก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้า
ไห่ตี๋ตัดแขนของตนเองและหนีไปอย่างไม่ลังเล
ราชามารโบกแขนเสื้ออย่างปลอดโปร่งและสง่างาม เหมือนกับบัณฑิตที่เขียนบทกวีหลังจากร่ำสุรา
ในแขนเสื้อเป็นมือที่ถือป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักเอาไว้
แค่โบกแขนเสื้อเบาๆ ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักก็ลอยไปอย่างผิวเผินแต่แม่นยำไปที่หลังของไห่ตี๋
มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดประหนึ่งต้นไม้ใหญ่ที่พุ่งขึ้นสู่สวรรค์ถูกกัดแทะมานานนับปีไม่ถ้วนในที่สุดก็ยอมแพ้ต่อแรงดึงดูดของโลกและล้มลงกับพื้น
อกของไห่ตี๋พองออกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เหมือนกับมีภูเขาพลันโผล่ขึ้นมาบนทุ่งราบ
ความแข็งแกร่งเหนือจินตนาการวิ่งพล่านในร่างกาย ทำลายและทำให้อวัยวะภายในเคลื่อน แม้แต่แกนมารก็ยังแตกร้าว
ไห่ตี๋ไม่อาจทนพลังที่รุนแรงนี้ได้ เขาได้เปลี่ยนเป็นว่าวที่ลอยไปสู่ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ
เมื่อเขาเห็นภูเขาใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าสายตาของเขาจะพร่าเลือนเพราะบาดเจ็บสาหัส สมองสับสนแต่เขาก็ไม่ลืมปัญหาสำคัญ
ทำไมเป็นเช่นนี้ แล้วกุนซือเล่า
ตอนที่เขาได้รับคำสั่งในคืนนี้ เขารู้แต่แรกว่าการหาเจ้าของยาจูซาไม่ใช่ภารกิจทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเจ้าของยาจูซา เขาจึงไม่ประหลาดใจนัก เขาหวาดกลัวตอนพบใต้ฝ่าพระบาทที่เขาคิดว่าสวรรคตไปแล้วอีกครั้ง แต่ตอนนั้นเขาก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง
หลังจากผ่านมานานนับปีไม่ถ้วน เผ่ามารได้สร้างความประทับใจในตัวใต้เท้าชุดดำที่สามารถคำนวณได้ทุกสิ่ง
ไห่ตี๋เชื่อว่าเมื่อกุนซือส่งเขามา เขาต้องคำนวณแล้วว่าราชามารจะมาและเตรียมการอย่างเหมาะสม
ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงกล้าที่จะโจมตีใต้ฝ่าพระบาท
เขาเชื่อเสมอว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น
แต่…มันไม่เกิด
ความเป็นจริงก็เหมือนกับยอดเข้าที่ใกล้เข้ามา ทั้งหนาวเหน็บและไม่ผ่อนปรน
ในการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย ไห่ตี๋พลันคิดถึงคืนนั้นเมื่อสองปีก่อน
ในคืนนั้น เขาพบกับเพื่อนที่เขาไม่ได้เห็นมานานหลายศตวรรษ หากพูดให้ชัดเจนกว่านี้ ก็คือนายเก่าของเขา
ไห่ตี๋เข้าใจ หลับตาและทอดถอนใจอยู่ในใจ
……
……
บนท้องฟ้าพร่างดาวห่างไกล ร่างมารใหญ่ยักษ์ของไห่ตี๋ได้เปลี่ยนเป็นจุดสีดำเล็กๆ
เมื่อเทียบกับภูเขาใหญ่ยักษ์ของจริง ทั้งมนุษย์และมารก็ดูเล็กจ้อยและไม่สำคัญ
จุดสีดำเล็กๆ ปักเข้าไปในชั้นหิมะใจกลางยอดเขา
แรงสะเทือนส่งจากยอดเขาห่างไกลมาถึงหุบเขา ตามมาด้วยเสียงโครมครามอย่างรวดเร็ว หิมะหลายปีถล่มลงมาจากภูเขา
ในเวลาอันสั้น ภูเขาหิมะก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดูต่างไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
หลุมดำบนภูเขาที่เกิดจากไห่ตี๋หายไป ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
แม่ทัพใหญ่ของกองทัพมารในแนวรบหายไปเช่นนี้เอง
ในยามดึก เรื่องใหญ่ที่จะสะเทือนไปทั่วต้าลู่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อย
ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่หรือสำคัญแค่ไหน ไม่มีใครเห็นก็ไม่มีใครสนใจ
ราชามารไม่มอง เพราะเขาไม่สนใจ
เมื่อสายตาเขาเคลื่อนจากสายกู่ฉิน สิ่งแรกที่เขามองก็คือป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักและตามมาด้วยประกายไฟที่เต็มท้องฟ้าราตรี
จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกอีกครั้ง
ในครั้งนี้ มือของเขาพุ่งผ่านอากาศที่เต็มไปด้วยประกายไฟ สู่จุดสูงสุดบนท้องฟ้าราตรี
เสียงมังกรร้องเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและโมโหดังมาจากท้องฟ้าแล้วก็พลันหยุดลง
ลมหายใจมังกรเยือกแข็งที่บรรจุไว้ด้วยเกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารหายไปแบบนี้เอง
มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ปกคลุมท้องฟ้าหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ จากนั้นมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นก็โบก มันฟาดไปตามแนวขวาง
จุดสีดำทิ้งแสงเจิดจ้าเมื่อมันเคลื่อนไปในอากาศ ดูเหมือนกับดาวตกที่ตกไปยังจุดใดไม่ทราบ
ลมหายใจมังกรเยือกแข็งหายไป และห่าฝนกระบี่ก็ช้าลงไปชั่วขณะ ลำแสงสีเขียวสองสายพลันหายไป และหนานเค่อก็ปรากฏขึ้นด้านหลังราชามาร
ร่างกายเล็กๆ ของนางเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดซึมออกมาตามเสื้อผ้าของนาง ทำให้ไม่อาจบอกได้ว่าสีดังเดิมของมันคืออะไร
แค่พลิกมือราชามารได้สั่นสะเทือนไห่ตี๋จนตาย ไล่จี๊ดจี๊ดไป ทำลายแผนการของพวกเขา
ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายนั้นมากเกินไป ราชามารไม่แม้แต่จะลงมืออย่างเต็มกำลัง แค่ใช้สายตา มือและการบำเพ็ญตน เขาก็สามารถบดขยี้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ไม่มีความหมายในการโจมตีหนานเค่อ ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงเรียกกระบี่ทั้งหมดกลับมา
เสียงลมหวีดหวิวดังเหนือหุบเขาเมื่อกระบี่หลายพันเล่มกลับมา พวกมันลอยอยู่ในอากาศรอบกายเขา สั่นสะเทือนและส่งเสียงหึ่งๆ
เขามองตรงไป นิ่งเงียบและเคร่งขรึม
ไม่ว่าจะเป็นเศษไฟในลานบ้าน ขี้เถ้าที่ปลิว หรือแสงที่หลงเหลืออยู่ซึ่งกำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้าราตรี ล้วนถูกตัดเป็นชิ้นๆ ด้วยเจตจำนงกระบี่ที่น่าทึ่ง
เห็นภาพนี้ ประกายความชื่นชมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของราชามาร “ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญตนในวิถีกระบี่ ความแข็งแกร่งของดวงจิต หรือปริมาณปราณแท้ เจ้าล้วนยอดเยี่ยม อย่าว่าแต่ในหมู่รุ่นเยาว์ ต่อให้เฉินเสวียนป้า โจวตู๋ฟู หรือตัวข้าเองเมื่ออายุเท่าเจ้า พวกเราก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าเจ้าได้”
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของราชามาร เขา โจวตู๋ฟูและเฉินเสวียนป้าเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในพันปีที่ผ่านมา
แตกต่างไปจากความเข้าใจของคนทั่วไป เขาไม่ได้รวมจักรพรรดิไท่จงเข้ามาในชื่อเหล่านี้
เฉินฉางเซิงเอนกายเล็กน้อย แสดงความขอบคุณกับคำชมนี้
ไฟที่เหลืออยู่ในบริเวณส่องต้องใบหน้าเขา แม้ว่าจะดูเคร่งขรึมมาก แต่ก็ยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว