ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 742 โชควาสนาของท่านผู้เฒ่า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ชายชราร่างผอมแห้ง ลักษณะธรรมดา ไร้ชีวิตชีวาคนหนึ่ง

แต่เมื่อปรากฏในสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ กลับสูงใหญ่เหลือประมาณ

แขนเสื้อข้างซ้ายว่างเปล่า สะบัดไปมา เยี่ยนจ้าวเกอมองอย่างเจ็บปวด

ด้านหน้าเหมือนกับปรากฏเหตุการณ์ที่ชายชราตัดแขนข้างหนึ่งของตัวเองในหลุมดำของมิติเวลา ที่อยู่ด้านใต้หุบเหวบนปฐพีพิภพเมื่อในอดีต

แสงสว่างด้านในดวงตาของเทวรูปไป๋จื่อหมิงที่อยู่ในตำหนักใหญ่ สั่นระริกเล็กน้อย มีจิตสายหนึ่งส่งออกมา “อาจารย์ปู่…”

บนใบหน้าของชายชราปรากฏรอยยิ้ม เขาทอดถอนใจอยู่หลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะความภูมิใจ

เทวรูปเบื้องหน้าแม้จะเป็นของไป๋จื่อหมิง แต่ในห้วงสมองของเขากลับปรากฏเป็นใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ

“จ้าวเกอ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้พบกันอีกครั้งด้วยวิธีนี้ ข้าครั้งนี้ที่สามารถหลุดออกมาจากตาน้ำทะเลได้ ต้องขอบคุณเจ้าด้วย”

ชายชราแขนเดียวผู้นี้ย่อมเป็น ‘ปราชญ์เทียมฟ้า’ หยวนเจิ้งเฟิง เจ้าสำนักคนเก่าของเขากว่างเฉิงแห่งโลกแปดพิภพในอดีต ซึ่งล่องลอยจากกระแสปั่นป่วนของมิติเวลามาถึงโลกยมทะยาน!

เยี่ยนจ้าวเกอรำพึงรำพันในใจมากมายเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นความยินดี “ศิษย์เยี่ยนจ้าวเกอ ขอคำนับอาจารย์ปู่ เห็นท่านสุขสบายดี ข้าก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง”

หยวนเจิ้งเฟิงถาม “ได้ยินคนของภูเขาหิมะไพศาลบอกว่า ตอนนี้เจ้าอยู่ในโลกซ้อนโลกหรือ? เป็นเจ้าลอยขึ้นไปหลังจากมีระดับมากกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม หรือว่ามีของวิเศษคุ้มกันสำหรับผ่านบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์? รู้หรือไม่ว่าสถานการณ์ของโลกแปดพิภพเป็นอย่างไร?”

ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวมากมายหลังจากหยวนเจิ้งเฟิงหายสาปสูญไปจากโลกแปดพิภพอย่างย่อๆ

ประเด็นสำคัญย่อมเป็นเรื่องที่บุญคุณความแค้นระหว่างเขากว่างเฉิงและสำนักแสงสว่างในตอนนี้ กลายเป็นสิ่งที่ตนต้องทำบนโลกซ้อนโลกไปแล้ว

หยวนเจิ้งเฟิงไม่มีเวลาสนใจความพินาศของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และตำหนักอัสนีสวรรค์ซึ่งตนสู้ด้วยมาค่อนชีวิต เพราะตอนนี้เขาสนใจสำนักแสงสว่างมากกว่า

“เจ้าอยู่ในโลกซ้อนโลกเพียงคนเดียว…” หยวนเจิ้งเฟิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น

เยี่ยนจ้าวเกออธิบายอย่างรวดเร็ว “อาจารย์ปู่วางใจ ตอนนี้ข้าได้ผูกมิตรกับลูกศิษย์ขององค์ประมุขอาคเนย์ สามารถปะทะกับอีกฝ่ายได้แล้ว”

หยวนเจิ้งเฟิงพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรีบกลับไปพบกับพวกเยี่ยนตี๋ ฟางจุ่น ศิษย์น้องจาง ศิษย์น้องเหอที่โลกแปดพิภพก่อน”

“ข้ากับเยี่ยนตี๋อยู่ในโลกแปดพิภพพร้อมกัน ย่อมไม่ต้องเกรงกลัวการมาของสำนักแสงสว่าง”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กลับต้องรบกวนให้อาจารย์ปู่หยุดอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้ายสักระยะ”

“หลังจากต่อสู้กับสำนักตะวันซ้อน เกรงว่าตัวท่านใกล้จะก้าวเท้าก้าวสุดท้ายนั้นได้แล้วกระมัง?”

มุมปากของหยวนเจิ้งเฟิงปรากฏรอยยิ้มเช่นกัน “ถือว่าพอได้อะไรอยู่บ้าง หากทำความเข้าใจและตกตะกอนอีกสักรอบ ข้ามีความมั่นใจจะลองดู แต่ว่าไม่ได้รีบร้อน”

“ท่านมีของวิเศษที่ใช้สำหรับเคลื่อนไหวในมิติหรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอถาม

เรื่องสองเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอไหว้วานจอมยุทธ์ภูเขาหิมะไพศาลก่อนหน้านี้ เรื่องที่หนึ่งก็คือการช่วยให้หยวนเจิ้งเฟิงที่อยู่ในตาน้ำทะเลหลุดออกมา

เรื่องที่สองก็คือการทิ้งเครื่องหมายไว้ในโลกซ้อนโลกและโลกแปดพิภพให้กับหยวนเจิ้งเฟิง เพื่อทำให้ท่านผู้เฒ่าแยกแยะทิศทางในมิติไร้สิ้นสุดได้

ในขณะที่แยกแยะทิศทาง ถ้าหากว่าระหว่างโลกทั้งสองใบไม่มีทางเชื่อมเขตแดน และไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ฝึกฝนวรยุทธ์อย่างคัมภีร์นภาความว่างเปล่า หรืออยู่ในระดับต่ำกว่าขั้นเทวะสำแดง คิดจะเคลื่อนไหวระหว่างโลกทั้งสองใบ โดยพื้นฐานแล้วจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษหรือการช่วยเหลือจากของวิเศษ

อย่างเช่นที่เยี่ยนจ้าวเกอพึ่งพากระจกยังสูงส่ง เพื่อใช้วิชาเคลื่อนผ่านโลกกระจก ในการเคลื่อนที่ไปมาระหว่างโลกแปดพิภพและโลกผืนสมุทร

หยวนเจิ้งเฟิงตอบว่า “สหายจากภูเขาหิมะไพศาลกำลังช่วยข้าหาวิธีอยู่”

“ในช่วงนี้ ข้าพึ่งพาภูเขาหิมะไพศาลในการซึมซับวรยุทธ์ และรอสหายจากที่นั่นช่วยเตรียมของวิเศษสำหรับเคลื่อนไหวในมิติ นอกจากนี้พวกเขายังบอกว่า หลังจากผ่านไปสักพัก จ้าวเกอเจ้าอาจจะติดต่อมาอีกครั้ง”

“ดังนั้นข้าจึงถือโอกาสรอติดต่อกับเจ้าอยู่ที่นี่ หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว ค่อยกำหนดทิศทางถัดไป”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “เป็นพวกเขาเกลี้ยมกล่อมให้ท่านกับสำนักตะวันซ้อนหยุดสู้กันหรือ?”

หยวนเจิ้งเฟิงว่า “มิผิด สำหรับพวกเขาแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าประเสริฐมากแล้ว หากเลยเถิดไปอาจจะนำภัยร้ายมาให้ ย่อมไม่อยากให้ข้าสู้กับสำนักตะวันซ้อนอีก”

“ถึงแม้ว่าจะได้ประโยชน์กันทั้งคู่ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเกิดจากความคิดของจ้าวเกอเจ้า แต่ว่าที่ข้าหลุดมาจากตาน้ำทะเลได้ ก็ต้องตอบแทนพวกเขาด้วย”

สงครามที่ทะเลตะวันตกเกิดการเข่นฆ่าไปทั่วสารทิศ ต่อสู้กันจนสำนักตะวันซ้อนเกือบพินาศย่อยยับ

นอกจากนั้นยังบุกไปสู้ถึงที่อยู่ของสำนักตะวันซ้อน ฆ่าอีกฝ่ายไปอีกหลายคน เล่นงานยอดฝีมือสำนักตะวันซ้อนที่ลงมาจากโลกซ้อนโลกจำนวนไม่น้อยจนโงหัวไม่ขึ้น

หยวนเจิ้งเฟิงได้ระบายความคับข้องของตัวเองออกไปแล้ว

เหตุผลที่ไม่ยอมเลิกรา เพราะเรื่องทำลายหอพัดคลื่น

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หอพัดคลื่นก็ดูแลเขาไม่เลว ในฐานะแขกของหอพัดคลื่น เมื่อหอพัดคลื่นถูกสำนักตะวันซ้อนทำลาย เขาก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้

