ซูอวี้ตกใจมาก เขารีบคว้าแขนของเป่ยถังหลีด้วยความตื่นตระหนก คนหนึ่งอยู่บนหลังคากำลังดึงขึ้นอย่างยากลำบาก อีกคนห้อยลงมาจากชายคา ตกใจจนตัวสั่น
ในเวลาเดียวกัน กระเบื้องหลังคาร่วงลงบนพื้นตรงตำแหน่งของทั้งสองอย่างต่อเนื่อง กระเบื้องตกลงบนพื้นและแตกละเอียด เสียงดังจนทั้งสองหน้าซีดขาว
“คุณหนูจับข้าแน่นๆ อย่าปล่อย ข้าจะดึงเจ้าขึ้นมาเอง! ” เส้นเลือดสีเขียวที่ขมับของซูอวี้ปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด
ซูอวี้จับมือข้างหนึ่งของเป่ยถังหลี มืออีกข้างของนางพยายามเอื้อมขึ้นมาจับแขนของซูอวี้
“เจ้าทึ่ม ช่วยข้าด้วย… เจ้าทึ่มช่วยข้าด้วย… ”
‘เพล้ง… ’
กระเบื้องอีกแผ่นหลุดและตกลงบนพื้น สีหน้าของเป่ยถังหลีซีดเผือดด้วยความตกใจ นางยังคงดิ้นรนต่อไป
“เจ้าทึ่ม รีบช่วยข้าเร็ว ข้าไม่อยากตาย ข้ากลัว รีบช่วยข้าด้วย! ”
จากความสูงของหลังคา ตกลงไปอาจไม่ทำให้เสียชีวิต ทว่าเป่ยถังหลีกลับหวาดกลัวสุดขีด
ในที่สุด… ซูอวี้พยายามอย่างสุดกำลัง เขาดึงเป่ยถังหลีขึ้นมาทีละนิด
อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่า ในขณะที่เป่ยถังหลีถูกลากขึ้นไปบนชายคา กระเบื้องใต้เท้าของซูอวี้กลับลื่นไถลออกอย่างกะทันหัน ทำให้แม้แต่ซูอวี้ก็ตกลงมาจากชายคาด้วยเช่นกัน
“เจ้าทึ่ม… ”
เป่ยถังหลีหันกลับมาเพื่อดึงซูอวี้ ทว่านางคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ทำได้เพียงมองดูร่างของซูอวี้ตกลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตึก’
ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ได้ยินเสียงร้องของเป่ยถังหลี จึงรีบออกมาจากห้อง ทว่าสายเกินไป
“อวี้เอ๋อร์… ”
ซูจิ่นซีรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงซูอวี้
ทว่าทันทีที่สัมผัสร่างของซูอวี้ ซูอวี้ก็กัดฟันและตะโกนเสียงดัง เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผากและแก้มของเขา ทั้งร่างกายยังสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“บาดเจ็บที่ใด? เจ็บที่ใด รีบบอกพี่เร็ว! ”
ทว่าซูอวี้เกรงว่าเป่ยถังหลีจะรู้สึกผิด เขาเหลือบมองเป่ยถังหลีที่กำลังตกตะลึงอยู่บนชายคาและยังไม่ได้สติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันแน่นทว่าไม่ยอมพูดออกมา แม้แต่เสียงร้องของความเจ็บปวดก็ยังกลืนเข้าไป
อวิ๋นจิ่นก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “พระชายาอย่าเพิ่งตกพระทัย จากความสูงของหลังคาไม่ทำให้บาดเจ็บสาหัส กระหม่อมเห็นปฏิกิริยาของผู้นำอวี้ มีความเป็นไปได้ว่าขาหักเท่านั้น กระหม่อมขอตรวจดูอาการก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า อวิ๋นจิ่นจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจอาการของซูอวี้
ไม่นานนัก เขาก็พูดว่า “พระชายา ขาหักจริงๆ ทว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ กระหม่อมรู้วิชาต่อกระดูก เพียงเชื่อมต่อกระดูกให้ดี จากนั้นพักฟื้นสักครึ่งเดือน อาการก็หายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่เป็นอันใดได้อย่างไรกัน?
