หลังจากตระกูลกงจากไปจนหมด สีหน้าของหลินหงเหวินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันทีในระหว่างเดินไปหาหลินเหรินเจี๋ย
“ท่านปู่จะให้ข้าไปสู่ขอน้องหลิงเมื่อไหร่งั้นเหรอ?” หลินเหรินเจี๋ยรีบถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าหลินหงเหวินเดินเข้ามาหา
“เรื่องงานแต่งของเจ้าเอาไว้พูดทีหลัง ตอนนี้ให้ปู่ถามเจ้าก่อนเกี่ยวกับอู๋หมิง!” หลินหงเหวินถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าจงบอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้มาให้ปู่ฟังให้หมดห้ามปิดบังแม้แต่อย่างเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่อาจชี้ชะตาตระกูลของเราในอนาคต!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเหรินเจี๋ยจึงเล่าทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่แรกที่เขาเจอหลิงตู้ฉิงกลางทะเลสาบ จากนั้นเขาก็พยายามไล่หลิงตู้ฉิงออกไป แต่แล้วหลิงตู้ฉิงกลับตามเขามาโดยที่เขาไม่รู้ตัว รอบนี้เขาเล่ารายละเอียดทุกอย่างจนครบเท่าที่เขาพอจะนึกออก
จากนั้นเมื่อเขาเล่าทุกอย่างจบ เขาจึงพูดกับหลินหงเหวินต่อว่า “ท่านปู่ ข้ามั่นใจเป็นอย่างมากว่าพี่อู๋เป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ช่วยพวกเราจบปัญหากับตระกูลกงแบบนี้แน่”
หลินหงเหวินพ่นลมหายใจด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไว้ใจได้งั้นเหรอ? จนถึงตอนนี้เขายังไม่บอกเราเลยว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใครมาจากที่ไหน แถมตอนนี้เขายังพยายามตีสนิทซวน ซึ่งตอนนี้ฐานะของนางในตระกูลของเรานับได้ว่าสำคัญเหนือกว่าใครทั้งหมด แล้วแบบนี้เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าพวกเราสามารถไว้ใจเขาได้อย่างสมบูรณ์?”
“ท่านปู่นี่ท่านไม่เห็นเหรอว่าพี่อู๋ยอดเยี่ยมแค่ไหน?” หลินเหรินเจี๋ยหัวเราะ “ทำไมตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านไม่ค่อยจะพอใจกับเขาเลย มันไม่ดีงั้นเหรอที่ซวนจะได้แต่งงานกับปรมาจารย์จิตรกรที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้? และอีกอย่างท่านก็น่าจะเห็นเหมือนกับข้าว่าการกระทำของพี่อู๋แต่ละอย่างนั้นล้วนแต่ให้ประโยชน์กับพวกเรา ส่วนเรื่องหอคอยเสียงสวรรค์ ถ้าหากว่าท่านปู่กังวลจริง ๆ ท่านก็ให้ซวนสอนท่วงทำนองที่นางเล่นให้กับคนอื่นก็ได้นี่นา แค่นี้ตระกูลของเราก็นับได้ว่าควบคุมหอคอยได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้วถูกต้องไหม?”
หลินหงเหวินส่ายหัว “มันไม่ง่ายแบบที่เจ้าคิดหรอก! เจ้ายังเด็กเจ้าจึงยังไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ดีพอ! การที่จู่ ๆ เขามาปรากฏกายขึ้นที่เกาะของพวกเรานั้นมันไม่มีทางที่เขาจะมาที่นี่เพียงเพราะแค่อยากจะชมทิวทัศน์แบบที่เขาอ้างแน่นอน และด้วยความแข็งแกร่งของเขาที่น่ากลัวขนาดนี้ ขืนพวกเราไม่ระวังเขาเอาไว้และเขาปองร้ายพวกเราขึ้นมาจริง ๆ ตระกูลของเราคงจบสิ้นกันแน่นอน”
หลินหงเหวินนั้นมีชีวิตอยู่มาเป็นพันปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงพบเจอกับผู้คนมามากมาย ซึ่งมันทำให้เขาไม่ดูคนแค่เพียงผิวเผิน
ในมุมมองของเขาที่มีต่อหลิงตู้ฉิงนั้น เขาคิดว่าหลิงตู้ฉิงน่าจะมาที่นี่เพราะหอคอยเสียงสวรรค์ ซึ่งมีอำนาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายทะลวงระดับได้ไวขึ้น
เขารู้ดีว่าตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงอยู่ในขอบเขตนภา ซึ่งมีอายุขัยไม่มากและเขาเดาได้ว่าหลิงตู้ฉิงน่าจะมีชีวิตอยู่มานานแล้วจนใกล้จะสิ้นอายุขัย เพราะทักษะต่าง ๆ ที่เขานำออกมาใช้งานมันไม่สามารถฝึกกันได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ดังนั้นทางออกของหลิงตู้ฉิงที่จะอยู่รอดต่อไปได้ก็คือการที่เขาจะต้องทะลวงระดับไปยังขอบเขตสวรรค์เพื่อยืดอายุขัยไปอีก และวิธีการที่เขาจะทะลวงระดับได้เร็วที่สุดก็คือการพึ่งพาอำนาจของหอคอยเสียงสวรรค์นั่นเอง!
และจากนั้นมันน่าจะเป็นความบังเอิญหรือโชคดีก็เป็นได้ ที่หลิงตู้ฉิงน่าจะรับรู้ได้ว่าหลานสาวของเขามีความสามารถในการควบคุมหอคอยเสียงสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงพยายามหลอกล่อนางจนทุกอย่างลงเอยมาเป็นแบบปัจจุบัน
แต่แล้วในระหว่างที่เขากำลังปะติดปะต่อเรื่องอยู่นั้น จู่ ๆ คลื่นพลังวิญญาณอันผันผวนรุนแรงก็ปะทุขึ้นจากบริเวณเรือนรับรองที่หลิงตู้ฉิงอาศัยอยู่
สีหน้าของหลินหงเหวินกลายเป็นตกตะลึง และจากนั้นเขาก็รีบพุ่งตัวไปที่เรือนรับรองทันที
แต่เมื่อเขามาถึงเรือนรับรอง เขาก็เห็นว่าเรือนรับรองตอนนี้เหลือแต่ซากปรักหักพัง ส่วนหลิงตู้ฉิงนั้นยืนอยู่กลางซากความเสียหายด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รวมไปถึงบรรดาคนของเขาก็ยืนอยู่ไม่ห่างกำลังสำรวจซากเรือนรับรอง
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินหงเหวินถามขึ้นทันที
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญของเขาเองตะโกนรายงานกลับทันที “เรียนท่านหัวหน้าตระกูล มีใครบางคนพยายามลอบทำร้ายคุณชายอู๋ ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเรือนรับรองนั้นเป็นผลพวงมาจากการต่อสู้!”
“หืม?” หลินหงเหวินหรี่ตามองไปยังหลิงตู้ฉิง และถามว่า “อู๋หมิง ใครกันที่เป็นคนโจมตีท่าน?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “พวกมันปิดหน้าปิดตาซะขนาดนั้นข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครลอบโจมตีข้า? นี่ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้าคือปรมาจารย์จิตรกรผู้เก่งกาจ ป่านนี้ข้าคงจะโดนจัดการเรียบร้อยไปแล้ว…”
อันที่จริงหลิงตู้ฉิงรู้ว่าใครเป็นคนโจมตีแต่เขายังไม่อยากพูดอะไรออกไป เพราะเขาอยากจะรู้ว่าคนเหล่านั้นมีแผนการอะไรอยู่กันแน่
หลินหงเหวินขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรออกไป คลื่นพลังวิญญาณอันผันผวนรุนแรงก็ปะทุขึ้นอีกรอบ ซึ่งครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากทิศทางที่เรือนของหลินหรูซวนตั้งอยู่!
จากนั้นเมื่อหลินหงเหวินบินไปถึงเรือนของหลินหรูซวน สิ่งที่เขาเห็นก็คือบริเวณรอบ ๆ ตัวเรือนนั้นอยู่ในสภาพเละเทะราวกับว่าพึ่งถูกฝนดาวตกถล่มมา แต่ตัวเรือนกลับอยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมือนเดิมไร้รอยขีดข่วน ส่งผลให้ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจจนแสดงสีหน้าแปลกประหลาด
หลินหรูซวน ซึ่งกำลังยืนมองสภาพรอบ ๆ เรือนของนางที่ป่นปี้ไม่เหลือชิ้น เมื่อนางเห็นว่าปู่ของนางและหลิงตู้ฉิงเดินทางมาถึง นางจึงตะโกนขึ้นทักทันที “ท่านปู่ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“หืม? นี่เจ้าไม่รู้ตัวเหรอไงว่าเจ้าถูกโจมตี?” หลินหงเหวินถามกลับด้วยสีหน้างุนงง
“งั้นก็สมน้ำหน้าพวกหน้าโง่พวกนั้นแล้ว!” หลินหรูซวนหัวเราะ “ดีนะที่ก่อนหน้านี้พี่อู๋เตือนให้ข้าเอาภาพวาดที่เหลือไปวางไว้ตามจุดต่าง ๆ รอบ ๆ เรือนเพื่อป้องกันผู้บุกรุก ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลยอดเยี่ยมทีเดียว!”
ภาพวาดอีกแล้วงั้นเหรอ?
หลินหงเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาหันไปถามหลิงตู้ฉิงว่า “พอกันที! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันนี้ข้าต้องการคำตอบจากเจ้าว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ และเจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันถึงได้มาที่ตระกูลของข้า!?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและถามกลับ “ถ้าข้าไม่บอกแล้วเจ้าจะทำอะไรข้า?”
