ตอนที่ 961: สมุนทั้งสาม

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 961: สมุนทั้งสาม

เจี้ยนเฉินออกจากศาลาเทพเจ้าอสรพิษภายในโถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปด ก่อนที่เขาจะออกจากโถงหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา จากนั้นเขาก็บินไปทางศาลาวิญญาณสวรรค์ แม้ว่าโถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปดจะบินได้เช่นกัน แต่มันก็ช้ากว่าการที่เจี้ยนเฉินบินเองมาก เขาสามารถเดินทางไปที่ศาลาวิญญาณสวรรค์โดยใช้เวลาน้อยที่สุดถ้าทำแบบนี้

อย่างไรก็ตาม โถงศักดิ์สิทธิ์ก็ยังอยู่ในการครอบครองของเจี้ยนเฉินอยู่ดี แม้ว่าคนที่อยู่ในระดับผู้อาวุโสประจำศาลาจากศาลาเทพเจ้าอสรพิษจะมาเพื่อจัดการเขา แต่เขาก็สามารถซ่อนอยู่ในโถงศักดิ์สิทธิ์ได้ในตอนนั้น นี่จะทำให้เจี้ยนเฉินกำจัดพวกเขาออกไปได้โดยใช้พลังของโถงศักดิ์สิทธิ์

เจี้ยนเฉินได้สร้างความอับอายให้กับศาลาเทพเจ้าอสรพิษไปอย่างมากในครั้งนี้ ไม่มีใครมั่นใจได้ว่า จอมยุทธจากศาลาเทพเจ้าอสรพิษจะไม่แอบสะกดรอยตามเขามาและซุ่มโจมตี

เจี้ยนเฉินบินไปอย่างระมัดระวัง แต่มันก็ไม่มีอะไรตลอดทาง เขาเข้าไปในเขตของศาลาวิญญาณสวรรค์อย่างรวดเร็ว

เจี้ยนเฉินเดินทางมาถึงที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ของศาลาวิญญาณสวรรค์หลังจากที่เดินทางมาสักพัก เมื่อเขามาถึง จอมยุทธหลายคนก็ได้มารวมตัวอยู่ด้านนอกของศาลาแล้ว ยังมีแม้แต่ผู้อาวุโสประจำศาลายืนอยู่ด้านหน้าสุดด้วย มันเหมือนว่าพวกเขายืนรออยู่ตรงนี้นานแล้ว

“เจ้าต้องเป็นนักรบเจี้ยนเฉินแน่” ผู้อาวุโสประจำศาลาพูดพร้อมป้องมือ เสียงของเขานิ่งและไม่มีความเย่อหยิ่งในเกียรติเลยแม้แต่น้อย

เจี้ยนเฉินยืนอยู่กลางอากาศพร้อมด้วยโถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปดที่อยู่ในมือ เขามองผ่านไปที่คนทั้งหมดอย่างเย็นชาและพูดออกมา “ถูกต้อง ข้าคือเจี้ยนเฉิน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะได้ข่าวมาสักพักแล้วก็รอกันอยู่ที่นี่อย่างเคร่งเครียด”

ผู้อาวุโสประจำศาลายิ้ม “ถูกต้อง นักรบเจี้ยนเฉิน เจ้าต้องมาเรื่องเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้แน่”

“ในเมื่อเจ้ารู้จุดประสงค์ของข้าแล้ว พวกเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ส่งผู้อาวุโสคุมกฎทั้งสามที่ไล่ล่าข้าก่อนหน้านี้มา เช่นเดียวกันกับซูเทียนซีและซูหยุนซี” เจี้ยนเฉินพูดอย่างเย็นชา

ผู้อาวุโสประจำศาลาโบกมือและตะโกนไปด้านหลัง “เอาตัวพวกเขามา”

ชายหนุ่มสองคนในชุดดำที่ดูเหมือนจะอายุสามสิบถูกมัดและถูกพาออกมาโดยคน 5 คนจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทั้งสองดูเหมือนกับเป๊ะ ทำให้ยากที่จะแยกคนทั้งสองจากกันได้

ตาของเจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยจิตสังหารทันทีเมื่อเขาเห็นคู่แฝดนี้ เขาพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ซูเทียนซีและซูหยุนซี เจ้าไม่คิดเลยสินะว่าวันนี้จะมาถึง ใช่หรือไม่ ? “

ซูหยุนซีและซูเทียนซีถูกผนึกความแข็งแกร่งของพวกเขาเอาไว้โดยผู้อาวุโสประจำศาลา ดังนั้นพวกเขาจึงเทียบเท่ากับคนธรรมดาในตอนนี้

ทั้งสองคนจ้องมองผู้อาวุโสประจำศาลาด้วยความโกรธเกรี้ยวและพวกเขาขบฟัน “ไม่คิดเลยว่าศาลาวิญญาณสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่จะทำอะไรที่น่าอนาถแบบนี้ พวกเราสองพี่น้องทำงานให้ศาลาของพวกเจ้ามาหลายปีในฐานะผู้อาวุโสอาคันตุกะ พวกเราทำอะไรไปหลายอย่างมากหลายปีนี้ มันไม่ได้น่าสรรเสริญอะไรแต่มันก็เป็นงานที่สำคัญมาก อย่าว่าแต่เรื่องที่พวกเราไปตามล่าเจี้ยนเฉินภายใต้คำสั่งของพวกเจ้า ในตอนนี้เขาแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็เลยโยนพวกเราให้เป็นแพะรับบาป หืม พวกเรามันตาบอด ถ้าพวกเรารู้ว่าศาลาของเจ้าจะเป็นคนเนรคุณแบบนี้ พวกเราก็คงไม่เอาตำแหน่งผู้อาวุโสอาคันตุกะมาหรอก”

ผู้อาวุโสประจำศาลาขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของพวกนั้นและคำรามออกมา “ผนึกปากของพวกมันซะ”

ผู้อาวุโสก้าวออกมาด้านหน้าทันที และชี้ไปที่คอของพวกนั้น พวกเขาสูญเสียความสามารถในการพูดไป

หลังจากนั้น พี่น้องที่ถูกมัดอยู่และผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสามถูกพาตรงหน้าเจี้ยนเฉิน เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นแบบนี้ เขาไม่คิดมาก่อนว่าศาลาวิญญาณสวรรค์จะทำตามอย่างง่ายดายขนาดนี้ พวกเขาส่งผู้อาวุโสอาคันตุกะให้อย่างตรง ๆ แบบนี้ มันไม่เหมือนกับที่เขาคาดว่าจะเกิดขึ้นในตอนแรกเลย

“นักรบเจี้ยนเฉิน พวกเราได้ส่งซูหยุนซีและซูเทียนซีไปไล่ล่าเจ้าเมื่อหลายปีก่อน เจ้าสามารถจัดการกับพวกเขาได้ตามที่เจ้าปรารถนา พวกเรา ศาลาวิญญาณสวรรค์ จะไม่เจ้าไปยุ่งเกี่ยว” ผู้อาวุโสประจำศาลาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้ามีแผนที่จะลบล้างความเป็นปฏิปักษ์ของข้ากับศาลาของพวกเจ้าด้วยการส่งสองคนนี้ให้กับข้าอย่างนั้นหรือ?” เจี้ยนเฉินถามอย่างไร้อารมณ์

“ถูกต้อง มันเป็นแบบที่เจ้าพูดนั่นแหละ พวกเราไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับเจ้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีกก่อนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ในตอนแรกพวกเราวางแผนที่จะเชิญให้พวกเจ้ามาเป็นแขกของศาลาของพวกเรา แค่พวกเราไม่คิดว่าทุกอย่างจะวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ นี่ทำให้เกิดเป็นความเข้าใจผิดระหว่างพวกเรา ข้าในฐานะตัวแทนของศาลาวิญญาณสวรรค์ต้องขอโทษอย่างสุดซึ้ง ข้าหวังว่าเจ้าจะยกโทษให้พวกเราสำหรับทุกสิ่งที่เราได้ทำจากความเข้าใจผิดเมื่อหลายปีก่อน” คำพูดของผู้อาวุโสประจำศาลาเต็มไปด้วยความจริงใจ เขาไม่ดูเหมือนว่าเสแสร้งเลย

