เมื่อได้ยินคำประกาศของเสี่ยหนานเทียนดังขึ้น ฉินหวงก็รู้สึกตกตะลึงมาถึงขนาดหัวของเขาแทบจะระเบิดออก
ไม่ใช่ว่าสำนักเบญจธาตุมาที่นี่เพื่อสนับสนุนเขาไม่ใช่เหรอไง?
ฉินหวงรีบถามเสี่ยหนานเทียนทันที “น้องเสี่ย นี่เจ้าทำไมทำแบบนี้?”
เสี่ยหนานเทียนถอนหายใจ และพูดกับฉินหวงว่า “พี่ฉินข้าขอพูดตามตรง ข้าคิดว่าท่านไม่มีโอกาสหรอก และยิ่งไปกว่านั้นสำนักของข้าจำเป็นต้องได้สิทธิ์ในการซื้อโอสถกับสมบัติวิเศษเพื่อเอามาพัฒนาสำนักของข้า”
“แต่ของเหล่านั้นพวกเราสามารถซื้อพวกมันผ่านหอการค้าเชื่อมสวรรค์ได้ไม่ใช่เหรอ? เจ้าไม่เห็นจำเป็นต้องเข้าร่วมกับอาณาจักรจันทราแบบนี้เลย!” ฉินหวงพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
เสี่ยหนานเทียนส่ายหัว “พี่ฉิน ท่านไม่เข้าใจหรอกว่าคู่แข่งของท่านเป็นใคร! ดังนั้นต่อให้ข้าไม่สนใจเรื่องการซื้อของจากอาณาจักรจันทรา ข้าก็ยังคงไม่อาจสนับสนุนท่านได้อยู่ดี และข้ามั่นใจว่าผู้อาวุโสของข้าจะต้องเข้าใจการตัดสินใจของข้าแน่นอนเมื่อพวกเขาได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอาณาจักรจันทรานั้นมีอะไรซ่อนอยู่”
เมื่อพูดจบ เสี่ยหนานเทียนเดินจากไปหาหลิงยี่เทียนทันที โดยไม่สนใจว่าฉินหวงจะรู้สึกยังไง
เมื่อเดินไปถึงหลิงยี่เทียน เสี่ยหนานเทียนยิ้มทักทายและพูดว่า “น้องชายนับจากนี้ไปสำนักเบญจธาตุจะสนับสนุนเจ้าเช่นกัน”
“ด้วยความยินดี ๆ” หลิงยี่เทียนยิ้มตอบ
การที่จู่ ๆ สำนักอันดับต้น ๆ อย่างสำนักเบญจธาตุย้ายไปสนับสนุนอาณาจักรจันทรานั้นทำให้ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึง แต่ก่อนที่ทุกคนจะทันได้คืนสติ ชายชราผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นและประกาศว่า “ข้ามั่นใจว่าอาณาจักรจันทราจะมีอนาคตที่ไร้จำกัดแน่นอน ดังนั้นตำหนักเทพยุทธ์จะขอร่วมสนับสนุนอาณาจักรจันทราอย่างเต็มตัวเช่นกัน!”
เจียงหวงที่กำลังเบิกบานจากการที่ฉินหวงจู่ ๆ ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักเบญจธาตุ เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที
ตำหนักเทพยุทธ์นั้นคือผู้สนับสนุนที่สำคัญที่สุดของเขา แต่แล้วตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไปเข้าร่วมกับอาณาจักรจันทราซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้เขาจะสู้ได้ยังไง?
“ผู้อาวุโส…” เจียงหวงมองไปที่ชายชราด้วยสีหน้าตกตะลึง
ชายชราส่ายหัวและพูดว่า “เจียงหวง เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่ออีกแล้ว การตัดสินใจนี้เป็นการตัดสินใจของท่านมหาจักรพรรดิเทพยุทธ์โดยตรง และอีกสักพักท่านมหาจักรพรรดิเทพยุทธ์จะมาที่นี่ด้วยเช่นกันเพื่อออกหน้าให้กับอาณาจักรจันทราด้วยตัวเอง ฉะนั้นเจ้าน่าจะเข้าใจว่าเรื่องนี้ต่อให้เจ้าพูดอะไรต่อมันก็ไม่มีประโยชน์”
“ผู้อาวุโส ถ้างั้นอย่างน้อย ๆ โปรดท่านช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจทีได้ไหมว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้?” เจียงหวงถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
ชายชราถอนหายใจ “เจียงหวง คนที่เจ้ากำลังแข่งด้วยนั้นไม่ใช่คนที่เจ้าจะสามารถต่อกรด้วยได้! เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อกัน ข้าแนะนำให้เจ้ารีบถอนตัวออกจากการคัดเลือกนี้โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นหากเจ้ายังดื้อดึงดันต่อไปไม่เพียงแค่เจ้าจะไม่มีโอกาสเป็นราชันแห่งมวลมนุษย์ แต่อาณาจักรของเจ้าอาจจะต้องเผชิญกับหายนะใหญ่ด้วยซ้ำ!”
ชายชราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวทนาเหล่าผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ในยุคนี้ เพราะพวกเขาดันเกิดในยุคเดียวกับหลิงยี่เทียน ซึ่งมีพ่อเป็นจอมราชาผู้เลือดเย็นผู้นั้น!
หลังจากตำหนักเทพยุทธ์ประกาศสนับสนุนอาณาจักรจันทรา สำนักอื่น ๆ ก็เริ่มที่จะประกาศสนับสนุนอาณาจักรจันทราเช่นกัน
หลิงยี่เทียนเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเบิกบาน เพราะเขารู้ว่าการที่เรื่องราวมันกลับกลายเป็นแบบนี้มันจะต้องเป็นฝีมือของพ่อเขาแน่นอน
ฟู่เซียนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง แต่สายตาของเขาที่มองไปนั้นมีแต่ความมืดหม่นพลางคิดในใจ
ไหนท่านสัญญาว่าจะไม่แทรกแซงไม่ใช่เหรอ!?
ในเวลาต่อมา บรรดากองกำลังที่เคยเป็นกลางทั้งหลายเมื่อเห็นว่าอาณาจักรจันทราได้รับการสนับสนุนเป็นจำนวนมาก และบวกกับมีหลายอย่างที่อาณาจักรจันทรานั้นได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ดังนั้นพวกเขาจึงค่อย ๆ ทยอยตะโกนสนับสนุนหลิงยี่เทียนเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าคนส่วนใหญ่เริ่มเทไปยังอาณาจักรจันทราราวกับน้ำหลาก จี้กงซวนก็รีบพูดขึ้นเสียงดังถามหลิงยี่เทียนทันที “ฝ่าบาทยี่เทียน ถึงแม้ว่าในตอนนี้อาณาจักรของท่านจะมีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ยอดเยี่ยมมากมาย แต่ว่าพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะของฝ่าบาทนั้นยังเป็นน่ากังขาอยู่ เท่าที่ข้ารู้มาท่านได้ติดอยู่ในระดับสวรรค์สามัญมาหลายร้อยปีแล้ว ซึ่งข้าเป็นกังวลเหลือเกินว่าถ้าหากท่านไม่อาจทะลวงระดับต่อไปได้อีก และอายุขัยของท่านหมดลงกลางคันในระหว่างที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นราชันแห่งมวลมนุษย์ เมื่อเป็นแบบนั้นไม่ใช่ว่าบ้านเมืองจะตกอยู่ในความวุ่นวายทันทีงั้นหรือ? การที่บ้านเมืองไร้ผู้นำต่อให้อาณาจักรจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์จริงไหม? ข้าต้องขอประทานอภัยด้วยจริง ๆ ที่ข้าจำเป็นต้องถามเช่นนี้ เพราะข้ากังวลเหลือเกินกับความไม่แน่นอนของอนาคตของฝ่าบาท”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของจี้กงซวน บรรดาผู้คนส่วนที่กำลังลังเลว่าจะตัดสินใจสนับสนุนหลิงยี่เทียนดีไหมก็หยุดชะงักในทันที
แน่นอนว่าทางด้านของ ฉินหวง เจียงหวง และ ซ่งว่านหลุน ซึ่งหมดหวังไปแล้วเมื่อครู่พอได้ยินเช่นนี้แววตาของพวกเขาก็กลับมาเปล่งประกายอีกครั้งหนึ่ง
พวกเขาหาข้อได้เปรียบของพวกเขาเจอแล้ว!
ในทางกลับกัน หลิงยี่เทียนเมื่อเผชิญคำถามของจี้กงซวนเช่นนี้ เขากลับหัวเราะและตอบกลับว่า “ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าระดับการบ่มเพาะของข้าจะต้องทำให้คนอื่น ๆ เข้าใจผิดหาว่าข้าไร้พรสวรรค์ ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าข้าไม่สามารถทะลวงระดับได้หรอก ข้าแค่ยังไม่อยากจะทะลวงระดับการบ่มเพาะขึ้นไปก็เท่านั้น!”
เจียงหวงหัวเราะขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยันและพูดว่า “น้องยี่เทียน เจ้าล้อพวกเราเล่นรึเปล่า? คนแบบไหนกันที่ไม่อยากจะทะลวงระดับขึ้นไปเร็ว ๆ? ข้าว่าข้ออ้างแบบนี้ของเจ้ามันดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่เลย!”
หลิงยี่เทียนถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ…อันที่จริงข้านั้นไม่อยากที่จะทะลวงระดับขึ้นไปเร็ว ๆ เลยจริง ๆ แต่ในเมื่อพวกท่านไม่เชื่อข้า งั้นข้าจะแสดงให้พวกท่านดูก็ได้ว่าคำพูดของข้านั้นเป็นจริงแค่ไหน!”
เมื่อพูดจบ หลิงยี่เทียนก็โคจรพลังของเขาทันทีและแค่เพียงพริบตา ระดับการบ่มเพาะของเขาก็ทะลวงขึ้นไปยังระดับหลุดพ้นสามัญ!
ยิ่งไปกว่านั้นหลิงยี่เทียนไม่มีท่าทีว่าเขาจะหยุดการทะลวงระดับเลย เขายังคงโครพลังของเขาต่อไป ซึ่งเวลาผ่านไปอีกเพียงแค่ครู่เดียวระดับการบ่มเพาะของเขาก็ทะลวงไปอีกระดับจนขึ้นมาอยู่ระดับเหนือล้ำ!
บรรดาคนอื่น ๆ ที่ได้เห็นเช่นนี้ต่างก็พากันมองไปที่หลิงยี่เทียนด้วยสายตาโง่งม และตื่นตระหนก
หากเป็นการทะลวงระดับแค่ระดับเดียวนั้น พวกเขายังพอจะหาเหตุผลได้ว่าหลิงยี่เทียนนั้นเตรียมการมาก่อนหน้านี้แล้วเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกเขา แต่ว่าการทะลวงสองระดับติดต่อกันนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จะเตรียมการมาได้แน่นอนเพราะการที่จะทำแบบนี้ได้คือผู้บ่มเพาะจะต้องข่มระดับการบ่มเพาะของตัวเองไม่ให้ทะลวงขึ้นไปมาเป็นเวลานานมาก ๆ แล้วเท่านั้นเขาถึงจะสามารถทำแบบนี้ได้!
หลิงยี่เทียนกวาดสายตามองไปที่คนรอบ ๆ จากนั้นเขายิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ทุกท่านคงเชื่อที่ข้าพูดแล้วใช่ไหม? แต่ถ้าหากพวกท่านยังไม่เชื่อและถ้าพวกท่านรอได้ ข้ายังคงสามารถทะลวงระดับขึ้นไปได้อีกเหมือนกัน พวกท่านอยากจะดูไหมล่ะ?”