ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 735 โลกยมทะยาน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เขตแดนของความว่างเปล่าและมิติเวลาที่ปั่นป่วนต่างบิดเบี้ยว ความเร็วของเวลาแตกต่างกัน แต่ว่าในตอนนี้กลับถูกคลุมไว้ด้วยสีเลือดชั้นหนึ่ง

คังฮูหยินมีประสบการณ์ไม่ธรรมดา จิตใจของนางจึงรู้สึกหนักอึ้งขึ้นทันที “…หลอดเลือดปีศาจ?!”

เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อมมือออกมาแทงปลายนิ้วของตัวเอง ใช้นิ้วต่างพู่กัน และใช้เลือดของตัวเองเขียนเป็นอักขระคาถาบทหนึ่งกลางอากาศ

ไม่ใช่อักขระที่ทุกคนคุ้นเคย แต่เป็นอักขระพิเศษที่ประหลาดหายาก คลุมเคลือกยากเข้าใจ มีความหมายลี้ลับ

อักขระคาถาสีแดงเลือดสลักใส่กลางอากาศ ผสมกับม่านแสงสีเลือดนั้น

ชายหนุ่มใช้น้ำเสียงประหลาดที่คนอื่นฟังไม่เข้าใจตะโกนขึ้น “เซ่นสรวง!”

แสงสีเลือดพลันเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมา จิตที่โบราณถึงขีดสุดสายหนึ่งทะลุความว่างเปล่าลงมาถึง

จิตนั้นว่างเปล่า เจ้าของยังมีชีวิตหรือตายไปแล้วไม่อาจทราบ ทว่าในตอนนี้กลับส่งเสียงคำรามที่น่าหวาดหวั่น เหมือนทะลุการเวลาอันยาวนาน

บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ฉีกกระชากเพิ่มขึ้นอีกอย่างสะเทือนเลือนลั่น ร่องแยกมิติขยายออกมากกว่าสองสามเท่า!

คังเม่าเซิงกับคังจิ่นหยวนที่อยู่นอกบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ หนีไม่ทัน พลันถูกดูดเข้าไปในร่องแยก

คังฮูหยินตกใจ ไม่คิดจะหยุดบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์อีกต่อไป ประกายกระบี่วาดขึ้น ม้วนคังเม่าเซิงและคังจิ่นหยวนไว้ คิดจะออกไปก่อนค่อยว่ากล่าว

แต่ว่าพิธีกรรมที่เยี่ยนจ้าวเกอสร้างขึ้นมา กลับทำให้บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์เหมือนมีชีวิตขึ้นมา ราวกับสัตว์ยักษ์ดุร้ายที่แท้จริง

แสงสีเลือดกระจายไปทั่ว ปิดผนึกร่องแยกมิติ ได้แต่เข้า ไม่อาจออก

มิติหมุนเวียน ประกอบกันเป็นน้ำวนสีเลือดขนาดมหึมาลูกหนึ่ง กำลังจะกลืนกินคนทุกคน

เยี่ยนจ้าวเกอกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกอยู่ในสภาพเดียวกัน บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่เกิดความผิดปกติต่างก็ปฏิบัติกับทุกคนและทุกสิ่งที่อยู่ด้านในอย่างโหมเหี้ยมไม่ต่างกัน

พวกถานจิ่นจากสำนักแสงสว่างไม่อาจหนีรอด

อย่างเดียวที่ทำให้คังฮูหยินโล่งใจก็คือ บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่เกิดความปกติในตอนนี้ แม้จะปั่นป่วนเป็นอย่างยิ่ง แต่ประกายแสงสลายไป และพลังแห่งเขตแดนไม่ได้ตัดสลับและบิดเบี้ยวเหมือนเดิมแล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง คังจิ่นหยวน และคังเม่าเซิงที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าขั้นเทวะสำแดงจึงอยู่ในนี้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่ถึงกับถูกพลังแห่งเขตแดนบดขยี้

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บพัดกระดาษไม้เจี้ยน หันไปร่วมทางกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก พยายามหยุดยั้งท่าร่าง หลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำวนสีเลือดที่อยู่ในมิติกลืนกิน

เขาย่อมรู้จักพิธีกรรมที่เขาควบคุมด้วยตัวเองเป็นอย่างดี

หากตกลงไปในน้ำวนสีเลือดนั้น แม้จะไม่ถูกกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาม้วนไป แต่ก็กลายเป็นเครื่องเซ่นของพิธีกรรม ถูกบูชาเลือดตรงนั้น ตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

คนสามกลุ่มติดอยู่ในสภาวะชะงักงันอีกครั้ง ทุกคนพยายามทรงตัว เพื่อไม่ให้ถูกน้ำวนสีเลือดกลืนกิน บัดนี้ไม่มีเวลาสนใจอีกฝ่ายแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอในฐานะผู้จัดพิธีกรรม แม้จะได้รับการคุกคามจากตัวพิธีกรรมเอง แต่ก็สามารถเคลื่อนใบมีดเหลือที่ว่างได้[1]

คังฮูหยินกับถานจิ่น เจ้าตำหนักแสงปรวนแปรมีพลังฝึกปรือค่อนข้างสูง ยังพอฝืนประคับประคองได้

สุดท้ายเวลาที่พิธีกรรมคงอยู่ก็ยังคงมีอย่างจำกัด พวกนางเชื่อว่าขอแค่ผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็จะหนีรอดได้สำเร็จ

ถึงแม้ว่าระหว่างทั้งสองฝ่ายจะเกี่ยวข้องกันเป็นศัตรูคู่อาฆาต ทว่ายอดฝีมือซึ่งเป็นสตรีที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าทั้งสองคน ในตอนนี้รู้สึกคับข้องใจยิ่ง อยากจะสังหารเยี่ยนจ้าวเกอให้เร็วที่สุด

การร่วมมือระหว่างพวกนางทั้งสองคนไม่อาจดูแคลน แต่ว่าในตอนนี้กลับไม่มีโอกาสลงมือโดยสิ้นเชิง ถูกเยี่ยนจ้าวเกอใช้บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่เกิดความผิดปกติถ่วงรั้งไว้ จนศีรษะไม้หน้าผากเกรียม[2]

ทั้งสองฝ่ายต่างตัดสินใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ว่าหากหลุดไปได้ จะจัดการเยี่ยนจ้าวเกอก่อนค่อยว่ากล่าว

ไม่อย่างนั้นคงมีแต่ฟ้าที่ทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะใช้ความสามารถประหลาดอะไรออกมาอีก

เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งป้องกันแรงดึงดูดจากน้ำวนสีเลือด ทางหนึ่งสำรวจการเปลี่ยนแปลงของมิติตรงหน้าอย่างละเอียด

บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์เกิดความผิดปกติขึ้น ไม่อาจพาออกจากโลกซ่อนโลก เพื่อลงไปยังโลกเบื้องล่างอยู่ชั่วขณะ เส้นทางถูกอุดไว้

แสงสีเลือดเหมือนกับฉากกำบังปกคลุมมิติไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคังฮูหยินหรือว่าคนจากสำนักแสงสว่าง หรือแม้แต่ตนเอง ต่างถูกขังอยู่ที่นี่ชั่วคราว ไม่มีใครออกไปได้

มิติเวลาที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นเหมือนกับกำแพงที่ส่องแสงพร่างพราว ประสานกับแสงสีเลือด เกิดเป็นกำแพงผลึกสีเลือดที่เหมือนกับของแข็ง

ด้านนอกกำแพงผลึกสีเลือด การเปลี่ยนแปลงของมิติกลับเริ่มเสถียรและมีรูปแบบขึ้นแล้ว

เสถียรและสงบนิ่งยิ่งกว่ายามปกติเสียอีก

ด้านนอกและด้านในแสงสีเลือดสายหนึ่งปรากฏโลกที่แตกต่างกันสองใบ

ยิ่งมิติเวลามั่นคงเท่าไร ก็ยิ่งเป็นผลดีในการตามหาโลกยมทะยานของตนมากเท่านั้น ตนไม่อาจออกไปเพราะมีกำแพงผลึกสีเลือดกั้นอยู่ แต่กลับไม่ใช่ว่าทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง

เยี่ยนจ้าวเกอบังคับวังฝูงมังกรและร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกให้ช่วยตนตั้งตัว จากนั้นก็หยิบหยกแขวนที่ได้มาจากไป๋จื่อหมิงออกมาอีกครั้ง

เขาถ่ายเทญาณจริงแท้เข้าไปด้านในหยกแขวน ก่อนที่บนหยกแขวนจะมีหมอกควันสีเขียวมรกตลอยขึ้นมา

หมอกควันเมื่อสัมผัสกับกำแพงผลึกสีเลือดนั้น กลับไม่ได้ถูกขวางกั้น แต่ซึมไปบนกำแพงผลึกสีเลือดที่เกิดจากการซ้อนทับกันของมิติเวลาอย่างช้าๆ

หลังจากทะลุกำแพงผลึกสีเลือดแล้ว หมอกควันสีเขียวมรกตก็ลอยอยู่กลางความว่างเปล่า ก่อนจะเคลื่อนตัวออกห่างไป ค่อยๆ จับตัวกันกลายเป็นเส้นเส้นหนึ่งยืดเหยียดไปยังที่ไกล

จิตใจส่วนหนึ่งของเยี่ยนจ้าวเกอเชื่อมต่อกับหมอกควันสีเขียวมรกต เหมือนกับความคิดของตนลอยเข้าหาความว่างเปล่าพร้อมกับมัน

ด้านในความเลือนราง เหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังนำทางตนอยู่

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร ด้านในความว่างเปล่าที่เป็นสีดำขลับก็เริ่มปรากฏประกายแสงขึ้น

หมอกควันสีเขียวมรกตที่ล่องลอยไปอย่างไร้ขอบเขตมาโดยตลอดกลับจมลง เหมือนกับมีที่พักพิง ผสานกับประกายแสงนั้น

ประกายแสงหายไป ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอปรากฏทิวทัศน์มากมาย ภูเขา แม่น้ำ แผ่นดินอันงดงามเข้าสู่ครรลองสายตา

‘ที่นี่คือโลกยมทะยานอย่างนั้นหรือ?’ ขณะที่เขาครุ่นคิด จิตใจของชายหนุ่มกับหมอกควันสีเขียวมรกตนั้นก็ม้วนพัดพร้อมกัน พุ่งไปยังที่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว

ทิวทัศน์ด้านหน้าพลันเปลี่ยน ปรากฏหิมะสีขาวโพลน

‘สำนักที่ข้าจากมา คือภูเขาหิมะไพศาลที่อยู่ทางเหนือของโลกยมทะยาน’ คำพูดของไป๋จื่อหมิงดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง เยี่ยนจ้าวเกอมองทิวทัศน์ของแดนเหนือเบื้องหน้า ทราบว่าเป้าหมายที่ควันสีเขียวมรกตนำทางมา ก็คือภูเขาหิมะไพศาลซึ่งเป็นสำนักของไป๋จื่อหมิงในโลกยมทะยานนั่นเอง

เพียงแต่หยวนเจิ้งเฟิงกลับไม่ได้เป็นแขกของเขาต้าเสวี่ย

หมอกควันสีเขียวมรกตเคลื่อนไหวระหว่างท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาอยู่นั้น ทิวทัศน์ด้านหน้าก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง แนวเขายืดยาวปรากฏขึ้น ต่างถูกครอบคลุมอยู่ใต้หิมะและน้ำแข็ง

ตำหนักน้ำแข็งแห่งหนึ่งกลางภูเขาหิมะเข้าสู่ครรลองสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ จิตใจของชายหนุ่มพุ่งลงไปยังตำหนักน้ำแข็งพร้อมกับหมอกควันสีเขียวมรกต

หมอกควันสีเขียวมรกตที่เหมือนกับไร้รูปร่าง กระตุ้นค่ายกลคุ้มกันของตำหนักน้ำแข็ง

แสงสว่างหลายสายตัดสลับกัน หลอมรวมกับหมอกควันสีเขียวมรกตเป็นหนึ่งเดียว ไม่ได้กีดกัน แต่กลับโน้มนำให้หมอกควันทะลุเข้าไปในตำหนักน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่

จิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอไปหยุดอยู่ที่ตำหนักหลังพร้อมกับหมอกควัน เห็นด้านในตำหนักหลังกำลังบูชาเทวรูปองค์หนึ่งอยู่

เมื่อสำรวจเทวรูปองค์นั้นอย่างละเอียด ก็พบว่าลักษณะภายนอกเหมือนกับไป๋จื่อหมิงไม่ผิดเพี้ยน

เยี่ยนจ้าวเกอยังไม่ทันได้พิจารณา หมอกควันสีเขียวมรกตก็พุ่งเข้าไปในเทวรูป

เทวรูปสั่นไหว สองตาส่องแสงในทันใด ป้ายด้านล่างสว่างโชติช่วงเช่นกัน

ชายหนุ่มได้สติ พบว่ามุมมองของตนเป็นหนึ่งเดียวกับกับเทวรูปองค์นั้นอย่างชัดเจน เหมือนกับตนเข้าไปอยู่ในเทวรูป

พร้อมๆ กันนั้น ต่างมีจอมยุทธ์หลายคนรวมตัวกันอยู่ในตำหนักตรงหน้า ล้วนเป็นผู้มีอำนาจระดับสูงของภูเขาหิมะไพศาลทั้งสิ้น

………………..

[1] เคลื่อนใบมีดเหลือที่ว่าง สุภาษิตจีน หมายถึง ไม่ต้องใช้ความพยายามมากก็ประสบความสำเร็จ

[2] ศีรษะไม้หน้าผากเกรียมสุภาษิตจีน หมายถึง ปั่นป่วน อึดอัดคับค้อง