เจี้ยนเฉินจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสประจำศาลาของศาลาวิญญาณสวรรค์ในขณะที่สายตาของเขาเป็นประกาย สถานการณ์เปลี่ยนไปจนเขาประหลาดใจ ตอนแรกเขาคิดว่าอย่างน้อยเขาต้องต่อสู้อย่างดุเดือดกับศาลาวิญญาณสวรรค์แน่เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าศาลาวิญญาณสวรรค์จะออกมาขอโทษด้วยตัวเอง มันค่อนข้างเหลือเชื่อสำหรับเขา

หลังจากที่ลังเลสักพัก โถงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือซ้ายของเจี้ยนเฉินก็ขยายออกทันทีและจากนั้นเขาก็โยนคนทั้งสองเข้าไปในนั้น พวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้เลย และโถงศักดิ์สิทธิ์ก็กลับมาในมือของเขาอย่างเร็วหลังจากนั้น เจี้ยนเฉินพูดกับผู้อาวุโสประจำศาลา “แค่ซูเทียนซีกับซูหยุนซียังห่างไกลนักที่จะหักล้างเรื่องก่อนหน้านี้ได้”

ผู้อาวุโสประจำศาลาดูเหมือนจะรอว่าเจี้ยนเฉินจะพูดอะไรแบบนี้มานานแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีปฏิกิริยาอะไร หนึ่งในนั้นสั่งออกมา “เอาตัวผู้อาวุโสคุมวินัยมา”

คนทั้งสามถูกเรียกออกมาจากศาลาศักดิ์สิทธิ์ของศาลาวิญญาณสวรรค์อย่างรวดเร็ว พวกเขายังคงไม่แสดงทีท่าอะไรและไร้อารมณ์

“นักรบเจี้ยนเฉิน ผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสามมาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ให้พวกเราบอกให้พวกเขาทั้งสามขอโทษและจบเรื่องนี้ไปซะล่ะ” ผู้อาวุโสประจำศาลาแนะนำออกมา

“คำขอโทษธรรมดาคงไม่เพียงพอ” เจี้ยนเฉินพูดพร้อมส่ายหน้าเบา ๆ แม้ว่าศาลาวิญญาณสวรรค์จะแสดงทีท่าอย่างดี แต่คำขอโทษธรรมดาคงไม่เพียงพอที่จะชดใช้กับเวลาที่พวกเขาพยายามที่จะไล่ล่าเจี้ยนเฉินเมื่อหลายปีก่อน

“นักรบเจี้ยนเฉิน ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรถึงจะปล่อยวางเรื่องนี้ไปได้ ? ” ผู้อาวุโสประจำศาลาถามอย่างไม่ได้มีอารมณ์ใดใด แต่โทสะก็เริ่มที่จะเกิดขึ้นในใจของเขา พวกเขาเป็นหนึ่งในสามศาลาที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่เคยพูดอย่างสุภาพและอ่อนโยนแบบนี้กับใครมาก่อน เจี้ยนเฉินเป็นคนแรก

“มีทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้ และนี่คือการให้ข้านั้นจบชีวิตพวกเขาเป็นการแก้แค้น” เจี้ยนเฉินพูดอย่างเฉียบขาด เขาไม่ต้องการที่จะยอมแพ้

“เจี้ยนเฉิน เจ้าทำเกินไปแล้ว…” ท่าทางของผู้อาวุโสประจำศาลาบางคนเปลี่ยนไปตามคำพูดของเจี้ยนเฉินและบางคนยังตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย เขาเต็มไปด้วยความโกรธ

ผู้อาวุโสคุมกฎทั้งสามทั้งหมดเป็นสมาชิกระดับสูง เป็นสมาชิกหลักจริง ๆ ของศาลาวิญญาณสวรรค์ ฐานะของพวกเขานั้นเทียบไม่ได้ได้กับ ซูเทียนซีและซูหยุนซีที่เป็นคนนอก พวกเขาสามารถเขี่ย 2 คนนี้ทิ้งไปได้ทุกเวลา แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะเสียผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสามไปได้

