“เยี่ยโยวเหยา! ” ซูจิ่นซีกำหมัดและพูดเสียงดุดัน
“ซีซี ข้าอดกลั้นมานานมากแล้ว เจ้าต้องการให้ข้าอดกลั้นเช่นนี้ต่อไปอีกหรือ? ”
ซูจิ่นซีเข้าใจความคับข้องใจจากคำพูดของเยี่ยโยวเหยาอย่างชัดเจน เป็นความจริงที่ตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยทำกิจกรรมบนเตียงเลย แม้ยามนอนหลับ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ค่อยนอนเตียงเดียวกับนาง เยี่ยโยวเหยาคงรู้สึกคับข้องใจเล็กน้อย
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ซูจิ่นซีจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป นางเริ่มกอดเอวเยี่ยโยวเหยาตอบ
แววตาตื่นเต้นปรากฏผ่านดวงตาของเยี่ยโยวเหยา แม้เขาจะอดกลั้นมาเป็นเวลานาน ทว่าคืนนี้ เยี่ยโยวเหยากลับอ่อนโยนต่อซูจิ่นซีมาก
ค่ำคืนนี้ ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาอยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืน สุขสมรักใคร่ลึกซึ้ง ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความสุขเช่นนี้
อู๋จุนนอนอยู่บนชายคาตลอดทั้งคืน เขาจ้องแสงจันทร์โดยไม่หลับตา ทว่าครานี้ เขาไม่ได้อยู่ที่ชายคาของห้องซูจิ่นซี ทว่าอยู่บนชายคาห้องของถังเสวี่ย
คืนนี้เขาครุ่นคิดเรื่องราวมากมาย
……
แสงจันทร์ดั่งสายน้ำส่องสว่างไปทั่วทั้งเรือน อวิ๋นจิ่นอ่านคัมภีร์แพทย์ที่เรือนด้านหลังทั้งคืน จนกระทั่งเกือบเช้า จึงเดินเข้าไปงีบหลับในห้อง
นอกจากแสงจันทร์ที่เยือกเย็นแล้ว ยังมีจิ้งจอกเก้าสีซึ่งนอนหลับอยู่ข้างกายเขาอย่างสงบเสงี่ยม ทว่าในตอนเช้าจิ้งจอกเก้าสีกลับหายไป
……
ตงหลิงหวงไม่ได้นอนทั้งคืนเช่นกัน นางกำลังคิดว่าเมื่อไรมู่หรงฉีจะฟื้นขึ้นมา แม้จะได้เพลิงอัคคีจิ่วโยวมาแล้ว ทว่าวิธีการชุบชีวิตของมู่หรงฉี ยังคงต้องวางแผนระยะยาว อีกทั้งอาคมกำไลปี่อั้นของซูจิ่นซีก็ใช้งานไม่ได้ชั่วคราว หากนางต้องการรักษามู่หรงฉี จะต้องแก้ปัญหาของอาคมกำไลปี่อั้นนั้นเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม หลายวันที่ผ่านมามีเรื่องให้สะสางมากมาย ถังเสวี่ยเกือบไม่รอดชีวิต ทุกคนวิ่งวุ่นพยายามช่วยชีวิตถังเสวี่ย จนพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้ชั่วคราว
ตอนนี้ถังเสวี่ยพ้นขีดอันตรายแล้ว ลำดับถัดไป ทุกคนควรจัดการเรื่องอาคมกำไลปี่อั้น
เป็นครั้งแรกที่ตงหลิงหวงรู้สึกว่านางคิดถึงมู่หรงฉีมาก คิดถึงรูปร่างหล่อเหลาคมสันของเขา คิดถึงรอยยิ้มของเขา คิดถึงท่าทางเกรี้ยวกราดของเขา และ… ท่าทางแน่วแน่มุ่งมั่น แม้จะตายก็ไม่ยอมรามือ
แม้นางไม่ได้เห็นหน้ามู่หรงฉีนานมากแล้ว ทว่าคิ้วทุกเส้นของมู่หรงฉียังคงประทับตราตรึงอยู่ในจิตใจของนางอย่างลึกซึ้ง และชัดเจน
……
ขาสองข้างของซูอวี้เดินเหินไม่สะดวกนัก เขาจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ ทว่าเขาพลิกตัวไปมาทั้งคืนก็นอนไม่หลับ ขณะที่ง่วงงุนเล็กน้อย เสียงของเป่ยถังหลีก็ดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง
“เจ้าทึ่ม… ”
“อืม? ” ซูอวี้ตื่นขึ้นในทันที
“เจ้าหลับแล้วหรือยัง? ”
“อืม! ”
เป่ยถังหลีนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงของนางเป็นเวลานาน ขณะที่ซูอวี้คิดว่าเป่ยถังหลีกลับไปแล้ว เสียงเพลงอันไพเราะก็ดังมาจากนอกหน้าต่าง
เสียงนั้นสูงกว่าเสียงของกู่ฉิน [1] ทว่าโทนต่ำกว่าเสียงขลุ่ย เป่ยถังหลีเป่าเสียงนั้นด้วยใบไม้
นางไม่รู้ว่าตนเรียนทักษะนี้ตั้งแต่เมื่อใด นางจำไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนสอน ดูเหมือนว่า… มันมาจากส่วนลึกในความทรงจำของนาง
ซูอวี้กำลังนอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงเพลงไพเราะ ทำให้สงบเป็นพิเศษ ทว่าแววตาของเขาทอดยาว ไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอันใดอยู่
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เป่ยถังหลีก็เป่าจบไปหนึ่งบทเพลง “เจ้าทึ่ม เจ้าหลับอยู่หรือไม่? ”
“…”
ไม่รอให้ซูอวี้ตอบ แววตาของเป่ยถังหลีปรากฏความผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่นางคิดว่าซูอวี้หลับไปแล้ว เสียงแหบแห้งของซูอวี้ก็ดังมาจากในห้องอีกครั้ง
“ยังไม่หลับ! ”
จากนั้น เป่ยถังหลีก็หยิบใบไม้ในมือขึ้นมาเป่าอีกครั้ง
ด้วยวิธีนี้ คืนนี้ซูอวี้จึงนอนหลับในห้องได้อย่างสงบ เป่ยถังหลีเป่าเพลงอยู่ใต้ระเบียงนอกหน้าต่างทั้งคืน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ยามรุ่งสาง ท้องฟ้ามีแสงรำไร ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าอึกทึกก็ดังขึ้นด้านนอกเรือน เสียงนั้นเป็นระเบียบและสม่ำเสมอ เมื่อฟังให้ดีก็รู้ได้ทันทีว่ามีคนจำนวนมาก และได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
เป่ยถังหลีเหนื่อยเล็กน้อยจากการเป่าเพลง นางพิงเสาและงีบหลับไป ขณะที่นางกำลังจะงีบหลับและอยู่ในสภาพงัวเงีย นางก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงดังนั้น นางหรี่ดวงตาที่ง่วงงุนเล็กน้อย หลังจากได้ยินเสียงนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน จึงผลักประตูและเดินออกจากห้อง
ซูจิ่นซีเห็นเป่ยถังหลี นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถามว่า “นั่นใคร? ”
เป่ยถังหลีพูดว่า “ต้องเป็นพี่ชายของข้าเป็นแน่ เขาคงได้ข่าวว่า เป่ยถังชิงและเป่ยถังเฟิ่งจากตระกูลลำดับสองวางแผนทำร้ายข้า จึงรีบกลับมาก่อน”
อู๋จุนยืนอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าคนอื่น เขาเห็นสถานการณ์ภายนอกเรือนจากชายคา ก่อนจะกระโดดลงมาจากชายคาและพูดว่า “แม่นางพิษน้อย แย่แล้ว เป่ยถังเย่กลับมาแล้ว! ”
เป่ยถังเย่กลับมาแล้ว? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามาที่เรือนของเป่ยถังหลี ทั้งยังมีจำนวนคนมากกว่า หากปะทะกับเป่ยถังเย่ คงต้องพัวพันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป่ยถังหลีดูเหมือนจะมองความคิดของซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ออก นางเม้มริมฝีปากและพูดว่า “พระชายาโยวอ๋อง ข้าสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าหยุดพี่ชายของข้าได้ และไม่ให้เขาพบพวกเจ้าที่นี่ ทว่าข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ เจ้าต้องสัญญากับข้า”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “เงื่อนไขอันใด? ”
