ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 108 หลังกระบี่สามพันเล่ม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อเห็นกระบี่หลายพันเล่มบนท้องฟ้าราตรี หนานเค่อก็หรี่ตา

ใช้ดวงจิตของคนคนเดียวควบคุมกระบี่หลายพันเล่มก็เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระพอแล้ว แต่ยังสามารถใช้เพลงกระบี่ที่แตกต่างกันหลายพันกระบวนท่าในคราวเดียว…

เฉินฉางเซิงทำได้อย่างไรกัน

ตอนนี้เองที่นางมั่นใจในที่สุดว่าต่อให้เฉินฉางเซิงไม่ได้มีกระบี่เหล่านี้หรือลูกไม้อื่น แค่ความเข้าใจในกระบี่ ปราณแท้และการบำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ เขาก็เอาชนะนางได้ หากนางต่อสู้กับเฉินฉางเซิงซึ่งหน้าและไม่ได้มีความเร็วที่สุดในโลก นางคงไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเดียว

……

……

ราชามารเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เฉินฉางเซิงเคยพบเจอมา เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ เขาย่อมต้องใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด

กระบี่พวกบนท้องฟ้าราตรีพวกนี้มีระดับสูงที่สุด สามารถแสดงความรอบรู้ในวิถีกระบี่ของเขาออกมาได้อย่างสมบูรณ์

บรรดากระบี่โบราณที่ติดตามเขาออกมาจากสระกระบี่ในสวนโจวและได้รับอิสรภาพคืนมา บ้างก็ถูกส่งกลับไปยังพรรคสำนักของมัน บ้างก็ถูกมอบให้กับเพื่อนฝูง เซวียนหยวนผ้อได้รับกระบี่มหาสมุทรขุนเขา เจ๋อซิ่วได้รับกระบี่ธงชัยของเผ่ามาร ซูม่ออวี๋กับม่ออวี่ก็ได้รับกระบี่ของตน กระบี่มากมายถูกถังซานสือลิ่วเอาไปซ่อนตามที่ต่างๆ ทั่วสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงก็ไม่ได้นำพวกมันมาตอนที่ออกจากจิงตู หากไม่นับกระบี่ที่เก่าเกินไป ต้องใช้เจตจำนงเพื่อค่อยๆ ฟื้นฟูและไร้กำลังในการต่อสู้ กระบี่ที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ในตอนนี้ก็มีประมาณสามพันเล่ม

กระบี่พวกนี้พักอยู่ในซ่อนคมเป็นเวลาหลายปีแล้วและเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับเขาอยู่เสมอ จิตใจของทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว คมกระบี่แหลมคมราวกับเพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อวานนี้ พลังสานก็เหนือล้ำกว่าในอดีต

คืนนี้ กระบี่หลายพันเล่าสะท้อนภาพและแสงทั้งหลายในความมืดมิด ก่อตัวเป็นมังกรอย่างเงียบงัน พวกมันเหมือนจะเคลื่อนสืบต่อกันแต่ก็ดูเหมือนว่าเคลื่อนไปพร้อมกัน เจตจำนงกระบี่น่าหวาดหวั่นแต่เพลงกระบี่แต่ละกระบวนท่าต่างก็มีความละเอียดอ่อนของตัวเอง พวกมันยากที่จะรับมือได้ ต่อให้จูเยี่ย หนิงสือเว่ยกับพวกยอดฝีมือหลายรอยคนกับพวกทหารยังอยู่ที่ริมทะเลสาบ พวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ในการโจมตีครั้งเดียว

กระบี่สามพันเล่มบินไปในอากาศราวกับว่าเป็นเกล็ดสีทองสะท้อนแสงอยู่ในแม่น้ำท่ามกลางความมืด

ราชามารแสดงสีหน้าชื่นชมอีกครั้งหนี่งและถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “กระบี่เป็นเหมือนเช่นบุคคล หากเจ้าทะลวงผ่านเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต มังกรกระบี่จะงดงามน่าชื่นชมถึงเพียงไหน”

เสียงถอนหายใจเศร้าสร้อยแสดงออกถึงความเสียดาย เสียดายที่ภาพอันงดงามน่าชื่นชมนี้จะไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก เพราะเฉินฉางเซิงจะกลายเป็นอาหารของเขาในคืนนี้

คำชื่นชมเป็นสิงที่ผู้อยู่สูงกว่ามอบให้ผู้อยู่ต่ำกว่า เป็นการประเมินและควาดหวังที่ผู้อาวุโสมีต่อคนรุ่นหลัง คำชื่นชมเกิดขึ้นเพราะผู้กล่าวคำชื่นชมสบายใจ

กระบี่สามพันเล่ม แต่ละเล่มมีการโจมตีที่แตกต่าง สามารถทำลายเสียงฉินจากราชามารได้อย่างง่ายดาย

นิ้วที่เรียวยาวมั่นคงดีดสายฉินเบาๆ ปล่อยเสียงที่เย็นเยียบออกมา

คืนนี้ กู่ฉินส่งเสียงมาหลายครั้งแล้ว มีครั้งหนึ่งที่ได้ทำลายค่ายกลกระบี่ของเฉินฉางเซิงไป

แต่นั้นเป็นเพียงเสียงยุ่งเหยิงกระจัดกระจาย ไม่อาจที่จะเปลี่ยนเป็นบทเพลง เหมือนกับเป็นการโหมโรงมากกว่า

ตอนนี้ เสียงกู่ฉินได้บรรเลงบทเพลงในที่สุด

เพลงที่ราชามารเล่นนั้นเป็นเสียงที่สื่อถึงลมฤดูสารทที่งดงาม

ความงดงามของลมฤดูสารทที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ดังนั้นเสียงฉินจึงเย็นเยียบยิ่งกว่าเคย พัดไปทุกทิศทางราวกับภูเขาในฤดูสารท กระจายไปอย่างเป็นธรรมชาติราวกับใบไม้ร่วง

เสียงฉินลอยไปในอากาศอย่างผ่อนคลาย แผงไว้ด้วยความเยือกเย็นและโหดเหี้ยมที่ยากจะบรรยาย เมื่อพวกมันปะทะกับมังกรกระบี่ที่ฉีกผ่านท้องฟ้าราตรี

เหมือนกับก่อนหน้านี้ เศษดอกไม้เพลิงเจิดจ้ากระเบิดออกกลางอากาศ ส่องสว่างไปทั่ว ทำให้มังกรกระบี่ที่ทอดยาวดูแจ่มชัดยิ่งขึ้น

กระบี่สามพันเล่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง บ้างก็ยากจะทนรับบาดแผลจากเสียงฉินและร่วงหล่นในทันใด ในขณะที่กระบี่เล่มอื่นไม่อาจทนรับความแข็งแกร่งของลมฤดูสารทและเอนไปทางด้านข้าง

ลมพัดมา เสียงฉินพลันปั่นป่วนวุ่นวาย มังกรกระบี่เริ่มสลายตัว เหมือนกับเกล็ดที่ถูกพลังที่มองไม่เห็นถอดออก กระบี่ค่อยๆ แยกตัวออกจากกลุ่ม

กระบี่ที่ยังคงต้านทานก็เริ่มสั่นสะท้าน กระบี่บางเล่มที่มีเนื้อกระบี่อ่อนกว่าเริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้น

จากสถานการณ์นี้ ก่อนที่กระบี่สามพันเล่มของเฉินฉางเซิงจะไปถึงจุดหมาย พวกมันคงพังทลายใต้เสียงฉินไปหมดแล้ว

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ราชามารมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา

นี่เป็นครั้งแรกในคืนนี้ที่เขามีสีหน้าเป็นกังวล

ในตอนนี้ มังกรกระบี่ที่ก่อตัวขึ้นจากกระบี่สามพันเล่มได้พ่นประกายไฟมากมายเข้าสู่ท้องฟ้าราตรี

สายตาเขาจับจ้องไปที่จุดหนึ่งท่ามกลางเหล่ายอดเขา

เป็นจุดที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ และการปะทะระหว่างเสียงฉินกับกระบี่ก็ไม่เกิดขึ้นมากนักที่จุดนี้ แต่สายตาเขามันช่างร้อนแรง

เส้นโคจรของประกายไฟที่พุ่งออกมาได้เบี่ยงเบนเล็กน้อยไปจากเส้นโคจรที่ควรจะเป็น

เป็นการเบี่ยงเบนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แทบจะไม่อาจสังเกตเห็น คนธรรมดาหรือแม้แต่ตัวเฉินฉางเซิงเอง ก็ไม่อาจที่จะมองเห็นมันได้ แต่มันไม่อาจหลุดรอดสายตาของราชามารได้

สายตาเฉยชาของราชามารสามารถทะลวงผ่านกฎเกณฑ์แห่งโลกใบนี้

การเบี่ยงเบนของเส้นโคจรประกายไฟบ่งบอกว่ามิติในจุดนั้นได้เปลี่ยนรูปไปเล็กน้อย

การเปลี่ยนรูปขอมิติหมายความว่ามีบางอย่างที่หนักมากถูกซ่อนเอาไว้ด้านหลังประกายไฟ

ทั้งสองฝ่ายรู้ว่าประกายไฟเกิดจากการปะทะกันของเสียงฉินกับกระบี่

วัตถุที่สามารถทำให้มิติเปลี่ยนรูปนั้นตามเหตุผลต้องมีขนาดมหึมา บางอย่างที่เท่ากับภูเขาหานซานทั้งลูก

แต่การมีวัตถุที่ซ่อนอยู่ด้านหลังประกายไฟได้ แปลว่ามันต้องมีขนาดเล็กมาก

วัตถุใดในโลกที่เล็กขนาดนั้นแต่ก็หนักถึงเพียงนั้น

บางทีนี่อาจเป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่เฉินฉางเซิงซ่อนเอาไว้อย่างแท้จริง

ราชามารพลันสะบัดมือ

สายฉินขาดลงทั้งหมด

เสียงปั่นป่วนพุ่งออกไป

กู่ฉินพังทลายในทันที เปลี่ยนไปเป็นเศษไม้และเส้นใยที่ขาดสะบั้นจำนวนนับไม่ถ้วน

เศษไม้และเส้นใยรวมถึงเสียงฉินโกลาหลพุ่งไปบนท้องฟ้าราตรี

เสียงปะทะเยือกเย็น หนักหน่วง บาดหูดังขึ้นในอากาศ

มังกรกระบี่ในอากาศพ่นประกายไฟจำนวนมากขึ้นและค่อยๆ สลายตัว

ก่อนที่วิชากระบี่ที่บรรจุอยู่ในกระบี่สามพันเล่มจะมีเวลาได้แสดงพลังออกมา พวกมันก็ถูกราชามารทำลายไป!

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยประกายไฟดูเหมือนจะปะทะกับลมฤดูสารท สลายตัวลงในเวลาอันสั้น ภาพท้องฟ้าราตรีเปลี่ยนเป็นชัดเจนมากขึ้น วัตถุบางอย่างไม่อาจที่จะซ่อนตัวจากการมองเห็นได้อีกต่อไป

ลูกปัดหินเล็กๆ ลอยผ่านความมืดไปที่ราชามาร ลูกปัดหินนี้บินไปอย่างเชื่องช้ามากๆ มอบความรู้สึกถึงน้ำหนักอันมากมาย ดูเหมือนว่าจะถูกถึงไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น ในเวลาเดียวกันก็ดึงโลกโดยรอบตัวมันไปด้วย ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวเล็กน้อย

ราชามารมีสีหน้านึกไม่ถึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าในยามที่กล่าว “สวนโจวตกอยู่ในมือของเจ้าจริงๆ”

เขาย่อมพูดกับเฉินฉางเซิง

จากนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นและชี้ไปที่ลูกปัดหิน

คืนนี้ ครั้งแรกที่เขายกมือขึ้นเขาได้คว้าป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหัก กระแทกไห่ตี๋กระเด็นไปยังยอดเขาห่างไกล

ครั้งที่สอง เขาได้คว้ามังกรดำบนท้องฟ้าและขว้างนางไปยังเส้นขอบฟ้า

ตอนนี้เขายกมือขึ้นเป็นครั้งที่สาม สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าสองครั้งก่อนหน้านี้

การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนอย่างมากราวกับกำลังลูบไล้ก้อนเมฆ ในเวลาเดียวกัน ก็ยิ่งใหญ่มากราวกับกำลังเด็ดดวงดาว

ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ ลูกปัดหินก็ค่อยหยุดลง

ในเวลาเดียวกัน ตราประทับหินก็ลอยขึ้นจากเอวและลอยไปสู่ท้องฟ้า

ตราประทับกับลูกปัดหินตั้งอยู่ตรงข้ามกันอย่างเงียบงัน สั่นสะเทือนแต่ไม่เคลื่อนไหว มีเสียงหึ่งแผ่วเบา

คลื่นพลังปราณอันรุนแรงที่บรรจุอยู่ระหว่างวัตถุทั้งสองค่อยๆ สงบลง

เหมือนกับเพื่อนเก่าได้มาพบกัน แต่ก็เหมือนกับการพบกันของศัตรู ต่างฝ่ายต่างก็มีอารมณ์ของตัวเอง ในขณะที่เฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