เล่มที่ 33 เล่มที่ 33 ตอนที่ 976 ท่านอ๋องไปที่ใดแล้ว?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เยี่ยโยวเหยาใบหน้าเคร่งขรึม “แม้ข้าจะเป็นศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุน ทว่ากฎเกณฑ์ของสำนักกระบี่คุนหลุนนั้นเข้มงวดอย่างมาก นอกจากนี้ตำแหน่งที่ตั้งยังคลุมเครือและลึกลับยิ่งนัก ลูกศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนทั้งหมดลงจากเขาไปแล้วไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาที่สำนักอีก ทั้งยังมีคนของสำนักลงมาส่งพวกเขาเพื่อซ่อนเร้นตำแหน่งที่ตั้งของสำนัก”

อีกนัยหนึ่ง แม้เยี่ยโยวเหยาจะร่ำเรียนวรยุทธ์ที่สำนักกระบี่คุนหลุน ทว่าเขาไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้งแน่นอนของสำนักกระบี่คุนหลุน?

ไม่แปลกใจเลยว่ามาเยือนแคว้นเป่ยอี้นานถึงเพียงนี้ เขากับตงหลิงหวงต่างไม่มีผู้ใดกล่าวถึงสำนักกระบี่คุนหลุนแม้แต่น้อย

แล้วควรทำอย่างไรดี?

เมื่อเห็นซูจิ่นซีขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเป็นกังวล เยี่ยโยวเหยาจึงลูบผมนางแล้วพูดปลอบว่า “วางใจได้ ข้าจะค้นหาอย่างสุดความสามารถ”

ในเมื่อวิหารเทพซีหวังหมู่และสำนักกระบี่คุนหลุนหาไม่ง่ายดายนัก คงต้องไปเขาคุนหลุนก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน เขาเชื่อว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออก

จากนั้นทุกคนจึงมุ่งหน้าไปเขาคุนหลุนภายใต้การนำทางของเป่ยถังฉินเกอ

การเดินทางครั้งนี้ช่างยาวนานและยากลำบากอย่างมาก เมื่อถึงเขาคุนหลุน หิมะยังตกอย่างหนัก ได้ยินมาว่าหิมะที่ภูเขาคุนหลุนไม่ละลายตลอดทั้งปี

เมื่อยืนอยู่ด้านล่างเขาคุนหลุน จากท้องฟ้าถึงผืนดิน ตลอดจนบริเวณโดยรอบในระยะสิบลี้ ทั้งหมดล้วนเป็นสีขาวโพลนงดงามอย่างยิ่ง

แม้ชาติที่แล้ว ซูจิ่นซีจะอาศัยอยู่ทางตอนเหนือและเห็นหิมะตลอดทั้งปี ทว่าอุณหภูมิในเมืองค่อนข้างสูง เมื่อหิมะตกสู่พื้นจะละลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว น้อยมากที่จะเห็นหิมะหนาทึบเช่นนี้ ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

สตรีมีครรภ์เป็นหวัดได้ง่าย เยี่ยโยวเหยาให้ซูจิ่นซีสวมเสื้อสามชั้นทั้งในและนอก ด้านนอกยังคลุมด้วยเสื้อคลุมขนาดใหญ่ ทุกคนเดินตามเส้นทางขึ้นบนเขา

ทางราบบนภูเขารถม้ายังคงเคลื่อนไปได้ ทว่ายิ่งสูงเส้นทางก็ยิ่งชัน หิมะยิ่งหนามากขึ้น จึงใช้รถม้าไม่ได้อีก ทุกคนจึงต้องเดินเท้าแทน

หลังเดินทางสามวันสามคืนเต็มก็ยังไม่ถึงยอดเขาคุนหลุน นอกจากนี้ อากาศก็ยิ่งหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาย่ำค่ำของวันที่สาม ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ พวกเขาได้ผ่านถ้ำแห่งหนึ่ง

อวิ๋นจิ่นพูดว่า “คืนนี้พักที่นี่เถิด! เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยเดินทางกันต่อ” อย่างไรเสีย เดินทางกลางคืนไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางบนภูเขาสูงชันเช่นนี้

ทุกคนจึงพักค้างแรมภายในถ้ำ

อู๋จุนและอวิ๋นจิ่นออกไปหาฟืนแห้งมาก่อไฟ ภายในถ้ำจึงอบอุ่นขึ้นเป็นเท่าตัว

ในขณะเดียวกัน ตงหลิงหวงให้ซูอวี้ออกมาจากแหวนเก้ามังกร

พวกเขานำอาหารมาเพียงพอสำหรับการเดินทาง ระหว่างทานอาหาร ทุกคนต่างคิดว่าจะเดินทางอย่างไร

