ท่านพยุงหงเวยลุกขึ้นนั่ง ชงชาให้เขาด้วยตัวเอง กล่าวว่า : “จอมพลผู้อาวุโสเข้าใจความเป็นธรรมอย่างลึกซึ้ง เป็นความน่าปิติยินดีของเผ่ามังกรเสียจริง ได้โปรดน้อมรับการคารวะของผมด้วย!”

หงเวยรีบพยุงท่านขึ้นมา รีบพูดว่ามิบังอาจอย่างต่อเนื่อง เห็นเพียงสีหน้าที่เศร้าใจ และเจ็บปวดราวกับไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้น

เห็นหงเวยไม่พูดเรื่องที่จะฆ่าเฉินโม่แล้ว ท่านและเจียงเหอซานต่างก็อดไม่ได้ที่เบาใจขึ้นมา ดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนหงเวยอย่างเงียบ ๆ

เกิดความเงียบขึ้นโดยฉับพลัน บรรยากาศเงียบงันอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด

“ท่าน” ทันใดนั้นหงเวยยกมือขึ้นมาคราวะพร้อมพูดว่า : “เรื่องที่เฉินโม่ฆ่าหลานชายของผม ผมไม่ขอให้ฆ่าเขา และไม่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย”

ท่านขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน สบายใจมากขึ้นไปมากกว่าครึ่ง รอฟังประโยคถัดไปของหงเวยอย่างเงียบ ๆ

“ขอเพียงเฉินโม่นุ่งผ้าป่านไว้ทุกข์ให้กับหลานชายของผม สวดคัมภีร์เจ็ดวัน เพื่อส่งดวงวิญญาณของหลานชายผมกลับสู่สรวงสวรรค์ ได้โปรดท่าน อนุญาตด้วย!”

เจียงเหอซานนิ่งไปสักพัก นุ่งผ้าป่านไว้ทุกข์? นี่เป็นการให้เฉินโม่ปรนนิบัติหงซิงกั๋วเปรียบเหมือนลูกหลานไม่ใช่หรือ? ทันใดนั้นเขานึกขึ้นได้เพียงสี่พยางค์ดูหมิ่นเหยียดหยาม!

ท่านขมวดคิ้วอย่างรุนแรงอีกครั้ง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรกันว่านี่คือความยากของเรื่องนี้?

สำหรับหงเวยแล้ว นี่คือการยอมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด แต่สำหรับเฉินไต้ซือในโลกฝึกบู๊ นักสู้ชั้นยอดอันดับหนึ่งของรายชื่อเทพแล้ว กลับเป็นการดูหมิ่นที่รุนแรง

“เพียงแค่เฉินโม่ไว้ทุกข์ให้ซิงกั๋วเจ็ดวัน ผมยอมมอบอำนาจการทหารให้เฉินไต้ซือไปทั้งหมด ให้เฉินไต้ซือนำพาเผ่ามังกรไปยังจุดสูงสุด!” หงเวยพูดอีกครั้ง วาจาไม่คมคาย ต่อให้ตายก็ไม่ยอม!

ตระกูลหงไร้ผู้สืบทอด ผู้มีความสามารถยากจะสืบสาน อำนาจและชื่อเสียงของหงเวยที่อยู่ในกองทัพก็ไม่มีใครแทนที่ได้ หากหงเวยยอมส่งมอบอำนาจที่ยิ่งใหญ่ให้กับเฉินโม่ด้วยตนเอง เช่นนั้นแล้วสำหรับความสามารถของเฉินโม่……เผ่ามังกรจะต้องฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างแน่นอน!

“ตกลงตามนั้น!” ท่านลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว พูดและจ้องมองไปที่หงเวยด้วยตาแข็ง

“ไม่คืนคำอย่างแน่นอน!” หงเวยคุกเข่าลงไปคารวะตอบรับท่าน

เจียงเหอซานที่ยืมดูอยู่ข้างๆเห็นสถานการณ์นี้แล้วถอนหายใจออกมา ดูท่าแล้วตนต้องแสดงเป็นคนร้ายอีกแล้ว! ไม่ง่ายเลยนะ หากไม่ระมัดระวังสักหน่อยอาจจะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจขึ้นมาได้!

……

……

ได้รับคำไหว้วานจากท่าน เจียงเหอซานมาที่โลกมนุษย์ไปเจอเฉินโม่ที่กำลังเที่ยวเหนือล่องใต้ไปกับมู่หรงยานเอ๋อร์

หลายวันมานี้จากที่เฉินโม่อยู่เป็นเพื่อนกับมู่หรงยานเอ๋อร์ เหมือนว่าจะลืมฝันที่เลวร้ายก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว สีหน้ายิ้มแย้มทุกวัน

“จอมพลเฉิน” เจียงเหอซานยิ้มพร้อมยกมือขึ้นมาคราวะทักทายเฉินโม่

เฉินโม่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูของมู่หรงยานเอ๋อร์ มู่หรงยานเอ๋อร์ก็เดินจากไป

“ยืนมองดูโลกจากที่สูงก็ทำให้มีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป” เฉินโม่ยืนเอามือไพล่หลัง มองดูทิวทัศน์ที่อยู่ใต้ภูผา เหมือนกำลังพึมพำกับตัวเอง

เจียงเหอซานมายืนข้าง ๆ เฉินโม่ และมองดูทิวทัศน์ใต้ภูผา ชี้ไปยังข้างล่างพร้อมดูว่า : “ผู้คนมากมาย คุณค่าชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยืนในจุดที่ต่างกัน เมื่อเผชิญเรื่องเดียวกันก็ย่อมมีการตัดสินใจเลือกที่แตกต่างกัน”

เฉินโม่ยิ้มเล็กน้อย มองไปที่เจียงเหอซานและถามว่า : “ฉะนั้นระหว่างฉันกับตระกูลหง ท่านเลือกอะไรหรือ?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นนาย!” เจียงเหอซานพูดอย่างหนักแน่นว่า : “เพื่อนาย ท่านยอมเอาเผ่ามังกรทั้งเผ่ามาเยียวยาบาดแผลของตระกูลหง เพราะถ้าไม่มีนาย ก็ไม่มีเผ่ามังกร”

เฉินโม่ยิ้มเยาะเย้ยตนเอง ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าตนสามารถนำผลประโยชน์ที่มากกว่ามาให้กับเผ่ามังกรไม่ใช่หรือ? ความเป็นธรรมของโลกมนุษย์นี้ ในสายตาของท่านอาจจะไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงเลยสินะ

“คำร้องขอของตระกูลหงคืออะไร?” เฉินโม่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของเจียงเหอซานและถามออกไป

เจียงเหอซานสีหน้าเจื่อน คิดไม่ถึงว่าเฉินโม่จะตรงเช่นนี้ คำพูดที่คิดมาอย่างดีกลับไม่ได้พูดออกมาเลยสักคำ

“นุ่งผ้าป่านไว้ทุกข์ สวดคัมภีร์ เพียงเจ็ดวัน หงเวยถอดชุดเกราะออก ยกอำนาจที่ยิ่งใหญ่ให้นาย!”

เฉินโม่ส่ายหัวและยิ้มพร้อมพูดว่า : “บอกหงเวยว่า อีกสามวันต่อจากนี้ ฉันจะไปเยือนแน่นอน”

เจียงเหอซานโล่งอกขึ้นมา ในที่สุดก็เสร็จสิ้นภารกิจเสียจนได้