บทที่ 2021 ทำให้ตระกูลเนี่ยยกระดับไปอีกขั้น
พอได้ยินดังนั้น เยี่ยหวันหวั่นก็เหลือบมองคนไม่กี่คนนั้นแวบหนึ่ง เพียงยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “ถอดใจกันเร็วขนาดนี้เลยเหรอ อะไรกัน คิดจะประเคนทุกอย่างของตระกูลเนี่ยไปเลยงั้นเหรอ”
“ยังจะมีวิธีไหนอีกล่ะ เธอทำให้พ่อแม่ฉันเปลี่ยนความคิดได้เหรอไง” เนี่ยอู๋หมิงมองเยี่ยหวันหวั่นอย่างไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง
“มีวิธีก็แล้วกัน” เยี่ยหวันหวั่นมองเนี่ยอู๋หมิง พลางยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “อันที่จริง ขอแค่ทำให้นายหญิงตระกูลเนี่ยหมางเมินเย็นชาต่อเนี่ยอู๋โยวได้ก็พอแล้ว เรื่องมันง่ายจะตาย”
“ฮะ ทำให้พ่อแม่หมางเมินอู๋โยวงั้นเหรอ” เนี่ยอู๋หมิงมีสีหน้ามึนงง หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้านิดๆ แล้วพูดว่า “ไม่ได้ๆ ด้วยความสามารถของอู๋โยว ถึงแม้จะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำของตระกูลเนี่ย แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นน้องสาวของฉัน ฉันจะทำแบบนี้ได้ยังไงกัน”
เยี่ยหวันหวั่นชะงักไป
มองดูเนี่ยอู๋หมิงที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้จะแค้นใจที่ไม่อาจเปลี่ยนเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้อยู่บ้าง แต่ในใจของเยี่ยหวันหวั่นกลับมีความอบอุ่นสายหนึ่งวาบผ่านเข้ามา ถึงยังไงก็เป็นพี่ชายของตัวเอง…ถึงแม้ ‘เนี่ยอู๋โยว’ ในปัจจุบันนี้จะเป็นตัวปลอม แต่เนี่ยอู๋หมิงก็ยังคงนึกว่าเป็นตัวเธอ
ไอ้ซึ้งน่ะซึ้งอยู่หรอก แต่ถ้าเนี่ยอู๋หมิงไม่ยอม แบบนี้จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง
ในตอนนี้เอง นัยน์ตาของเยี่ยหวันหวั่นก็กลอกกลิ้งเล็กน้อย จ้องมองเนี่ยอู๋หมิง พลางเอ่ยเสียงเย็น “คุณคิดว่าคุณทำเพื่อเนี่ยอู๋โยวน้องสาวของคุณแล้วจะดีงั้นเหรอ ผิดพลาดมหันต์แล้ว”
“เพราะอะไร” เนี่ยอู๋หมิงมีสีหน้าประหลาดใจ
“เมื่อกี้คุณก็เพิ่งพูดเอง เนี่ยอู๋โยวในตอนนี้ ศักยภาพไม่เพียงพอ ไม่มีความสามารถในการควบคุมตระกูลเนี่ยทั้งตระกูลได้ คุณลองคิดดูสิ สถานการณ์ในรัฐอิสระวุ่นวายมาก คนที่มีความสามารถไม่เพียงพออย่างเนี่ยอู๋โยว ถ้ากลายเป็นเจ้าบ้านของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ นี่ไม่ใช่การผลักเธอให้ไปยืนอยู่บนยอดคลื่นมรสุมหรอกเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นพูดเจื้อยแจ้วออกมาโดยที่หน้าไม่แดงลมหายใจไม่หอบถี่เลย
ไม่ให้โอกาสเนี่ยอู๋หมิงได้เปิดปากพูด เยี่ยหวันหวั่นก็พูดต่อไปว่า “ความสัมพันธ์ภายในตระกูลเนี่ยสลับซับซ้อน เนี่ยอู๋โยวจะสะสางจัดการให้กระจ่างได้เหรอ ปัญหาในบ้านตัวเองไม่พูดถึงก็ได้ แต่ปัจจัยภายนอกล่ะ หากว่าวันหนึ่ง เนื่องด้วยความไร้ศักยภาพของเนี่ยอู๋โยว จึงเป็นเหตุให้รากฐานที่มีมาหลายร้อยปีของตระกูลเนี่ยต้องล้มสลาย เนี่ยอู๋โยวจะกลายเป็นคนบาปของตระกูลเนี่ยไปนับพันรุ่น หากว่าวันนั้นมาถึง มันก็จะเป็นเพราะคุณทั้งนั้น” เยี่ยหวันหวั่นพูดกับเนี่ยอู๋หมิงอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
เนี่ยอู๋หมิงตะลึงค้างไปแล้ว…
หนุ่มกรรมการต่างชาติเอ่ยว่า “ว้าว เถ้าแก่โหย่วหมิง ที่คุณพูดมีเหตุผลมากเลย!”
