เล่มที่ 32 เล่มที่ 32 ตอนที่ 956 พระชายาดุยิ่งนัก

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หากซูจิ่นซีเข้ามา และเห็นนางเป็นแบบนี้ จะต้องบอกเจ้าทึ่มอย่างแน่นอน

หากเจ้าทึ่มรู้เข้า เขาจะต้องรู้สึกผิดอย่างแน่นอน นางไม่ต้องการให้เจ้าทึ่มรู้สึกไม่สบายใจ

นางจึงสงบสติ พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติที่สุด

“พระชายาโยวอ๋อง ท่านไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นอันใด ไม่ต้องเข้ามา ข้ากำลังคลายมนต์คาถาให้แม่นางถังเสวี่ย หากถูกรบกวน อาจทำให้สิ่งที่ทำมาเสียเปล่า”

“ตกลง หากเจ้าต้องการให้พวกเราช่วยเหลือ คุณหนูเป่ยถังหลีบอกได้ทันที”

“ตกลง! ”

เป่ยถังหลีไม่มีวรยุทธ์และไม่มีพลังภายใน สาเหตุที่นางสามารถดูดเวทมนตร์ยันต์อวี้หุนออกจากร่างกายถังเสวี่ยได้ เป็นเพราะพรสวรรค์ของนางในฐานะทายาทในอนาคตของเผ่าเม้ย กล่าวกันว่าพรสวรรค์เล็กน้อยเช่นนี้เป็นของเทพธิดาเผ่าเม้ยที่สืบทอดต่อกันมา เป็นพลังวิเศษเพื่อปกป้องตนเองก่อนที่นางจะกลายเป็นเทพธิดาเต็มตัว

เมื่อผู้สืบทอดได้กลายเป็นเทพธิดาอย่างแท้จริงแล้ว พลังที่มาจากพรสวรรค์นี้จะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น ทว่าตอนนี้ เป่ยถังหลีใช้งานมันก่อนล่วงหน้า เปรียบเสมือนการใช้พลังงานเกินกำลัง

ในชั่วพริบตา นางรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอจนเหมือนกำลังจะตาย ทว่าขณะที่สติของนางพร่ามัว จู่ๆ นางก็นึกถึงเจ้าทึ่มอีกครั้ง นึกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน ความสุภาพอ่อนโยน ความสง่างามของเขา จึงพยายามทำให้ตัวเองตื่นตัว

ยันต์อวี้หุนในร่างกายของถังเสวี่ยถูกดูดออกมาแล้ว และไม่มีปัญหาร้ายแรง ส่วนที่เหลือเป็นอาการบาดเจ็บภายใน การรักษาอาการบาดเจ็บภายในไม่ใช่ปัญหาสำหรับอวิ๋นจิ่น ซูจิ่นซี และตงหลิงหวง ยิ่งไปกว่านั้น อวิ๋นจิ่นได้เขียนเทียบยาที่เหมาะสมให้แล้ว เพียงรอให้อู๋จุนนำสมุนไพรส่วนที่ขาดมาเพิ่มเติมเท่านั้น

เป่ยถังหลีพักอยู่เป็นเวลานาน เมื่อแน่ใจว่าสีหน้าของนางเกือบจะเป็นปกติ เม็ดเหงื่อบนร่างกายของนางแห้งไปเกือบหมดแล้ว ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ต้องไม่พบความผิดปกติอันใดแน่ นางจึงเปิดประตูเดินออกไป

ซูจิ่นซียืนอยู่ข้างประตู นางก้าวไปข้างหน้าและถามว่า “แม่นางเป่ยถังหลี เป็นอย่างไรบ้าง? ”

เป่ยถังหลีพยายามยกยิ้มมุมปาก “ยันต์อวี้หุนในร่างกายของแม่นางถังถูกคลายออกแล้ว ที่เหลือเป็นอาการบาดเจ็บภายใน คิดว่าสำหรับพระชายาโยวอ๋องแล้ว การรักษาอาการบาดเจ็บภายในต้องไม่เป็นปัญหาแน่”

ซูจิ่นซีพยักหน้า “หากเป็นเช่นนี้ ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก แม่นางเป่ยถังหลี! ”

เป่ยถังหลีแย้มยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอันใด

ตงหลิงหวงรีบเข้าไปดูแลถังเสวี่ย ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง และพูดว่า “แม่นางเป่ยถัง ร่างกายของเจ้า… ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”