“ในเวลานี้ยังบอกแน่ชัดไม่ได้ ทว่าเจ้าต้องสัญญากับข้าก่อน แล้วข้าจะบอกรายละเอียดกับเจ้า หลังจากข้าออกไปขวางท่านพี่เย่สำเร็จ”
ซูจิ่นซีครุ่นคิด พวกเขามาที่แคว้นเป่ยอี้ครั้งนี้มีเป้าหมายของตนเอง เป็นการดีที่สุดหากพวกเขาไม่ประจันหน้ากับเป่ยถังเย่ อีกทั้งเป่ยถังหลีเคยช่วยเหลือพวกเขามาแล้วครั้งหนึ่ง จนนางเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากว่ากันด้วยเหตุผล พวกเขายังเป็นหนี้บุญคุณแม่นางผู้นี้ ตกปากรับคำนางไปก็ไม่เป็นอันใด ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณนาง
ซูจิ่นซีจึงตอบไปว่า “ตกลง ข้ารับปากเจ้า! ”
โดยทั่วไปแล้ว เยี่ยโยวเหยาจะไม่คัดค้านการตัดสินใจของซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่นและอู๋จุนยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
“ตกลง! ” เป่ยถังหลีพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พระชายาโยวอ๋อง พวกเจ้าทุกคนไปซ่อนตัวอยู่ในห้อง อีกประเดี๋ยวข้ากลับมา! ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าและเข้าไปในห้องพร้อมกับเยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น และคนอื่นๆ
เป่ยถังหลีปรับอารมณ์และการแสดงออกบนใบหน้า ก่อนจะรีบเดินออกไป เมื่อนางเดินไปถึงประตูก็พบกับเป่ยถังเย่พอดี
“หลีเอ๋อร์… ”
เป่ยถังเย่รีบมาหาเป่ยถังหลี เขาไม่ได้เปลี่ยนชุดเกราะทหารด้วยซ้ำ
“พี่เย่ ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว”
ไม่รู้ว่าเป่ยถังหลีเปลี่ยนท่าทีเป็นแสดงสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจตั้งแต่เมื่อไร นางวิ่งโผเข้าไปในอ้อมแขนของเป่ยถังเย่
“พี่เย่ ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว หลีเอ๋อร์… หลีเอ๋อร์เกือบไม่ได้พบกับท่านแล้ว! ”
“ให้พี่เย่ดูว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่! ”
เป่ยถังเย่มองเป่ยถังหลีขึ้นลง หลังจากยืนยันว่าเป่ยถังหลีไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็จับข้อมือของนาง ทว่าทันทีที่นิ้วสัมผัส เป่ยถังหลีก็รีบพูดเบี่ยงประเด็น
“พี่เย่ไม่ต้องเป็นกังวล หลีเอ๋อร์ไม่ได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่เจ้าทึ่มปรากฏตัวช่วยหลีเอ๋อร์ไว้ได้ทัน เพียงแต่ว่าเจ้าทึ่มได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
“โอ้ จริงหรือ? ” เป่ยถังเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เป่ยถังหลีแสดงท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ ซ้ำยังแสดงท่าทางสะอึกสะอื้น
“พี่เย่ ครั้งนี้… พี่ต้องชำระบัญชีนี้แทนหลีเอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะเจ้าทึ่มปรากฏตัวได้ทันเวลา และใช้เข็มเงินยับยั้งอ๋องรอง ครั้งนี้หลีเอ๋อร์คงไม่มีหน้าไปพบผู้ใดอีกแล้ว”
……
เชิงอรรถ
[1] กู่ฉิน หมายถึง พิณโบราณ