นักพรตใจบริสุทธิ์ก็พูดว่า “เวรเอ้ย หนึ่งคำบอกเล่าจากเถ้าแก่โหย่วหมิง ทำให้ฉันกระจ่างแจ้งตื่นรู้ได้เลย แจ่มกว่าคัมภีร์ที่อ่านมาสิบปีอีก!”
อี้จือฮวาก็เอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ พอลองคิดดูให้ละเอียดแล้วแบบนี้มีเหตุผลอยู่จริงๆ หากว่าต้องฉาวโฉ่ไปอีกหมื่นปีเพราะคนๆ เดียวละก็…”
หนุ่มภูเขาน้ำแข็ง “?”
“บัดซบ น้องสาวคนดี เธอนึกออกได้ยังไงกัน ฉันเกือบจะมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปซะแล้ว!” เนี่ยอู๋หมิงจ้องมองเยี่ยหวันหวั่นด้วยสีหน้าตกตะลึง
ในเวลานี้ เยี่ยหวันหวั่นแอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ คนกลุ่มนี้ มีชีวิตรอดในรัฐอิสระมาจนถึงวันนี้ได้ยังไงนะ มิน่าละของผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเนี่ยจึงไม่อยากจะยกตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเนี่ยให้กับเนี่ยอู๋หมิง…
“เดี๋ยวนะ ไม่ถูกสิ!” จู่ๆ นักพรตใจบริสุทธิ์ก็หันไปมองเนี่ยอู๋หมิง “งั้น…ถ้าหากหัวหน้ารับช่วงต่อตระกูลเนี่ย แล้ววันข้างหน้า คนบาปนับพันรุ่นของตระกูลเนี่ยจะไม่กลายเป็นหัวหน้าหรอกเหรอ!”
“ใช่ๆๆ ปล่อยให้คุณหนูอู๋โยวกลายเป็นคนบาปไปเองเถอะ!” หนุ่มกรรมกรต่างชาติพยักหน้ารัวๆ
หลังจากที่ทั้งสองพูดจบ เนี่ยอู๋หมิงก็ร้องฮึ่มๆ แล้ว “พวกแกหยุดพูดหมาๆ ได้แล้ว!”
“ด้วยความสามารถของฉัน ด้วยสมองอันชาญฉลาดของฉัน หากว่าฉันได้สืบทอดตระกูลเนี่ย มีแต่จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ยกระดับไปอีกขั้น กลายเป็นผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ต่างหาก!” เนี่ยอู๋หมิงหัวเราะหยันทีหนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมด้วยความหยิ่งผยอง
———————————————————————-
บทที่ 2022 ใครเป็นไส้ศึก
อี้จือฮวามองเนี่ยอู๋หมิงอย่ากระอักกระอวนแวบหนึ่ง “หัวหน้า…นั่นน่ะ ตระกูลเนี่ย…อันที่จริงก็เป็นผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เนี่ยอู๋หมิงตอบว่า “แบบนั้นแล้วยังไงล่ะ ในสายตาฉัน ตระกูลเสิ่นถึงจะผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ตัวจริง!”
พอเนี่ยหวันหวั่นได้ยินก็กลอกตาใส่เนี่ยอู๋หมิงแวบหนึ่ง พูดไปมาพูดมา ในสายตาของเนี่ยอู๋หมิง ใครมีเงินคนนั้นเป็นลูกพี่สินะ
ถ้าจัดลำดับตามฉบับของเนี่ยอู๋หมิงแล้ว ตระกูลเสิ่นจะเป็นแค่ผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ได้ยังไง ตระกูลเสิ่นเป็นผู้นำรัฐอิสระเลยชัดๆ
พันธมิตรอู๋เว่ยเอย อาชูร่าเอย กุล่มสหพันธ์วิทยายุทธ์เอย ตระกูลเก่าแก่อึสุนัขเอย พอเห็นตระกูลเสิ่นก็ต้องคุกเข่าเรียกท่านปู่กันทั้งนั้น
“หัวหน้า…”
นักพรตใจบริสุทธิ์จ้องมองเนี่ยอู๋หมิง มุมปากกระตุกยิกๆ คล้ายอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง
แต่ว่า พอเนี่ยอู๋หมิงตวัดสายตาดุดันใส่ นักพรตใจบริสุทธิ์ก็ส่ายหน้ารัวๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรๆ ด้วยความสามารถของหัวหน้าแล้ว วันหน้าตระกูลเนี่ยจะต้องยกระดับไปอีกขั้น ได้ครอบครองทั้งรัฐอิสระแน่!”
“คำขวัญของพวกเราคืออะไร!” เนี่ยอู๋หมิงปรบมือ
“หัวหน้าจูเฉิน ใจกว้างรักอิสระ!”