เป่ยถังหลีควบคุมสติเป็นอย่างดี แม้ซูจิ่นซีจะเป็นหมอและมีทักษะทางการแพทย์ชั้นเลิศ นางกลับไม่เห็นความผิดปกติในตัวของเป่ยถังหลี ทว่าความผิดปกติยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะยันต์อวี้หุนร้ายกาจยิ่งนัก หากต้องการกำจัดมันออกจากร่างของถังเสวี่ย ผู้ที่คลายมนต์คาถานี้จะต้องบาดเจ็บมากพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าเป่ยถังหลีจะพูดออกมาว่า “พระชายาโยวอ๋องไม่ต้องกังวล ยันต์อวี้หุนนี้เป็นของสกุลเป่ยถังข้า และมีเพียงสกุลเป่ยถังของข้าเท่านั้นที่สามารถคลายได้ ไม่ได้ยากลำบากอันใดสำหรับข้า”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่านางไม่ได้พูดอันใด

เป่ยถังหลีพูดอีกครั้งว่า “หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน เจ้าเข้าไปดูแลแม่นางถังเสวี่ยเถิด”

“ข้าจะพาเจ้าไปที่ห้องนอน! ” ซูจิ่นซีพูด

“ไม่จำเป็น ข้ากลับไปเองได้! ” เป่ยถังหลีตอบ

ซูจิ่นซีจึงไม่พูดมากความอีก

เป่ยถังหลีเดินออกไปเพียงลำพัง หลังจากแน่ใจว่านางเดินลับสายตาของซูจิ่นซีและคนอื่นๆ แล้ว ร่างกายของเป่ยถังหลีก็ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป ขาอ่อนแรง เดินโซเซเกือบจะล้มลงกับพื้นหากไม่มีกำแพงคอยค้ำไว้

ทันใดนั้น เลือดก็พุ่งออกมาจากปากของนาง

ร่างกายของนางเริ่มสั่นเทาอีกครั้ง เท้าของนางอ่อนแรงมากจนไม่มีเรี่ยวแรงก้าวไปข้างหน้าได้อีก

เมื่อนางรู้สึกว่าตนเองกำลังจะหมดสติ จู่ๆ ก็มีมือเอื้อมมาคว้าแขนของนางแล้วพยุงขึ้น

เป่ยถังหลีหันไปมองด้านข้างและตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อเห็นคนผู้นั้น “พระชายาโยวอ๋อง? ”

“อย่าพูดมาก ข้าก็เป็นหมอเช่นกัน แม้เจ้าจะบอกว่าไม่เป็นอันใด ทว่าอาการภายนอกทั่วไป ข้าก็พอเข้าใจอยู่บ้าง… ”

ซูจิ่นซีพูดพลางพลิกฝ่ามือ ยาเม็ดสีขาวหิมะปรากฏขึ้นมา นางไม่ได้พูดอันใดและป้อนยาเข้าไปในปากของเป่ยถังหลี

“ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่ห้อง”

หากไม่มีซูจิ่นซี เกรงว่านางคงล้มพับหมดสติกับพื้นไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเดินกลับไปเพียงลำพัง นางจึงไม่ขัดขืน

หลังจากซูจิ่นซีส่งเป่ยถังหลีกลับไปที่ห้องของนาง ซูจิ่นซีได้ตรวจชีพจรให้นาง ทว่าทันทีที่นิ้วของซูจิ่นซีแตะที่ข้อมือของเป่ยถังหลี ซูจิ่นซีพลันขมวดคิ้วเครียด

ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีคิดว่ายันต์อวี้หุนไม่สามารถสร้างปัญหาใหญ่ต่อคนในสกุลเป่ยถัง กลับไม่คิดว่าแม่นางผู้นี้จะใจกล้าและดื้อรั้นเช่นนี้

โชคดีที่ซูจิ่นซีเอะใจได้ทันและเดินตามนางมา มิฉะนั้นเกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของนางคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของซูจิ่นซี เป่ยถังหลีก็ดึงแขนตนเองกลับและพยายามลุกขึ้นนั่ง

“ข้า… ข้าไม่เป็นอันใด! ”

“อย่าขยับ! ”

ซูจิ่นซีจริงจังกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของนางมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออาการของผู้ป่วยเข้าขั้นวิกฤติมาก

ดุยิ่งนัก!