แม้ซูจิ่นซีและซูอวี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ทว่าพวกเขาเติบโตมาด้วยกัน อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในใจของนาง ซูอวี้เป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของนางเสมอมา เมื่อเห็นน้องชายตกจากที่สูงและขาหักเช่นนี้ นางจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์ได้อย่างไร?
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ ซูจิ่นซีก็นึกได้ว่า ก่อนหน้านี้ ซูอวี้อยู่กับเป่ยถังหลี นางจึงเงยหน้ามองขึ้นไปที่ชายคา
เป่ยถังหลีตกใจกลัวมาก จนตอนนี้ยังคงอยู่บนหลังคา ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว เมื่อเห็นซูจิ่นซีจ้องเขม็ง ร่างของนางก็สั่นเทามากยิ่งขึ้น จนเกือบตกจากชายคา
ปกติแล้ว ซูอวี้เป็นห่วงซูจิ่นซีมาก เขาจะไม่เข้าใจสีหน้าของซูจิ่นซีได้อย่างไร
เขารีบคว้าแขนเสื้อของซูจิ่นซีแล้วพูดว่า “ท่านพี่ เรื่องนี้อย่าโทษแม่นางเป่ยถัง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับแม่นางเป่ยถัง อวี้เอ๋อร์… เป็นคนประมาทเอง”
แท้จริงแล้ว แม้นางจะรักและเอ็นดูซูอวี้ ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่อาจตำหนิเป่ยถังหลีได้ นางจึงระงับความโกรธไว้ในใจและพาซูอวี้เข้าไปในเรือนกับอวิ๋นจิ่น อู๋จุน และคนอื่นๆ
จากนั้นก็นำตัวเป่ยถังหลีลงมาจากชายคา
อวิ๋นจิ่นเชื่อมกระดูกให้ซูอวี้อย่างระมัดระวัง และใช้ยารักษาบาดแผลเพื่อเสริมการไหลเวียนโลหิต ขจัดภาวะเลือดคลั่ง รับรองว่าในครึ่งเดือน ซูอวี้จะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอย่างแน่นอน ซูจิ่นซีจึงโล่งใจ
เป่ยถังหลีนั่งร้องไห้บนเก้าอี้ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความรู้สึกผิด พลางมองอวิ๋นจิ่นและคนอื่นกำลังรักษาซูอวี้ จนกระทั่งอวิ๋นจิ่นเก็บอุปกรณ์รักษาทั้งหมด คราบน้ำตาของนางก็ยังไม่เหือดแห้ง
ซูอวี้เหลือบมองเป่ยถังหลี ก่อนจะพูดกับซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ว่า “ท่านพี่ หมอหลวงอวิ๋น ท่านช่วยออกไปก่อน ข้ามีบางอย่างจะพูดกับคุณหนูเป่ยถังตามลำพัง”
ซูจิ่นซีและคนอื่นไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงทำตามความต้องการของซูอวี้ และเดินออกไป
เมื่อในห้องเหลือเพียงซูอวี้และเป่ยถังหลี เป่ยถังหลีจึงกล้าลุกขึ้นจากเก้าอี้ และค่อยๆ เดินมาที่เตียงของซูอวี้
ดวงตาของนางที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เหลือบมองขาของซูอวี้ซึ่งมีแผ่นไม้ประกบกัน หัวไหล่พลันกระตุกอย่างรุนแรง
นางต้องการใช้มือสัมผัส ทว่าเมื่อยื่นแขนออกไปได้ครึ่งทางก็หดกลับด้วยความกลัว จากนั้นจึงกัดริมฝีปากพูดว่า “เจ้าทึ่ม ข้าขอโทษ… เป็นข้า… เป็นข้าที่เอาแต่ใจตัวเองเกินไป เป็นข้าที่ทำร้ายเจ้า”
ซูอวี้กล่าว “คุณหนูไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ปกป้องคุณหนูเป็นความรับผิดชอบของข้า”
ตอนที่เขาเข้ามาในจวนเป่ยอี้อ๋องวันแรก เป่ยถังเย่มอบชีวิตและความปลอดภัยของเป่ยถังหลีให้เขารับผิดชอบ แม้เขาจะไม่มีวรยุทธ์ ทว่าเป่ยถังเย่เชื่อว่า เขาสามารถปกป้องเป่ยถังหลีด้วยชีวิตของเขาเสมอ
ในที่สุด เป่ยถังหลีก็ร้องไห้ออกมา “เจ้าทึ่ม นั่นคือสิ่งที่พี่เย่พูดไปก็เท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงต้องจริงจังกับมันด้วย ยิ่งไปกว่านั้น… ยิ่งไปกว่านั้น จากสถานะของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อตัวเองในฐานะผู้รับใช้ ไม่จำเป็น! ”
แม้ไม่รู้สถานะที่แท้จริงของซูอวี้ ยิ่งไปกว่านั้น จนถึงตอนนี้ นางยังไม่รู้ชื่อจริงของเขา ทว่านางกลับรู้สึกได้ว่าสถานะของเขานั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ซูอวี้ยกมือขึ้นเล็กน้อย พยายามเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเป่ยถังหลี ทว่ามือที่ยกขึ้นยังไปไม่ถึงแก้มของเป่ยถังหลี เขาก็ดึงกลับมา
“คุณหนู ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร เจ้าทึ่มก็ยังเป็นเจ้าทึ่มที่อยู่ข้างกายคุณหนูเสมอ และสิ่งนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
ทันใดนั้น เป่ยถังหลีก็เงยหน้าขึ้นมองซูอวี้อย่างจริงจัง “หรือว่า… เป็นแค่เจ้าทึ่มหรือ? ”
ซูอวี้รู้ว่าเป่ยถังหลีหมายถึงเรื่องใด ทว่าในใจของเขา สามารถมีเมตตาต่อโลก สามารถทำเพื่อใต้หล้า ทว่าในใจเขาไม่อาจมีคนอื่นได้อีกแล้ว
ดังนั้น ความเงียบจึงกลายเป็นการยอมรับอยู่ในใจ
เป่ยถังหลีมองใบหน้าของซูอวี้ นางต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่าในที่สุดกลับไม่อาจพูดออกมา
สุดท้ายจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าทึ่ม อย่างที่เจ้าว่า ชั่วชีวิตนี้ของเจ้า เจ้าจะเป็นเจ้าทึ่มข้างกายข้าตลอดไป เป็นเพียงเจ้าทึ่มข้างกายเป่ยถังหลีเพียงผู้เดียว หากเจ้าเปลี่ยนใจ ผิดคำพูด สุดหล้าฟ้าเขียว ข้าจะจับเจ้ากลับมาและมัดเจ้าไว้กับข้า”
หากไม่ใช่เพราะได้เห็นซูอวี้ตกลงบนพื้นอย่างช่วยอันใดไม่ได้ มิฉะนั้นแล้ว ความกลัวและความสิ้นหวังที่จู่ๆ ก็ปรากฏออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจในขณะนั้น หากนางไม่คิดว่าซูอวี้กำลังจะตาย นางก็คงไม่เข้าใจว่า ที่แท้ ในใจของนางนั้น เจ้าทึ่มเป็นมากกว่าเจ้าทึ่มเสียแล้ว
ซูอวี้ไม่พูดสิ่งใด หลังผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ เขาก็พูดกับเป่ยถังหลีว่า “คุณหนู เหลือเวลาไม่มากแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนหลังคา เรื่องที่ข้าขอร้องคุณหนู คุณหนูยังจำได้หรือไม่? คุณหนูโปรดช่วยแม่นางถังเสวี่ยด้วย”
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันต่างจากก่อนหน้านี้ เป่ยถังหลีสามารถช่วยซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ได้หรือ?