ใบหน้าของเจี้ยนเฉินมืดครึ้มและโถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปดก็ลอยออกมาจากมือของเขา มันเริ่มที่จะขยายใหญ่ออกมาทันทีและในเวลาเดียวกันยุทธภัณฑ์จักรพรรดิก็ปรากฎขึ้นที่มือขวาของเขา มันส่องแสงสีดำจ้าในขณะที่พลังแห่งการทำลายล้างกระจายไปทั่วบริเวณ

“เมื่อพวกเจ้าเห็นต่าง พวกเจ้าจะต้องสู้” เสียงของเจี้ยนเฉินเย็นชาในขณะที่จิตสังหารพวยพุ่งอยู่ในดวงตาของเขา เขาเตรียมการต่อสู้มานานแล้ว เขาจะไม่ปล่อยพวกนี้ไปเพียงเพราะแค่พฤติกรรมที่เป็นมิตรของศาลาวิญญาณสวรรค์แน่

ผู้อาวุโสประจำศาลาท่าทางค่อนข้างกลัวเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะสู้กับเจี้ยนเฉิน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถทำร้ายเจี้ยนเฉินได้เมื่อเจี้ยนเฉินอยู่ในโถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็คงจะดิ่งลงเหวทันทีที่พวกเขาเริ่มต่อสู้กัน นี่เป็นการขัดคำสั่งที่ท่านเจ้าศาลาได้ให้มา

“เอาล่ะ เอาล่ะ เจี้ยนเฉิน พวกเราจะให้เจ้าจัดการกับผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสาม” ผู้อาวุโสประจำศาลาพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ใบหน้าของผู้อาวุโสคุมวินัยหม่นลงเมื่อพวกเขาได้ยินแบบนั้น ความว่างเปล่าที่มีอยู่ในตาของพวกเขาตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง

ผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสามหยุดอยู่ห่าง 20 เมตรจากเจี้ยนเฉินและพูดออกมาอย่างภูมิใจ “เจี้ยนเฉิน พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าเจ้าต้องการที่จะฆ่าพวกเราหรือต้องการที่จะทรมานพวกเรา ลงมือได้เลย” ผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสามไม่กลัว พวกเขาไม่กลัวที่จะตาย

ทั้งสามคนรู้ดีว่าศาลาวิญญาณสวรรค์ได้ทอดทิ้งพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่บ่นเลยแม้แต่น้อย เพราะว่า ความภักดีของพวกเขาที่มีต่อศาลาวิญญาณสวรรค์นั้นมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาถึงสามารถเป็นผู้อาวุโสคุมวินัยได้

“เจี้ยนเฉิน ผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสามเป็นสมาชิกที่เป็นแกนหลักของศาลาของพวกเรา พวกเราไม่ต้องการที่จะเห็นพวกเขาต้องมาตายตรงนี้แบบนี้เช่นกัน ทำไมพวกเราไม่ให้พวกเขาทั้งสามสาบานว่าจะภักดีต่อเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยนกับชีวิตของพวกเขาล่ะ” เสียงชราดังขึ้นมาในหูของเจี้ยนเฉินในตอนนี้

ตาของเจี้ยนเฉินเบิกกว้างขึ้นเมื่อเขาได้ยินแบบนั้น ก่อนที่จะมองไปที่ผู้อาวุโสประจำศาลา จากนั้นเขาจึงพูดกับผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสาม “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าในการมีชีวิตอยู่ โดยการสาบานว่าจะภักดีต่อข้า”

ผู้อาวุโสคุมวินัยทั้งสามมองหน้ากันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินแบบนี้และเผยท่าทีแน่วแน่ออกมา พวกเขายอมตายดีกว่าที่จะสวามิภักดิ์ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและหลังจากที่ชั่งใจสักพัก เหมือนกับว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกเขาก็ตกลงตามข้อแนะนำของเจี้ยนเฉินในท้ายที่สุด “เอาล่ะ พวกเราทั้งสามในตอนนี้จะซื่อสัตย์ต่อเจ้า”