ปังเสียงหนึ่ง ประตูใหญ่ถูกเปิดออก

เจ้าบ้านรองและเจ้าบ้านสามวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน เสียงดังกังวานดังขึ้นมาแต่ไกล

“อาหน่วน ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าเจ้าฟื้นแล้วใช่หรือไม่?”

“โอ้หลานรักของข้า อาสามเฝ้ารอดวงดาวเฝ้ารอดวงจันทร์ ในที่สุดก็เฝ้ารอจนเจ้ากลับมาแล้ว”

กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้น กลับเห็นใบหน้าของเจ้าบ้านรองและเจ้าบ้านสามเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา ท่าทางดูถูกเหยียดหยามในปกติเปลี่ยนไป แสดงออกถึงความสนิทชิดเชื้ออย่างไร้ที่เปรียบ

“อาหน่วน สุขภาพร่างกายดีขึ้นบ้างหรือไม่? มีของที่อยากกินหรือไม่ อารองจะบอกให้ทางห้องครัวรีบทำ”

“อารองอาสามเกลียดข้าเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ แถมยังจะไล่ข้าออกจากตระกูลมู่ไปอีกด้วยไม่ใช่หรือ? ตอนนี้จะมาไม้ไหนอีก?”

“พูดเพ้อเจ้ออะไรกันน่ะ พวกเรามีเลือดเนื้อเชื้อไขเชื่อมโยงกัน พวกเราก็เพียงแค่พูดจาเพ้อเจ้อไปด้วยความโกรธไม่กี่คำ จะไล่เจ้าออกจากตระกูลมู่ไปจริงๆได้อย่างไร พ่อของเจ้ามีเจ้าเป็นลูกสาวแค่คนเดียว พวกเราเอ็นดูเจ้าจนแทบจะไม่ทันเชียวล่ะ”

กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะทีหนึ่ง

เอ็นดู?

นางไม่รู้สึกถึงความรักความเอ็นดูนั่นแม้สักนิด

เจ้าบ้านรองเจ้าบ้านสามก็ราวกับจะรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่เป็นมิตรกับนางเป็นอย่างมาก ทั้งกระทั่งยังมักจะปฏิบัติต่อนางอย่างโหดร้ายอีก จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามด้วยความสนิทสนมว่า

“อาหน่วน บาดแผลเหล่านี้ของเจ้าล้วนได้รับบาดเจ็บจากหุบเขาอสูรหมดเลยหรือ? อารองได้ยินมาสัตว์นับหมื่นล้วนยอมรับเจ้าเป็นนาย แล้วผู้ใดที่มีความสามารถมากมายขนาดนั้นทำให้เจ้าบาดเจ็บได้เช่นนี้?”

“ใช่ใช่ใช่ อาสามยังได้ยินมาอีกว่าราชางูเก้าหัวมรกตและพยัคฆ์เซวียนหู่โบราณก็ยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว อาสามมีชีวิตอยู่มาครึ่งชีวิตแล้วก็ยังไม่เคยได้เห็นสัตว์วิเศษที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี่มาก่อน เจ้าให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่?”

กู้ชูหน่วนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ พูดด้วยความสงสัย “พวกท่านพูดอะไรกัน ข้าฟังไม่เข้าใจ”

เจ้าบ้านสามยังอยากจะพูดอีก เจ้าบ้านรองใช้ข้อศอกสะกิดเขา บอกใบ้เขาว่าอย่าพูด

แต่ตัวเองกลับพูดว่า “อาหน่วน เรื่องในหุบเขาอสูรพวกเราได้ยินมาหมดแล้ว ตระกูลมู่ของพวกเรามีเจ้าที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ออกมาผู้หนึ่งนี้ นั้นก็เป็นบุญวาสนาของพวกเราตระกูลมู่”

“ข้าฟังไม่เข้าใจว่าพวกท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ หากว่าไม่มีเรื่องอะไร ข้าอยากพักผ่อน”

“อาหน่วน อารองรู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าเข้มงวดกับเจ้ามากเกินไป แต่เพราะว่าอารองรักมาก จึงตำหนิมาก เจ้าอย่าได้โกรธอารองเลย”

“อาสามก็เช่นกัน อาสามเอ็นดูเจ้ามากกว่าเอ็นดูลูกสาวของตัวเองซะอีก”

กู้ชูหน่วนกลอกตาขาว ปล่อยให้พวกเขาพูดอยู่ตรงนั้นไปว่าตอนเด็กๆพวกเขารักและเอ็นดูนางอย่างไรบ้าง

แม้แต่มู่ซินก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว หยุดการพูดพร่ำของพวกเขาไว้

“น้องรองน้องสาม อาหน่วนเพิ่งจะกลับมา บนร่างกายก็มีบาดแผล ยังไงก็ให้นางพักผ่อนให้ดีๆซะก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันวันอื่น”

“อ๋อ…..ดูข้าสิ ลืมไปหมดเลย ร่างกายเจ้าบาดเจ็บควรพักผ่อนให้ดีจริงๆ แต่มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง อารองคิดว่าบอกเจ้าไว้ก่อนจะดีกว่า”

เจ้าบ้านรองหยิบกองภาพเหมือนออกมาจากอ้อมแขน ภาพเหมือนแต่ละรูปเป็นรูปชายหนุ่มที่สง่างาม

เขายิ้มแล้วกล่าว “ไม่กี่วันมานี้มีคนมากมายมาขอแต่งงานกับตระกูลมู่ของพวกเรา อารองช่วยเจ้าเลือกตระกูลคนที่มีชื่อเสียงและอำนาจยิ่งใหญ่ไว้มากมาย บุคลิก วิทยายุทธและตระกูลของพวกเขาแต่ละคนล้วนดีเป็นอันดับแรกๆ”

“อาสามก็ช่วยเจ้าเลือกไว้ไม่น้อย เจ้าดูสิ แต่ละคนสง่างามมีความสามารถ และล้วนเป็นคุณชายในตระกูลที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆในทวีปปิงหลิงของพวกเรา”

กู้ชูหน่วนไม่แม้แต่จะมองภาพเหมือนเหล่านั้นแม้สักนิด เลิกคิ้วแอบเหล่มองพวกเขา

“อารองอาสามนี่คือคิดจะไล่ข้าออกไปอีกแล้วหรือ?”

เจ้าบ้านรองเจ้าบ้านสามเปลี่ยนสีหน้าทันที

“เจ้าพูดไร้สาระอะไรน่ะ อารองอาสามจะไล่เจ้าออกไปได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เพราะพวกเราเอ็นดูเจ้าอยากจะหาตระกูลดีๆมาแต่งงานกับเจ้าหรือ?”

“อาหน่วน ไม่ใช่ว่าอาสามพูดจาเกินจริง คุณชายเหล่านี้ที่อาสามหามา แต่ละคนล้วนได้รับความนิยมชมชอบ เชื้อพระวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์มากมายก็ล้วนปรารถนาแต่หามิได้ หากว่าพลาดไปแล้ว เช่นนั้นก็ขาดทุนยกใหญ่แล้ว เจ้าลองดูให้ดีๆ”

“ในเมื่ออารองกับอาสามชอบขนาดนั้น เช่นนั้นพวกท่านก็แต่งกับพวกเขาก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องเสียเปรียบข้า”