เป่ยถังหลีสะดุ้งอย่างแรงและรีบล้มตัวลงนอนทันที ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีกเลย

ซูจิ่นซีถ่ายพลังภายในให้เป่ยถังหลี เพื่อช่วยปรับลมปราณให้นาง จากนั้นจึงหยิบเข็มเหมันต์เทวะออกมาจากระบบถอนพิษ และเริ่มฝังเข็มให้เป่ยถังหลี

เป่ยถังหลีเห็นเข็มเงินในมือซูจิ่นซีโปร่งใสและมีไอเย็นแผ่ซ่านออกมา จึงพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เข็มเหมันต์เทวะ? ”

“เจ้ารู้จักหรือ? ” ซูจิ่นซีพูดเสียงแผ่วเบา ขณะฝังเข็มเหมันต์เทวะหนึ่งเล่มลงบนจุดชีพจรของเป่ยถังหลี

“อืม” เป่ยถังหลีพูด “ข้าเคยได้ยินและเห็นจากภาพวาด ทว่าข้าไม่เคยเห็นกับตาตนเอง ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นของวิเศษประจำเผ่าเม้ย สร้างจากสำนักแพทย์เทียนอี เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เจ้าสำนักแพทย์เทียนอีเคยมอบมันให้กับศิษย์รักของเขาคนหนึ่ง… ”

เป่ยถังหลีรู้เกี่ยวกับเข็มเหมันต์เทวะพอสมควร ทว่าก่อนที่นางจะพูดจบ ซูจิ่นซีก็ขัดจังหวะ

“เงียบ! การพูดจะส่งผลต่อลมปราณภายในของเจ้า การฝังเข็มของข้าจะเสียเปล่า”

จริงจังถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

นี่คือเข็มเหมันต์เทวะ! มันให้ผลลัพธ์มากถึงสองเท่า แม้ขณะที่นางพูดจะเสียลมปราณไปบ้าง ทว่าไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดมากนัก

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของซูจิ่นซีนั้นจริงจังและดุดันมาก แม้เป่ยถังหลีจะรู้เรื่องนี้ดี ทว่านางยังปิดปากเชื่อฟังและไม่กล้าพูดอันใดแม้แต่คำเดียว

เมื่อเข็มเหมันต์เทวะฝังเข้าไปในจุดสำคัญบนร่างของเป่ยถังหลี ลมปราณของเป่ยถังหลีก็เคลื่อนไหวอย่างสะดวกมากขึ้น สีหน้าของนางดีขึ้นมาก

หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว ซูจิ่นซีก็เก็บเข็มเหมันต์เทวะกลับเข้าไปในถุงเข็มเงินทีละเล่ม และมอบยาเม็ดให้เป่ยถังหลีจำนวนหนึ่ง

“ทานวันละเม็ด นี่คือปริมาณยาเม็ดที่พอใช้ได้ในหนึ่งเดือน หลังจากทานครบ ร่างกายของเจ้าจะดีขึ้น”

“ขอบพระทัยพระชายาโยวอ๋อง! ” เป่ยถังหลีรับขวดยามา

ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซียังไม่รู้ว่าเป่ยถังหลีก็คือหลานเยวี่ยหลี ซูจิ่นซีไม่ได้คิดอันใดมากนัก ทว่าตอนนี้นางรู้แล้ว กลับรู้สึกสะดวกใจและเป็นห่วงนางมากขึ้น

“พักฟื้นให้ดี! เจ้าช่วยชีวิตถังเสวี่ย ทั้งพวกข้ายังใช้พื้นที่ในเรือนของเจ้า พวกเราควรเป็นคนกล่าวคำขอบคุณมากกว่า! ”

หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็เตรียมจะเดินออกไป ทว่านางเพิ่งเดินไปได้สองก้าว เป่ยถังหลีก็พูดขึ้นตามหลังว่า

“พระชายาโยวอ๋อง! ”

ซูจิ่นซีหยุดชะงักและหันกลับมา นางเห็นแสงเย็นวาบภายในดวงตาของเป่ยถังหลี

“พระชายาโยวอ๋อง พวกท่านไม่กลัวข้าจะไปแจ้งผู้อื่นหรือ? ”