“เจ้าต้องบอก! เพราะตอนนี้ตัวตนของเจ้าสร้างปัญหาให้กับตระกูลข้าเยอะเกินไปแล้ว!” หลินหงเหวินขึ้นเสียง
หลิงตู้ฉิงถามต่ออย่างใจเย็น “หากพูดกันตามจริงแล้วต่อให้ข้าไม่บอกกับเจ้าว่าข้าเป็นใคร เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ข้าคิดว่าเจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจในเรื่องนี้จริงไหม? และที่สำคัญเจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าเป็นคนช่วยแก้ปัญหาให้กับเจ้าเมื่อบ่ายที่ผ่านมา?”
หลินหงเหวินพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ใกล้จะหมดความอดทน “แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าทำให้กับตระกูลของข้า ข้าย่อมไม่ลืมและซาบซึ้งในสิ่งที่เจ้าทำให้ แต่ว่าตอนนี้ตัวตนของเจ้ามันกำลังทำให้ตระกูลของข้าตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเจ้าจงบอกมาตรง ๆ เลยดีกว่าว่าเจ้าต้องการอะไรกันแน่ หากมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าจะยอมทำตามที่เจ้าขอ”
“ถ้าเจ้าชอบหลานสาวของข้าจริง ๆ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าแต่งงานกับนางทันทีหรือถ้าเจ้าอยากจะยืมใช้อำนาจของหอคอยเสียงสวรรค์เพื่อทะลวงระดับการบ่มเพาะข้าก็ไม่ขัดข้อง แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว ข้ามีคำขอร้องเจ้าเพียงอย่างเดียวก็คือขอให้เจ้าออกไปจากตระกูลของข้าในทันทีและอย่าได้กลับมาอีก!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เอาแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน งั้นตอนนี้ให้ซวนอยู่ข้างกายข้าไปก่อน และหลังจากที่ข้าทะลวงระดับได้เมื่อไหร่ข้าจะสนองความต้องการของเจ้าทันที!”
หลินหงเหวินมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ
คนผู้นี้ยอมตกลงงั้นเหรอ?
หลินหงเหวินมองไปที่หลิงตู้ฉิงอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปที่หลินหรูซวนและถามว่า “หลานปู่ เจ้ายินดีจะไปกับเขารึเปล่า?”
หลินหรูซวน เมื่อได้เห็นสีหน้าและท่าทางของปู่นางตอนนี้ นางก็รู้สึกขบขันอยู่ในใจเพราะนางเข้าใจว่าปู่ของนางนั้นเข้าใจผิดไปแบบไม่ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย
นางยิ้มก่อนที่จะตอบกลับว่า “ท่านปู่ ข้ายินดีที่จะรับใช้คุณชายอู๋ไปจนวันตาย!”
อู๋หมิงเป็นบรรพบุรุษของนาง ดังนั้นการที่นางเต็มใจรับใช้เขามันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วจริงไหม?
เมื่อได้ยินคำตอบที่หนักแน่นของหลานสาวตัวเอง หลินหงเหวินจึงพยักหน้าและพูดว่า “ถ้างั้นก็ดี! ในเมื่อพวกเจ้าทั้งคู่มีใจตรงกันข้าจะสนับสนุนพวกเจ้าเอง! แต่ก่อนที่เจ้าจะเดินทางออกจากตระกูลไป ปู่คงต้องขอท่วงทำนองพิณที่เอาไว้ใช้ควบคุมหอคอยเสียงสวรรค์เอาไว้ก่อนเพื่อให้มันเป็นมรดกของตระกูลสืบไป และเจ้าเองก็ต้องสาบานต่อสวรรค์ว่าเจ้าจะไม่ถ่ายทอดมันให้ใครรู้อีก และเมื่อไหร่ที่อู๋หมิงทะลวงระดับเรียบร้อยแล้วพวกเจ้าก็ไปจากที่นี่กันได้เลย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินหรูซวนเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง เนื่องจากนางไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเพราะท่วงทำนองนี้มันเป็นสิ่งที่หลิงตู้ฉิงมอบให้นาง หากนางไม่ได้รับอนุญาตนางก็ไม่กล้าถ่ายทอดให้กับคนอื่น!
แต่แล้วในทันทีที่นางเหลือบไปมองหลิงตู้ฉิง นางก็ได้ยินเสียงของเขาหลิงตู้ฉิงก้องเข้ามาในดวงวิญญาณว่า “จงถ่ายทอดมันให้กับปู่ของเจ้าไปซะ สำหรับเจ้าแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรมากมายหรอก”
แน่นอนว่าหลังจากที่นางได้ยินคำอนุญาตของหลิงตู้ฉิง นางก็ถ่ายทอดท่วงทำนองพิณให้กับปู่ของนางทันที
ทางด้านของหลินหงเหวิน เมื่อได้รับท่วงทำนองมาจนครบแล้ว เขาเองก็แสดงสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “ทางเลือกนี้เจ้าเป็นผู้เลือกเอง ดังนั้นไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจำเป็นต้องอยู่กับมันให้ได้ สุดท้ายนี้ปู่ก็ขอให้เจ้าโชคดีกับสิ่งที่เจ้าเลือก!”
เมื่อพูดจบ หลินหงเหวินก็บินจากไปในทันทีโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย