“เมื่อครู่ฮูหยินบอกว่า แคว้นเป่ยอี้มีวิธีทำให้คนที่ตายฟื้นคืนชีพได้อีกหรือ? ”
“ใช่ ทว่าก็เหมือนกับทองอมฤต สิ่งนั้นอยู่บนยอดคุนหลุน ไม่มีผู้ใดรู้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร เพราะในแคว้นเป่ยอี้นี้ ยังไม่มีผู้ใดเคยขึ้นไปบนเขาคุนหลุนมาก่อน ผู้ที่ไปมาแล้ว ไม่มีผู้ใดเคยรอดชีวิตกลับมาแม้แต่ผู้เดียว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรจากแคว้นเป่ยอี้ที่พำนักอยู่ที่เขาคุนหลุนตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็เหมือนกัน”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างแรง พลางลูบกำไลปี่อั้นบนข้อมือของนางอย่างไม่ตั้งใจ
ไม่รู้ว่านางกำลังคิดเรื่องใด
ก่อนหน้านั้น ตอนที่อยู่ในห้องลับของสกุลจง หญิงชราบอกนางว่า ให้ไปที่สำนักแพทย์เทียนอีก่อนวันเสี่ยวหาน ตอนนี้ก็ใกล้ถึงวันเสี่ยวหานแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านเทพที่หุบเขาหลูเหว่ยต่ออายุขัยให้นางออกไปหนึ่งเดือน เกรงว่าจะยิ่งเป็นเรื่องยากที่นางจะยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้
หากพ้นหนึ่งเดือนนี้ไปแล้ว ยังหาทองอมฤตไม่พบและหาวิธีเปิดอาคมกำไลปี่อั้นไม่ได้ นางจะช่วยชีวิตมู่หรงฉีและคนอื่นๆ อย่างไร
ดูเหมือนเป่ยถังฉินเกอจะมองออกว่าซูจิ่นซีกำลังคิดเรื่องใดอยู่ในใจ “พระชายาโยวอ๋องโปรดวางพระทัย ไม่ว่าจะเกิดอันใดก็ตาม ฉินเกอจะช่วยพระชายา”
ซูจิ่นซีพยักหน้า
ดึกมากแล้ว เป่ยถังฉินเกอสองแม่ลูกสนทนาอยู่กับซูจิ่นซีครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับไปพักผ่อน
เยี่ยโยวเหยาออกไปตั้งแต่ตอนบ่ายยังไม่กลับมา
นางเดินออกมาจากห้องและถามองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างนอกว่า “ท่านอ๋องอยู่ที่ใด? ยังอยู่ที่เรือนของอวิ๋นจิ่นหรือไม่? ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
“บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองพูดคุยเรื่องใดกัน? คุยกันอยู่นานมากแล้ว”
“พวกกระหม่อมก็ไม่ทราบ ท่านอ๋องให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ ออกไป ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้”
ซูจิ่นซีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินกลับไปที่ห้องและนอนลง ทว่าไม่อาจนอนหลับได้ ในใจของนางมีหลายสิ่งซ่อนอยู่ เพียงหลับตาลงก็มีเรื่องของมู่หรงอวิ๋นไห่ จงซีจือ มู่หรงฉี บุตรของตนเอง และเยี่ยโยวเหยา… มีหลายสิ่งที่รบกวนนางมากเกินไป
ราวยามจื่อ เยี่ยโยวเหยาจึงกลับมา ร่างของเขามีกลิ่นสุรา ทั้งยังดื่มจนเมาเล็กน้อย
ซูจิ่นซีลุกขึ้น “ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือ? พูดคุยอันใดกับอวิ๋นจิ่น ถึงคุยกันได้นานขนาดนี้เพคะ”
นางยังคงสงสัยถึงหัวข้อสนทนาระหว่างเยี่ยโยวเหยากับอวิ๋นจิ่น อย่างไรเสีย เยี่ยโยวเหยาก็เป็นคนที่ ‘ไม่ยอมคน’ เรื่องของนางกับบุรุษอื่น เขาจะใช้วิธี ‘กีดกันจนถึงที่สุด’ มาโดยตลอด
อู๋จุนเป็นตัวอย่างหนึ่ง
สำหรับอวิ๋นจิ่นคงไม่ ‘โหดร้าย’ เท่ากับอู๋จุน อย่างน้อยอวิ๋นจิ่นก็มีความสามารถของตนเองอยู่บ้าง
ทว่าพวกเขายังนั่งโต๊ะดื่มสุราและพูดคุยกันตามลำพังได้ นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง
“ซีซี… ”
ซูจิ่นซีกำลังจะเทน้ำให้เยี่ยโยวเหยาดื่ม ทว่าทันทีที่มือแตะถ้วยชา นางก็ถูกเยี่ยโยวเหยาลากเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
กลิ่นสุราคละคลุ้งกระทบใบหน้า ทำให้นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
นางรีบผลักเยี่ยโยวเหยา “กลิ่นสุราแรงเช่นนี้ เป็นอันตรายต่อเด็ก”
“บุตรชายของข้าทนเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้อยู่แล้ว! ” เยี่ยโยวเหยาไม่ปล่อยมือที่โอบรัดซูจิ่นซี มือของเขาออกแรงกอดซูจิ่นซีแน่นมากยิ่งขึ้น “ให้ข้ากอดสักครู่หนึ่ง เพียงครู่เดียว”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านเป็นอันใด? ” ซูจิ่นซีรู้สึกอย่างชัดเจนว่าเยี่ยโยวเหยามีบางอย่างผิดปกติ
ในชาติภพนี้ เขาได้ครอบครองซูจิ่นซีก่อน และยังสามารถอยู่ด้วยกันตลอดไป ติดตามข้างกายไปตลอดชีวิต
แม้ชีวิตของซูจิ่นซีจะขึ้นๆ ลงๆ และพลิกผันหลายอย่าง ทว่าโชคดีที่มีจิ่วหรงคอยควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องรักษานางไว้ ดังนั้นนางจะได้ไม่ต้องลำบากมากเกินไป
เป็นเขาที่ได้ตัวนาง เขาควรจะมีความสุขถึงจะถูก
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด หลังดื่มสุรากับคนคนนั้นในคืนนี้ เขากลับไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
มีบางอย่างที่เขาไม่สามารถบอกซูจิ่นซี และไม่อาจเอ่ยปากได้
ในโลกนี้ สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าความตายคือการมีชีวิตอยู่ ผู้ที่ตายสามารถจากไปอย่างสงบสุขได้ ทว่าผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่กลับต้องอยู่อย่างไร้ความสุข
เขาเคยคิดว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรมกับเขา ทว่าพอมาคิดดูแล้ว ผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรมที่สุดกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นคนผู้นั้น
เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าในวันเวลาที่นานแสนนานไม่รู้จบ คนผู้นั้นใช้ชีวิตผ่านมาเพียงลำพังได้อย่างไร?
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซียังไม่ได้รับคำตอบจากเยี่ยโยวเหยา นางจึงเรียกอีกครั้ง “ท่านอ๋อง? ”
“อืม! ”
“ท่านอ๋อง ให้ข้าประคองท่านไปพักผ่อนที่เตียงเถิด! ”
“ตกลง! ”
ซูจิ่นซีประคองเยี่ยโยวเหยาไปบนเตียง นางช่วยเขาถอดเสื้อผ้าและรองเท้า จากนั้นจึงเรียกบ่าวรับใช้ให้ยกน้ำร้อนมาเช็ดตัวให้เขาอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าคืนนี้เยี่ยโยวเหยาจะดื่มสุรามา แต่กลับนอนหลับอย่างผ่อนคลาย ซูจิ่นซีรอให้เยี่ยโยวเหยาหลับ นางจึงงีบหลับไปเช่นกัน เดิมทียังคิดว่านางคงนอนไม่หลับ แต่เมื่อมีเยี่ยโยวเหยาอยู่เคียงข้าง นางกลับนอนหลับอย่างมีความสุข…
ณ จวนเป่ยอี้อ๋อง
เป่ยถังเย่รู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นใต้แท่นจิ่วโยว ทว่าเขาก็ยังนิ่งเงียบ
ผ่านไปไม่นาน มีสายสืบรายงานเรื่องราวของเยี่ยโยวเหยาที่เกิดขึ้นในเรือนรับรองของแคว้นเป่ยอี้ให้เป่ยถังเย่ฟัง
“ท่านอ๋องน้อย ฮูหยินฉินเกอและคุณหนูจิ่วได้จากไปแล้ว ตามการเคลื่อนไหวของพวกนางทั้งสอง ดูเหมือนพวกนางจะไม่ยอมกลับมาที่จวน จะให้… กระหม่อมนำคนไปจับพวกนางกลับมาหรือไม่? ”
“ไม่ต้อง จับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
……
ในเมื่อเพลิงอัคคีจิ่วโยวไม่มีผลต่อการฟื้นคืนชีพของคน ทุกคนจึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ เนื่องจากเป่ยถังฉินเกอเป็นคนที่คุ้นเคยกับแคว้นเป่ยอี้เป็นอย่างดี มีนางเป็นผู้นำทาง การเดินทางไปเขาคุนหลุนคงราบรื่นกว่า
หลังจากทุกคนได้หารือกัน จึงตัดสินใจไปที่เขาคุนหลุน
ทว่าอาการบาดเจ็บของซูอวี้และถังเสวี่ยยังไม่หายดี เดิมทีเยี่ยโยวเหยาต้องการให้คนส่งพวกเขาออกจากแคว้นเป่ยอี้ สำหรับพวกเขาแล้ว การกระทำเช่นนี้จะปลอดภัยกว่า ทว่าถังเสวี่ยไม่ยอม จะเป็นหรือตายก็ไม่ยอมไป นางต้องการติดตามทุกคนไปที่เขาคุนหลุน ทั้งยังต้องการให้อู๋จุนแบกไว้บนหลัง
อู๋จุนจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอม ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังคงตอบตกลง
สภาพของซูอวี้นั้นค่อนข้างลำบาก เขาได้รับบาดเจ็บที่ขา ทว่าไม่ยอมจากไป ในที่สุดทุกคนก็ตัดสินใจนำซูอวี้ใส่ไว้ในแหวนเก้ามังกรของตงหลิงหวง
ทุกคนไม่รอช้าอีกต่อไป และออกเดินทางสู่เขาคุนหลุนในวันรุ่งขึ้น
ก่อนออกเดินทาง เป่ยถังฉินเกอถามซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ว่า “อำนาจหลักบนเขาคุนหลุนแบ่งออกเป็นสำนักกระบี่คุนหลุน เผ่าเม้ย และวิหารเทพซีหวังมู่บนเขาเฟิ่งหวง วิธีการฟื้นคืนชีพต้องไปหาที่วิหารเทพซีหวังมู่ ส่วนทองอมฤต… ข้าคาดการณ์ว่าคงอยู่ที่สำนักกระบี่คุนหลุน พวกเราจะไปที่ใดก่อน? ”
แม้ทองอมฤตจะมีความสำคัญอย่างมาก ทว่าการช่วยเหลือมู่หรงฉี มู่หรงอวิ๋นไห่ และจงซีจือ ทั้งสามคน สำหรับซูจิ่นซีแล้วมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ก่อนที่ซูจิ่นซีจะพูด เยี่ยโยวเหยาได้ตัดสินใจให้นางแล้ว
“ไปวิหารเทพซีหวังมู่ก่อน”
“โยวอ๋อง ข้าไม่ทราบตำแหน่งที่ตั้งชัดเจนของวิหารเทพซีหวังมู่ รู้เพียงทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น”
“ไม่เป็นอันใด เจ้านำทางอยู่ด้านหน้าก็พอ! ”
หนึ่งพันปีที่แล้ว ซูจิ่นซีเป็นดอกบัวที่สระบัวใต้พระนั่งของเทพซีหวังมู่ และจิ่วหรงเป็นนกกระเรียนเฝ้าสระบัว พวกเขาควรรู้จักวิหารเทพซีหวังมู่ดีที่สุดจึงจะถูก ทว่าเวลาผ่านไปนับพันปี และเนื่องด้วยการกระทำความผิด พวกเขาทั้งสองจึงถูกขับออกจากวิหารเทพซีหวังมู่ และไม่มีภาพจำต่อวิหารเทพซีหวังมู่แม้แต่น้อย ดังนั้นจึงมีความเข้าใจไม่มากไปกว่าเป่ยถังฉินเกอ
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางแอบถามเยี่ยโยวเหยาว่า “เยี่ยโยวเหยา ท่านเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่คุนหลุน ท่านคงรู้จักสำนักกระบี่คุนหลุนค่อนข้างมาก หรือว่า… พวกเราไปที่สำนักกระบี่คุนหลุนกันก่อนเถิด! บางทีเราอาจสืบพบเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวกับวิหารเทพซีหวังมู่ก็เป็นได้”