เอียนอานฉงกับเอียนหม่านชวนรีบเข้าไปห้ามหานหนานเทียน เอียนอานฉงเข้าไปเกลี้ยกล่อมว่า “พี่หานอย่าโกรธไม่เลยนะ ชิงเฉิงถูกเอาใจมาแต่เด็กจนนิสัยเสีย จะเอาแต่ใจหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเพราะพวกเราที่สั่งสอนไม่ดี ไปอยู่ที่นั่น คุณก็อย่าถือสาเลยนะ อย่าทำให้เด็กมันต้องลำบากนะ!”
หานหนานเทียนสีหน้าดีขึ้นมาก พยักหน้าแล้วพูดไปว่า “ไม่ต้องห่วง นี่เป็นหลานสาวของผม ต่อให้ดุด่าว่ากล่าว ผมก็รู้ว่าความเหมาะสมดี ไม่ทำให้เธอลำบากหรอก!”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องขอบคุณ พี่หานมาก!” เอียนอานฉงโค้งคำนับ
“ขอตัว!” ใช้มือหนึ่งคว้าตัวเอียนชิงเฉิงแล้วพุ่งตัวออกไป
ซังซังเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตกใจจนแก้วชาในมือหล่นลงไปแตกที่พื้น
โลกบู๊โบราณ ตระกูลตู๋กู
วันนี้ผู้นำตระกูลตู๋กู ตู๋กูอู๋ซวงจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่ คนของแปดตระกูลใหญ่ต่างถูกเชิญมา
ถ้าไม่ใช่เพราะหกสำนักใหญ่คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าอีกขั้น ตู๋กูอู๋ซวงก็คงเชิญมากแล้ว
ในห้องรับรองของตระกูลตู๋กู งานเลี้ยงค่อนข้างเลิศหรู คนจากแปดตระกูลใหญ่ต่างมากันครบ
ตู๋กูอู๋ซวงรินเหล้าให้ผู้นำตระกูลอื่นๆ ด้วยตนเอง จากนั้นก็ยกแก้วขึ้น แล้วพูดไปว่า “การที่พี่น้องทุกท่านมาร่วมงานในวันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก ก่อนอื่นต้องขอดื่มอวยพรทุกท่านก่อน!”
ผู้นำคนอื่นบางคนเรียกพี่ตู๋กู บางคนเรียกน้องตู๋กู ต่างพากันทักทายตู๋กูอู๋ซวง
ทุกคนพากันดื่มหมดแก้ว ตู๋กูอู๋ซวงพูดอย่างหดหู่ว่า “ทุกท่าน ตั้งแต่ที่จากกันครั้งก่อนหลายปีแล้วที่พวกเราไม่ได้มารวมตัวกัน”
“ใช่ๆ มันหลายปีแล้วจริงๆ”
หลังความหดหู่ คำพูดของทุกคนก็มากขึ้น แล้วเริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ นาๆ
รู้ตัวอีกทีก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันก่อน เรื่องที่หกสำนักร่วมมือกับแปดตระกูลใหญ่ไปล้อมโจมตีเฉินไต้ซือที่ทะเลสาบกลับคืนรัง
พอพูดถึงเรื่องนี้ ผู้นำตระกูลทั้งหลายต่างมีคำพูดที่ไม่พอใจ เพราะในศึกครั้งนั้น แปดตระกูลใหญ่ต่างสูญเสียผู้อาวุโสแดนเทพไปฝั่งละคร
ผู้อาวุโสแดนเทพคนหนึ่ง แทบจะเป็นตัวกำหนดความแข็งแกร่งของตระกูลตระกูลหนึ่งสมมติว่าคุณมีผู้แข็งแกร่งแดนเทพสามคน ส่วนเราก็มีสามคน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น
แต่ถ้าคุณมีผู้แข็งแกร่งแดนเทพสามคน แต่ทางเรามีสี่ แบบนี้คุณต้องเป็นฝ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เนื่องจากผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงแดนเทพ ฝีมือไม่ได้ต่างกันมากมาย นอกจากแดนจะสูงกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็เป็นผู้บำเพ็ญแบบเฉินโม่ จึงจะกลายเป็นตัวตนพิเศษในหมู่แดนเทพด้วยกัน
ดังนั้น ความแค้นที่แปดตระกูลใหญ่มีต่อเฉินโม่มันไม่ใช่น้อยๆ เลย
ตู๋กูอู๋ซวงถนัดเรื่องการสังเกตสีหน้าของคนอื่นมาก การแสดงออกทางสีหน้าของผู้นำตระกูลคนอื่น ถึงจะน้อยนิด แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของเขาได้
ตู๋กูอู๋ซวงเริ่มกล่าวโทษเฉินไต้ซือเสียงดัง ด่าเฉินไต้ซือ จนทำให้ผู้จำตระกูลคนอื่นเริ่มเห็นใจ ทุกคนต่างเคียดแค้นศัตรูคนเดียวกัน และประณามเฉินไต้ซือพร้อมกัน
ตู๋กูอู๋ซวงอาศัยตอนที่ทุกคนกำลังฮึกเหิมได้พูดออกมาอย่างกะทันหันว่า “ทุกท่าน เฉินไต้ซือฆ่าผู้อาวุโสของตระกูลตู๋กู ผมตั้งใจจะไปทวงคืนความยุติธรรมกับเฉินไต้ซือ ไม่ทราบว่าทุกท่านกล้าพอที่จะไปพร้อมกับตระกูลตู๋กูของผมมั้ย?”
ทุกคนถึงกับตะลึง นี่ตระกูลตู๋กูคิดจะเปิดศึกกับเฉินไต้ซืออย่างนั้นเหรอ?
พอเห็นการตอบสนองของทุกคน ตู๋กูอู๋ซวงได้คิดไว้อยู่แล้ว จึงพูดต่อว่า “แน่นอนว่า ถ้าทุกท่านไม่พร้อมไปกับผม ผมก็ไม่บังคับ ตระกูลตู๋กูของเราไม่มีทางอดกลั้นความโกรธนี้ได้ถ้าพวกคุณไม่ไป ตระกูลตู๋กูจากไปโดยลำพังเอง!”
ตู๋กูอู๋ซวงพูดออกมาอย่างน่ายกย่อง ทำเอาตระกูลตู๋กูของเขาไม่กลัวที่จะทำสงครามกับศัตรูตัวฉกาจเพื่อคนในตระกูล
เมื่อถึงตอนนั้น ชื่อเสียงของตระกูลตู๋กูต้องเป็นที่ยอมรับในโลกบู๊โบราณแน่ ผู้คนมากมายต่างต้องพากันเข้าหาตระกูลตู๋กู
ผู้นำตระกูลพวกนั้นพากันแอบด่าในใจว่าตู๋กูอู๋ซวงวางแผนได้อย่างล้ำลึก ถึงพวกเขาก็อยากแก้แค้นเฉินโม่มาก แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนเหมือนตระกูลตู๋กู แต่พอถูกตู๋กูอู๋ซวงกระตุ้นแบบนี้ ผู้นำตระกูลบางคนก็เริ่มนังไม่ติดแล้ว