ต่อมาเป็นคนจากภูเขาหิมะไพศาลออกหน้าปกป้อง จึงช่วยเหลือผู้สืบทอดของหอพัดคลื่นที่หนีจากการถูกสังหารจำนวนน้อยนิดให้อยู่สืบทอดวิชา และรักษาการเผยแพร่วิชาต่อจากนี้ได้

หยวนเจิ้งเฟิงเมื่อนึกได้ว่าในที่สุดตนต้องผละจากโลกยมทะยาน และสำนักตะวันซ้อนมีรากฐานบนโลกซ้อนโลก จึงตอบรับว่าจะไม่สู้กับสำนักตะวันซ้อนบนโลกยมทะยานจนถึงที่สุด

“ข้าได้ประโยชน์จากการอยู่ในโลกยมทะยานอยู่บ้าง” หยวนเจิ้งเฟิงว่า

เยี่ยนจ้าวเกอคิดไม่ถึงว่าหยวนเจิ้งจะพูดถึงเรื่องนี้เอง ถึงอย่างไรโชควาสนาก็เป็นเรื่องส่วนตัว ถือเป็นหลักการที่ทุกคนยอมรับ

อย่างเช่นในเขากว่างเฉิง จะแบ่งกับคนอื่นๆ ในสำนักหรือไม่ ต้องดูที่ความปรารถนาของตัวเอง

ไม่ใช่แค่ศิษย์รุ่นหลังเท่านั้น หยวนเจิ้งเฟิงที่เป็นผู้อาวุโสก็เป็นเช่นนั้นเช่นกัน

หยวนเจิ้งเฟิงพูดต่อว่า “เมื่อก่อนได้ยินเยี่ยนตี๋พูดคร่าวๆ ว่าความอัศจรรย์ของวรยุทธ์ที่ชูฉิงมารดาของจ้าวเกอเจ้าฝึกฝน เหนือกว่าเขากว่างเฉิงของเรา”

“ในตอนนั้นข้าได้เห็นชูฉิงประมือกับคนอื่น จึงรู้ซึ้งถึงการวินิจฉัยของบิดาเจ้าเป็นอย่างดี”

“และหลังจากข้าได้ทำความเข้าใจวรยุทธ์ที่ได้มาในตอนที่อยู่ในโลกยมทะยานอย่างละเอียด กลับรู้สึกว่าคล้ายกับวรยุทธ์ที่ชูฉิงฝึกยิ่ง”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็ประหลาดใจกว่าเดิม ‘คัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิต…?’

ถึงจะยังไม่ได้ยืนยันว่ารากฐานวรยุทธ์ที่เสวี่ยชูฉิง มารดาของตนฝึกฝนใช่คัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิตหรือไม่ และนางได้ฝึกวรยุทธ์อื่นพร้อมกันด้วยหรือไม่ กระนั้นวรยุทธ์ที่เสวี่ยชูฉิงถ่ายทอดให้เสี่ยวอ้ายและซูอวิ๋น ต่างก็เป็นเคล็ดวิชาจากคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิตซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์นภาแรกเริ่มสิบม้วน

อย่างที่คิดไว้ หยวนเจิ้งเฟิงเอ่ยว่า “วรยุทธ์นี้กลับเป็นคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิต วิชาสายหยกพิสุทธิ์”

“เป็นคัมภีร์ของหอพัดคลื่นหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอถาม

หยวนเจิ้งเฟิงส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้น เป็นข้าเจอที่อยู่ที่ถูกทิ้งร้างมานานแห่งหนึ่งในขณะท่องเที่ยวอยู่ด้านนอกคนเดียว ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษท่านใดเหลือไว้ กลับพบวิชาลับนี้ด้านในนั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญ ‘เช่นนั้นไม่น่าเกี่ยวกับท่านแม่’

เขาหัวเราะขึ้น “ใครว่าโชควาสนาเป็นสิทธิบัตรของคนหนุ่มสาวกัน?”

หยวนเจิ้งเฟิงเล่าต่อว่า “นอกจากนี้แล้ว ยังมีวิชาสายฟ้าที่แข็งแกร่งอีกหนึ่งวิชา เพราะการศึกษาวรยุทธ์สองอย่างนี้ ข้าจึงได้ประโยชน์มากมาย ทลายด่านครั้งแล้วครั้งเล่า จนมีความสำเร็จเช่นทุกวันนี้”

‘คัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิต…วิชาสายฟ้า…’ ฟังถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกลับงงงวยอีกรอบ เหมือนกับคล้ายคว้าอะไรไว้ได้ แต่ก็มีความรู้สึกพร่าเลือนเหมือนอยู่ในม่านหมอก ทุกอย่างดูขมุกขมัว

……………………