ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 106 แค่ยื่นมือโลกก็เปลี่ยน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในท้องฟ้าที่เป็นประกาย ราชามารเงยหน้าขึ้น ความมืดและทิวทัศน์ที่ปกคลุมใบหน้าดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา

ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

เขาเหลือบมองไปที่มัน

มันเป็นแค่การเหลือบมองเท่านั้น

ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักก็หดเล็กลงสิบเท่าในทันที

ภาพนี้ลึกลับอย่างมาก หรือบางทีก็แปลกประหลาด

จากนั้นเขาก็ยื่นมือออก

เขาหยุดป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักเอาไว้

ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักไม่อาจที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าได้แม้แต่นิ้วเดียว

หากพูดให้เจาะจง ตอนที่เขามองไปที่มัน เมื่อมือเขาสัมผัสกับมัน ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักในตำนานก็ไม่คิดที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าอีก

ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักจำได้ว่าเขาเป็นใคร

ราชามารมองไปที่ไห่ตี๋และกล่าว “เจ้าชั่ว กล้าใช้อาวุธของเรามาโจมตีเรา เราไม่รู้ว่าจะบอกว่าเจ้ากล้าหรือโง่กันแน่”

ความกลัวไร้จำกัดผุดขึ้นในดวงตาไห่ตี๋ ในเวลาเดียวกัน ฝุ่นผงนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นจากร่องบนชุดเกราะของเขา

ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาไม่ใช่เพราะปราณที่เขาแผ่ออกมาสู่โลก ทว่าเป็นเพราะมันถูกพลังบางอย่างเขย่าออกมา

ครั้นราชามารพูด ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักในมือไห่ตี๋ก็สั่นสองหมื่นสี่พันแปดร้อยครั้ง

ในฐานะหนึ่งในมารที่แข็งแกร่งที่สุด ไห่ตี๋มีร่างกายแกร่งดุจเหล็ก แต่มันก็ยังไม่อาจต้านทานการสั่นสะเทือนความถี่สูงได้

เมื่อคำว่า ‘โง่’ เข้าสู่ห้วงแห่งจิตของเขา ข้อมือไห่ตี๋ข้างที่ใช้ถือป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักสลายเป็นเศษผง ขณะต่อมากระดูกแขนก็แหลกจากนั้นรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนกระดูกไหล่

เฉกเช่นกระดูกวัวที่ถูกเผาเป็นเวลานาน รอยร้าวพวกนี้เคลื่อนไปอย่างลึกลับ ก่อให้เกิดภาพที่น่าหวาดกลัว

กระดูกแหลกแต่เนื้อยังคงอยู่ดี มีแต่ไห่ตีที่รู้ถึงรอยร้าว เศษกระดูก เศษผงในแขนของตน

เขารู้ว่าเขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป รู้ว่าเขาต้องหาวิธีที่จะหนีไป

เลือดมารสีประหลาดสิบกว่าสายพุ่งออกจากไหล่และแขนที่เหมือนกับต้นไม้ของเขาก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้า

ไห่ตี๋ตัดแขนของตนเองและหนีไปอย่างไม่ลังเล

ราชามารโบกแขนเสื้ออย่างปลอดโปร่งและสง่างาม เหมือนกับบัณฑิตที่เขียนบทกวีหลังจากร่ำสุรา

ในแขนเสื้อเป็นมือที่ถือป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักเอาไว้

แค่โบกแขนเสื้อเบาๆ ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักก็ลอยไปอย่างผิวเผินแต่แม่นยำไปที่หลังของไห่ตี๋

มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดประหนึ่งต้นไม้ใหญ่ที่พุ่งขึ้นสู่สวรรค์ถูกกัดแทะมานานนับปีไม่ถ้วนในที่สุดก็ยอมแพ้ต่อแรงดึงดูดของโลกและล้มลงกับพื้น

อกของไห่ตี๋พองออกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เหมือนกับมีภูเขาพลันโผล่ขึ้นมาบนทุ่งราบ

ความแข็งแกร่งเหนือจินตนาการวิ่งพล่านในร่างกาย ทำลายและทำให้อวัยวะภายในเคลื่อน แม้แต่แกนมารก็ยังแตกร้าว

ไห่ตี๋ไม่อาจทนพลังที่รุนแรงนี้ได้ เขาได้เปลี่ยนเป็นว่าวที่ลอยไปสู่ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ

เมื่อเขาเห็นภูเขาใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าสายตาของเขาจะพร่าเลือนเพราะบาดเจ็บสาหัส สมองสับสนแต่เขาก็ไม่ลืมปัญหาสำคัญ

ทำไมเป็นเช่นนี้ แล้วกุนซือเล่า

ตอนที่เขาได้รับคำสั่งในคืนนี้ เขารู้แต่แรกว่าการหาเจ้าของยาจูซาไม่ใช่ภารกิจทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเจ้าของยาจูซา เขาจึงไม่ประหลาดใจนัก เขาหวาดกลัวตอนพบใต้ฝ่าพระบาทที่เขาคิดว่าสวรรคตไปแล้วอีกครั้ง แต่ตอนนั้นเขาก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง

หลังจากผ่านมานานนับปีไม่ถ้วน เผ่ามารได้สร้างความประทับใจในตัวใต้เท้าชุดดำที่สามารถคำนวณได้ทุกสิ่ง

ไห่ตี๋เชื่อว่าเมื่อกุนซือส่งเขามา เขาต้องคำนวณแล้วว่าราชามารจะมาและเตรียมการอย่างเหมาะสม

ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงกล้าที่จะโจมตีใต้ฝ่าพระบาท

เขาเชื่อเสมอว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น

แต่…มันไม่เกิด

ความเป็นจริงก็เหมือนกับยอดเข้าที่ใกล้เข้ามา ทั้งหนาวเหน็บและไม่ผ่อนปรน

ในการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย ไห่ตี๋พลันคิดถึงคืนนั้นเมื่อสองปีก่อน

ในคืนนั้น เขาพบกับเพื่อนที่เขาไม่ได้เห็นมานานหลายศตวรรษ หากพูดให้ชัดเจนกว่านี้ ก็คือนายเก่าของเขา

ไห่ตี๋เข้าใจ หลับตาและทอดถอนใจอยู่ในใจ

……

……

บนท้องฟ้าพร่างดาวห่างไกล ร่างมารใหญ่ยักษ์ของไห่ตี๋ได้เปลี่ยนเป็นจุดสีดำเล็กๆ

เมื่อเทียบกับภูเขาใหญ่ยักษ์ของจริง ทั้งมนุษย์และมารก็ดูเล็กจ้อยและไม่สำคัญ

จุดสีดำเล็กๆ ปักเข้าไปในชั้นหิมะใจกลางยอดเขา

แรงสะเทือนส่งจากยอดเขาห่างไกลมาถึงหุบเขา ตามมาด้วยเสียงโครมครามอย่างรวดเร็ว หิมะหลายปีถล่มลงมาจากภูเขา

ในเวลาอันสั้น ภูเขาหิมะก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดูต่างไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

หลุมดำบนภูเขาที่เกิดจากไห่ตี๋หายไป ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้

แม่ทัพใหญ่ของกองทัพมารในแนวรบหายไปเช่นนี้เอง

ในยามดึก เรื่องใหญ่ที่จะสะเทือนไปทั่วต้าลู่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อย

ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่หรือสำคัญแค่ไหน ไม่มีใครเห็นก็ไม่มีใครสนใจ

ราชามารไม่มอง เพราะเขาไม่สนใจ

เมื่อสายตาเขาเคลื่อนจากสายกู่ฉิน สิ่งแรกที่เขามองก็คือป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักและตามมาด้วยประกายไฟที่เต็มท้องฟ้าราตรี

จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกอีกครั้ง

ในครั้งนี้ มือของเขาพุ่งผ่านอากาศที่เต็มไปด้วยประกายไฟ สู่จุดสูงสุดบนท้องฟ้าราตรี

เสียงมังกรร้องเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและโมโหดังมาจากท้องฟ้าแล้วก็พลันหยุดลง

ลมหายใจมังกรเยือกแข็งที่บรรจุไว้ด้วยเกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารหายไปแบบนี้เอง

มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ปกคลุมท้องฟ้าหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ จากนั้นมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นก็โบก มันฟาดไปตามแนวขวาง

จุดสีดำทิ้งแสงเจิดจ้าเมื่อมันเคลื่อนไปในอากาศ ดูเหมือนกับดาวตกที่ตกไปยังจุดใดไม่ทราบ

ลมหายใจมังกรเยือกแข็งหายไป และห่าฝนกระบี่ก็ช้าลงไปชั่วขณะ ลำแสงสีเขียวสองสายพลันหายไป และหนานเค่อก็ปรากฏขึ้นด้านหลังราชามาร

ร่างกายเล็กๆ ของนางเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดซึมออกมาตามเสื้อผ้าของนาง ทำให้ไม่อาจบอกได้ว่าสีดังเดิมของมันคืออะไร

แค่พลิกมือราชามารได้สั่นสะเทือนไห่ตี๋จนตาย ไล่จี๊ดจี๊ดไป ทำลายแผนการของพวกเขา

ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายนั้นมากเกินไป ราชามารไม่แม้แต่จะลงมืออย่างเต็มกำลัง แค่ใช้สายตา มือและการบำเพ็ญตน เขาก็สามารถบดขยี้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย

ไม่มีความหมายในการโจมตีหนานเค่อ ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงเรียกกระบี่ทั้งหมดกลับมา

เสียงลมหวีดหวิวดังเหนือหุบเขาเมื่อกระบี่หลายพันเล่มกลับมา พวกมันลอยอยู่ในอากาศรอบกายเขา สั่นสะเทือนและส่งเสียงหึ่งๆ

เขามองตรงไป นิ่งเงียบและเคร่งขรึม

ไม่ว่าจะเป็นเศษไฟในลานบ้าน ขี้เถ้าที่ปลิว หรือแสงที่หลงเหลืออยู่ซึ่งกำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้าราตรี ล้วนถูกตัดเป็นชิ้นๆ ด้วยเจตจำนงกระบี่ที่น่าทึ่ง

เห็นภาพนี้ ประกายความชื่นชมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของราชามาร “ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญตนในวิถีกระบี่ ความแข็งแกร่งของดวงจิต หรือปริมาณปราณแท้ เจ้าล้วนยอดเยี่ยม อย่าว่าแต่ในหมู่รุ่นเยาว์ ต่อให้เฉินเสวียนป้า โจวตู๋ฟู หรือตัวข้าเองเมื่ออายุเท่าเจ้า พวกเราก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าเจ้าได้”

เห็นได้ชัดว่าในสายตาของราชามาร เขา โจวตู๋ฟูและเฉินเสวียนป้าเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในพันปีที่ผ่านมา

แตกต่างไปจากความเข้าใจของคนทั่วไป เขาไม่ได้รวมจักรพรรดิไท่จงเข้ามาในชื่อเหล่านี้

เฉินฉางเซิงเอนกายเล็กน้อย แสดงความขอบคุณกับคำชมนี้

ไฟที่เหลืออยู่ในบริเวณส่องต้องใบหน้าเขา แม้ว่าจะดูเคร่งขรึมมาก แต่ก็ยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว