ตอนที่ 2207

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,207 : ปลายเกาทัณฑ์

 

 

 

 

‘น่าเสียดายที่พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าแทบเหือดแห้งหมดตัว ไม่มีทางไล่ตามวิญญาณของเกาฉ่วงได้แต่แรก…นอกจากกนี้ด้วยความที่พลังวิญญาณข้าก็แค่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน ไม่อาจใช้อำนาจจิตเล่นงานมันได้…’

 

เห็นวิญญาณของเหาฉ่ววงหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนในใจ

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากฆ่าเหาฉ่วง แต่เขาไม่มีพลังจะฆ่ามัน!

 

ทันทีที่เหาฉ่วงใช้วิธีถอดจิตลี้ร่างอันเป็นความสามารถเฉพาะของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน แม้ความเร็วของวิญญาณจะไม่เท่าร่างต้น แต่ก็เทียบได้กับความเร็วของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนทั่วๆไป

 

‘แต่ฟังจากวาจาทิ้งท้ายของเจ้าเหาฉ่วงนั่น…ดูเหมือนว่ามันเองจะแค้นลัทธารามทมิฬเหมือนกัน’

 

นึกถึงวาจากล่าวอาฆาคแค้นของเหาฉ่วงก่อนที่จะหลบหนีไป ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทอประกายเรืองวูบขึ้นมา ‘แถมฟังๆไปแล้วมันน่าจะแค้นลัทธิอารามทมิฬมากกว่าลัทธิบูชาไฟ้วยซ้ำ’

 

พอนึกดูต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ เพราะที่เหาฉ่วงมาที่นี่วันนี้เป็นเพราะมันยอมรับคำเชิญของลัทธิอารามทมิฬ

 

อย่างไรก็ตามเป็นเพราะคำเชิญนี้ของลัทธิอารามทมิฬทำให้มันต้องกลายเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อน ละทิ้งร่างกายหนีตายไปแบบนั้น…

 

ตอนนี้เมื่อร่างกายของมันถูกฆ่าไปแล้วแบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่วิญญาณของมันจะหวนกลับมาอาศัยอยู่ในร่างเดิมได้อีก มันทำได้แค่ปล้นร่างกายของผู้อื่น หรือไม่ก็สร้างร่างกายตัวเองขึ้นมาใหม่เท่านั้น

 

และแทนที่จะไปปล้นร่างกายของผู้อื่น เป็นการดีเสียกว่าที่จะสร้างร่างกายของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพราะเป็นไปได้ที่มันจหวนกลับมามีพลังฝึกปรือดังเดิม!

 

แน่นอนว่าเพียงพูดอาจจะง่าย แต่คิดกระทำจริงต้องใช้เวลานานนัก!

 

กล่าวสรุปได้ว่า การตอบรับคำเชิญให้มาช่วยเหลือของลัทธิอารามทมิฬครั้งนี้ เหาฉ่วง เสมือนขโมยไก่ไม่สำเร็จ ยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือ!

 

เรื่องนี้คงเป็นอะไรที่มันเองก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อน

 

‘ตอนนี้ไม่พ้นเหาฉ่วงนั่นต้องแค้นลัทธิอารามทมิฬมากแน่ ที่มาจ้างวานให้มันลงมือแบบนี้…หากมันไม่มา มันคงไม่ต้องลงเอยอนาถแบบนั้น!’

 

ต้วนหลิงเทียนพอจะเข้าใจความรู้สึกเมื่อครู่ของเหาฉ่วง

 

หากเหาฉ่วงรู้แต่แรกว่าเขามีพลังระดับนี้ ให้ลัทธิอารามทมิฬมอบผลตอบแทนมากกว่านี้อีก 10 เท่ามันก็คงไม่เอาแน่นอน

 

‘แต่จะว่าไปก็ไม่คิดเลย…ว่าการใช้กระบี่เซียนสวรรค์ด้วยการจ่ายพลังเซียนสุริยันทั้งหมดหลังยกระดับด้วยปฐมเวทย์กลืนกินแล้ว ตัวกระบี่จะมีพลังทำลายขนาดนี้…’

 

นึกถึงฉากที่กระบี่นิลสวรรค์ทำลายพลังสภาวะของพลองธัมมะที่อัดแน่นไปด้วยพลังชั่วชีวิตของเหาฉ่วงได้ราบคาบ ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะตกใจ

 

ต้องทราบด้วยว่าก่อนลงมือ กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง

 

เพราะสุดท้ายแล้วเหาฉ่วงก็เป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน อาวุธในมือก็เป็นถึงยอดศาสตราเซียนอย่างพลองธัมมะ…การโจมตีเมื่อครู่ของมันเกรงว่าสามารถทุบตีผู้คนใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้งแดนดินให้เป็นเศษเนื้อได้ง่ายๆ

 

ดังนั้นเขาถึงกับไม่ลังเลที่จะเปิดเผยกระบี่นิลสวรรค์ต่อหน้าผู้คน กระทั่งยังใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดเพื่อปล่อยการจู่โจมที่รุนแรงที่สุด หมายเอาชนะเหาฉ่วงให้ได้ในหนึ่งกระบวนท่า…

 

ตอนแรกเขาก็กังวลไม่น้อย

 

จนเมื่อผลการปะทะออกมา เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาคิดถูกแล้ว…

 

หากไม่มีเขาสักคน พลังทำลายของเหาฉ่วงที่ระเบิดออกมาก่อนหน้า สมควรถือว่าเป็นพลังทำลายสูงสุดใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วจริงๆ

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการระเบิดพลังทั้งหมดของเขา กระบวนท่าของเหาฉ่วงก็จำต้องถูกบดขยี้

 

‘แต่จะว่าไปพลังทำลายของพลองธัมมะนั่น กล่าวกันตรงๆก็ไม่ได้ด้อยกว่ากระบี่นิลสวรรค์ของข้ามากมายอะไร…ทว่าเพียงความแตกต่างเล็กน้อย พอมาตกอยู่ในวินาทีเป็นตายก็เสมือนห่างกันพันลี้’

 

คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณสวรรค์อยู่บ้าง

 

‘หากเมื่อครู่ข้าไม่จ่ายพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดทั้งหมดลงกระบี่นิลสววรรค์ แต่เอาไปใช้พลังพิเศษเคลื่อนย้ายจักรวาลของบรรทัดจักรวาลหรือไม่ก็แบ่งไปควบรวมสร้างเขตแดนหมื่นกระบี่ ด้วยคิดปกปิดกระบี่นิลสวรรค์ล่ะก็…’

 

‘พลังของกระบี่นิลสวรรค์คงสู้พลังในพลองธัมมะเหาฉ่วงไม่ได้แน่…ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ใช่ข้าที่เอาชนะและรอดอยู่แบบนี้ แต่ไม่เพียงจะแพ้พ่าย กระทั่งชีวิตยังไม่อยู่ในกำมือของตัวเองอีก’

 

คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนอดหลั่งเหงื่อเย็นออกมาเสียไม่ได้

 

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่า…ความคิดเสี่ยงเปิดเผยกระบี่นิลสวรรค์เพื่อทุ่มพลังสู้กับเหาฉ่วงเมื่อครู่ มันเป็นความคิดที่ฉลาดขนาดไหน…

 

ต่อให้กระบี่นิลสวรรค์จะถูกเปิดเผยออกไป ก็คุ้มค่าแล้ว

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้!

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในแค่ไม่กี่ลมหายใจนั้น

 

ในที่สุดผู้คนทั้งหมดก็ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้สำเร็จ

 

ฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้า นับว่าสร้างความตกใจให้กับผู้คนครั้งใหญ่แล้วจริงๆ

 

หลายคนยังรู้สึกว่าเรื่องราวเหมือนฝันไป อดลดมือลงไปหยิกเนื้อต้นขาตัวเองสักกทีไม่ได้ บ้างยังลองตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อยืนยันว่าใช่กำลังฝันอยู่จริงๆหรือไม่…

 

ตัดสินในกระบวนท่าเดียว!

 

นี่คือคำท้าทายที่ ต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ กล่าวท้า เหาฉ่วง อันดับ 5 ในรายนามยอดเซียน!

 

ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้เหาฉ่วงยังได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน แถมยังมีพลองธัมมะอยู่ในมือ!

 

การโจมตีของเหาฉ่วงเมื่อครู่ เรียกว่าพลังที่ปะทุระเบิดออกมา นับเป็นพลังอำนาจที่รุนแรงที่สุดใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็ว่าได้…

 

ตอนแรกผู้คนก็พากันคิดไป…

 

ว่าเหาฉ่วงระเบิดพลังฟาดพลองไปอย่างดุร้ายปานนั้น น่ากลัวว่าถ้าต้วนหลิงเทียนไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่แล้ว…

 

อนิจจาบทสรุปกลับทำให้พวกมันเสมือนเป็นตัวตลก!