“หล่อๆๆๆ! แกร่งๆๆๆ!”
หนุ่มกรรมกรต่างชาติกับอี้จือฮวาประสานเสียงกันตะโกนคำขวัญออกมา
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออกแล้ว คำขวัญนี้น่าขายหน้าเกินไป เปลี่ยนใหม่ได้ไหม?
“น้องสาวคนดี ถ้างั้นต้องทำยังไงพ่อแม่ฉันถึงจะหมางเมินอู๋โยว แล้วยกตำแหน่งให้ฉันแทนล่ะ แน่นอน ฉันไม่ได้แอบหมายตาตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเนี่ยหรอกนะ ความสามารถของฉันเธอก็น่าจะรู้นี่นา จะสร้างตระกูลเนี่ยขึ้นมาอีกสองสามแห่งก็สบายมากอยู่แล้ว แต่ประเด็นหลักก็คือฉันไม่อยากให้วันข้างหน้าน้องสาวไร้สมองคนนั้นของฉันต้องกลายเป็นคนบาปพันรุ่นของตระกูลเนี่ยต่างหาก” เนี่ยอู๋หมิงมองไปที่เยี่ยหวันหวั่น เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
พอได้ฟังแล้ว เยี่ยหวันหวั่นก็มองเนี่ยอู๋หมิงด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าฉันรู้จักนายดีหรอกนะ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอแค่พวกเราขุดหลุมพราง แล้วปล่อยให้เนี่ยอู๋โยวมาติดกับก็พอแล้ว”
จากนั้น เยี่ยหวันหวั่นก็อธิบายแผนการอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เนี่ยอู๋หมิงถึงได้พาพวกอี้จือฮวากับนักพรตใจบริสุทธิ์ออกจากพันธมิตรอู๋เว่ย โดยตัดสินใจแล้วว่าจะทำตามแผนของเยี่ยหวันหวั่น
หลังจากรอให้พวกเนี่ยอู๋หมิงจากไปแล้ว เยี่ยหวันหวั่นก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง “ออกมาเถอะ”
พอสิ้นเสียงของเยี่ยหวันหวั่น เฟิงเสวียนอี้ก็จุดบุหรี่มวนหนึ่ง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้สำนักงานที่อยู่ด้านข้างด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
“มีสำนึกหน่อย” เยี่ยหวันหวั่นชี้ไปทางด้านข้าง
‘เขตปลอดบุหรี่’
เฟิงเสวียนอี้ชะงักไป
จากนั้นเฟิงเสวียนอี้ก็ดับบุหรี่ที่เพิ่งจุดลงด้วยความจนปัญญา
“แผนสำเร็จแล้ว ขั้นต่อไป นายเตรียมการไว้ยังไง” เยี่ยหวันหวั่นจ้องมองเฟิงเสวียนอี้ พลางเอ่ยถาม
“แค่อยู่รอกระต่าย” เฟิงเสวียนอี้ยิ้มน้อยๆ “นอกจากหัวหน้าแล้ว ในมือถือของคนที่เหลือถูกผมติดเครื่องดักฟังไว้แล้ว ถ้าหากมีคนใดคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเนี่ยอู๋โยวตัวปลอมคนนั้น พวกเราจะได้รู้แน่”
พอได้ยินคำพูดนี้ของเฟิงเสวียนอี้ เยี่ยหวันหวั่นก็ขมวดคิ้วนิดๆ “นายแน่ใจใช่ไหม…ถ้าพวกเขาไม่โทร แต่กลับนัดเจอกัน แบบนั้นจะทำยังไง”
“ถามได้ดี” เฟิงเสวียนอี้มองเยี่ยหวันหวั่น พูดต่อไปพร้อมรอยยิ้มว่า “บนตัวพวกเขาก็ถูกผมติดเครื่องดักฟังไว้แล้วเหมือนกัน”
เยี่ยหวันหวั่นอึ้งไปเลย
“งั้นถ้าเกิดว่าพวกเขาไม่คุยกัน แต่ให้สัญญาณสื่อสารล่ะจะทำยังไง หรือถ้าใช้ภาษามือล่ะจะทำยังไง แผนการนี้ของนาย ไม่ได้รอบคอบรัดกุมไปซะหมดหรอกนะ” เยี่ยหวันหวั่นส่ายหน้า
“เครื่องดักฟังของผม มีฟังก์ชันบันทึกวิดีโอ ดังนั้นแล้วคุณหนูอู๋โยวครับ ความกังวลของคุณน่ะเสียเปล่าแล้วล่ะ” เฟิงเสวียนอี้เอ่ยยิ้มๆ
เยี่ยหวันหวั่นเงียบไป เธอยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
ในตอนนี้ตัวเองหมดคำจะพูดเสียแล้ว