 

ในห้วงเวลาเป็นตาย

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบใช้วิชากระบี่ผีสางอันใด แต่กระบี่นั่นกลับฉับไวทั้งเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจราวจะสยบได้ทั้งโลกหล้า! ไม่เพียงทำลายสภาววะพลังของพลองธัมมะในมือเหาฉ่วงจนย่อยยับ ยังฆ่าร่างกายของเหาฉ่วงได้ทันที!!

 

สุดท้ายเหาฉ่วงก็ถูกบีบคั้นให้ถอดวิญญาณหลบหนี อันเป็นกลพลังเฉพาะเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน ถอดวิญญาณลี้ร่าง…

 

จังหวะนั้นทั้งหมดถึงกับตกตะลึงกับพลังของต้วนหลิงเทียนอย่างถึงที่สุด…

 

กระทั่งวาจาทิ้งท้ายด้วยความอาฆาตก่อนที่เหาฉ่วงจะหนีหายไป ก็ไม่อาจดึงสติที่กำลังเหม่อลอยเพราะความตกใจของพวกกมันได้

 

เพราะนั่นเป็นฉากเรื่องราวที่ชั่วชีวิตของพวกมันไม่เคยพบเคยเจอที่ใดมาก่อน!

 

พอทุกคนดึงสติกลับมาแล้ว ยามมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียน ต่างก็เผยความตื่นตระหนกตกใจออกชัดทางสีหน้าและแววตา

 

และทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวทำลายความเงียบออกมา

 

“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าลัทธิอารามทมิฬเองก็รู้ดี…”

 

เป็นเขามองไปยังกลุ่มคนของลัทธิอารามทมิฬ และค่อยๆกล่าวออกมาเสียงเรียบว่า “ว่าตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจจะบุกรุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนตอนไหนก็ไม่มีใครบอกได้! ข้าเองก็ไม่ได้อยากเป็นคนบาปของมนุษย์อะไร จึงไม่คิดฆ่ายอดฝีมือมนุษย์ด้วยกัน…เช่นนั้นข้าจึงแค่ฆ่าร่างเนื้อของเหาฉ่วงทิ้งไปเสียเป็นการสั่งสอนบทเรียนให้มันหลาบจำเท่านั้น ไม่ได้ทำลายวิญญาณของมันทิ้ง…”

 

“เรื่องนี้พวกเจ้าคงเห็นกับตา และคงไม่โทษว่าข้าเป็นคนบาปอะไรในภายหลัง…”

 

“อ่อจริงสิ…จะว่าไปเมื่อครู่ไม่ทราบพวกเจ้าได้ยินวาจาทิ้งท้ายก่อนที่มันจะหนีไปหรือไม่? ข้าฟังๆแล้วดูเหมือนมันจะเคียดแค้นลัทธิอารามทมิฬของพวกเจ้าไม่น้อยเลยทีเดียว! ไม่รู้ว่าวันหน้าหลังมันฟื้นฟูกลับมาจะไปหาความอะไรจากพวกเจ้ารึเปล่า…”

 

กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็กวาดตามองคนของลัทธิอารามทมิฬทุกคนด้วยสายตาขบขัน มุมปากยังยกยิ้มแสยะ

 

และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววจบ สีหน้าท่าทีของคนลัทธิอารามทมิฬก็เปลี่ยนไปทันที

 

ตอนแรกคนของลัทธิอารามทมิฬยังสงสัยและไม่เข้าใจอยู่บ้าง

 

ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงไม่ใช้โอกาสหลังจากกที่เอาชนะเหาฉ่วงได้แล้ว ทำลายวิญญาณเหาฉ่วงทิ้งเสีย

 

เพราะสุดท้ายแล้วคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับต้วนหลิงเทียนที่สำแดงพลังทำลายระดับนั้นออกมาได้ จะลงมือส่งๆอีกสักครั้งเพื่อทำลายวิญญาณของเหาฉ่วงทิ้ง…

 

ตอนนี้พอมาได้ยินคำกล่าวเสียดสีของต้วนหลิงเทียน

 

พวกมันก็ตระหนักได้ทันทีว่า…

 

ต้วนหลิงเทียนจงใจทำแบบนี้!

 

ต้วนหลิงเทียนจงใจไม่ทำลายวิญญาณเหาฉ่วง และคิดให้เหาฉ่วงย้อนกลับมาแว้งกัดลัทธารามทมิฬภายหลังเมื่อฟื้นฟูตัวเองได้แล้ว!

 

ยืมมีดฆ่าคน!

 

สำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวอ้างว่าไม่อยากฆ่าเพราะเสียดายยอดฝีมือมนุษย์นั้น ให้ตายพวกมันก็ไม่เชื่อ…

 

หากคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งกำลังจะบุกขึ้นมาจริง ไฉนไม่ปล่อยคนไปดีๆ ไปฆ่าร่างผู้อื่นทำอะไร? แล้วไฉนต้องฆ่าเซี่ยคังฉวินล้างแค้นส่วนตัวแต่แรกด้วย?

 

“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน…”

 

ได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนหันไปพูดกับคนของลัทธิอารามทมิฬ เหล่าคนของลัทธิบูชาไฟหลายคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มร่าขึ้นมา

 

พวกมันก็เข้าใจเหมือนๆกันกับคนลัทธิอารามทมิฬ

 

พวกมันรู้สึกว่าที่ต้วนหลิงเทียนจงใจไม่ฆ่าเหาฉ่วง เพื่อให้เหาฉ่วงหาโอกาสล้างแค้นลัทธิอารามทมิฬในวันหน้า!

 

“อย่างไรเสียวาจาที่มันทิ้งท้ายก่อนหนี…ฟังแล้วไม่เพียงอาฆาตลัทธิอารามทมิฬ แต่ยังอาฆาตแค้นลัทธิบูชาไฟของพวกเราด้วย…”

 

ทว่ารองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา ได้แต่ส่งเสียงผ่านพลังหารือกันเอง “ผู้พิทักษ์หลิงเทียนทำเช่นนี้ออกจะประมาทไปอยู่บ้าง…ต่อไปวันหน้ายามเมื่อเหาฉ่วงหวนกลับมาล้างแค้น ไม่เพียงแต่มันจะลงมือกับลัทธิอารามทมิฬ ยังจะลามมาลงมือกับลัทธิบูชาไฟพวกกเราด้วย…”

 

ถึงแม้พวกมันทั้งคู่จะไม่ได้เห็นดีด้วยกับการตัดสินใจทำแบบนี้ของต้วนหลิงเทียน แต่พวกมันก็ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ

 

เพราะพวกมันรู้ดีแก่ใจ

 

หลังจากนี้ไม่นาน การต่อสู้ในวันนี้ของผู้พิทักษ์หลิงเทียนของพวกมัน คงทำให้ทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแตกตื่นอีกครั้ง และชื่อเสียงคงได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีกขั้น!

 

เพราะผู้พิทักษ์หลิงเทียนของพวกมันกำลังจะเข้ามาแทนที่อันดับที่ 5 ในรายนามยอดเซียน และรับนามสมญานาม อันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของแดนดิน!

 

ตัวตนเช่นนี้ใช่คนที่พวกมันจะตั้งคำถามได้หรือ?

 

จากวันนี้ไปกระทั่งจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมันยังจะต้องมองต้วนหลิงเทียนใหม่ด้วยซ้ำ!

 

ไม่ต้องพูดถึงพวกมันเลย!

 

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนของลัทธิอารามทมิฬหรือลัทธิบูชาไฟเอง ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวมานั้นไม่จริงเลยสักคำ…

 

เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนไม่ไล่ตามวิญญาณเหาฉ่วงไป เพื่อฆ่าเหาฉ่วงให้ตายคาที่เป็นการกำจัดมันให้สิ้นซากนั้น…

 

ไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องปีศาจที่จะบุกขึ้นมา จนเป็นการลดทอนยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ลงอะไร

 

ยังไม่ใช่ไว้ชีวิตเหาฉ่วงไว้เพื่อให้ย้อนกลับมาแว้งกัดลัทธิอารามทมิฬอะไรทำนองนั้น…

 

ทั้งหมดเป็นเพราะ

 

ตอนนี้เขาเสมือนศรที่ยิงมาสุดปลายเกาทัณฑ์! ไม่อาจไล่ตามวิญญาณของเหาฉ่วงเพื่อฆ่ามันให้ตาย!!

 

แต่เนื่องเพราะสีหน้าที่ซีดเซียวของต้วนหลิงเทียนฟื้นฟูกลับมาแล้วว อีกทั้งร่างเขาก็ไม่ได้โซเซอะไรอีกต่อไป จึงไม่มีใครพบว่าตอนนี้เขาแทบไม่เหลือพลังอยู่เลย!