อู๋จุนถามเป่ยถังฉินเกอว่า “จะว่าไปแล้ว ไม่มีทิศทางที่แน่นอน? เหมือนกับแมลงวันไร้ศีรษะที่บินชนไปทั่ว เมื่อไรพวกเราจะเจอสิ่งที่กำลังตามหาอยู่? ”

เป่ยถังฉินเกอมีสีหน้ารู้สึกผิด “เขาคุนหลุนแห่งนี้ลึกลับยิ่งนัก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคุนหลุนและวิหารเทพซีหวังหมู่อยู่ที่ใด”

ในความเป็นจริง หลังจากพวกเขาขึ้นมาบนหุบเขาคุนหลุนแล้วยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังเดินทางอยู่ในที่แห่งนี้ได้สามวันสามคืนเต็มก็นับว่าเป็นโชคดีมากแล้ว

อู๋จุนไม่ได้พูดอันใดอีก เขากระโดดไปอีกฝั่งอย่างขุ่นเคืองแล้วนั่งลง

ถังเสวี่ยแย้มยิ้มแล้วยื่นหมั่นโถวให้อู๋จุน “พี่เป่าอวี้ ข้าให้! ”

“ไม่เอา เจ้ากินเอง! ”

“กินสักชิ้น! กินอิ่มแล้วพรุ่งนี้จะได้มีแรงแบกข้า! ”

อู๋จุนเหลือบมองหมั่นโถวในมือถังเสวี่ยและเหลือบมองใบหน้ายิ้มแย้มสดใสราวกับดอกบัวกลางหิมะของนาง พลางขมวดคิ้วอย่างรุนแรง

“ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน จะเอาแรงที่ไหนไปกินอีก? ”

ถังเสวี่ยพูด “ข้ารักและเอ็นดูพี่มิใช่หรือ”

“หากเจ้ารักข้าสุดหัวใจ พรุ่งนี้ก็เป็นเด็กดีเข้าไปอยู่ในแหวนของตงหลิงหวงกับซูอวี้ เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องแบกเจ้าปีนขึ้นเขาหิมะ! ”

ถังเสวี่ยสีหน้าบึ้งตึงทันที “ไม่! ข้าอยากให้พี่แบกข้า! ”

“ให้ข้าแบกก็เงียบปาก อย่ากวนข้า! ”

ถังเสวี่ยแสดงสีหน้าน้อยใจ นางพูดกับซูจิ่นซีว่า “ซูจิ่นซี ดูสิ เหตุใดเขาถึงเป็นเช่นนี้ได้! เจตนาดีกลับเป็นเจตนาร้าย ข้าก็แค่เป็นห่วงเขาเท่านั้น”

ซูจิ่นซีแย้มยิ้มเล็กน้อย “เขาก็เป็นคนเช่นนี้ ไม่ชอบให้คนอื่นทำดีด้วย เจ้ากินของเจ้าไปเถิด อย่าไปสนเขาเลย! ”

อู๋จุนหัวเราะร่าทันที และพูดว่า “แฮะ แฮะ มีเพียงแม่นางพิษน้อยที่เข้าใจข้า! ทว่าหากแม่นางพิษน้อยดีกับพี่จุน พี่จุนจะต้องดีใจเป็นอย่างมากแน่ๆ และไม่ถือว่าเจตนาดีเป็นเจตนาร้ายแน่นอน”

เมื่อสิ้นเสียง เขารู้สึกได้ทันทีว่าสายตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาเล็งมาที่เขา ทุกคนเหนื่อยมาทั้งวันและหาได้ยากที่จะมีสถานที่หลบเลี่ยงจากความหนาวเย็นเช่นนี้ ความจริงอู๋จุนไม่คิดจะกวนน้ำให้ขุ่น เขาจึงปิดปากเงียบทันที

จากนั้นองครักษ์วิหารวิญญาณผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา และโน้มตัวกระซิบบางอย่างข้างหูของเยี่ยโยวเหยา แววตาของเยี่ยโยวเหยาอึมครึมเล็กน้อย “สืบต่อไป”

การเดินทางครั้งนี้ เยี่ยโยวเหยาได้ส่งองครักษ์วิหารวิญญาณเกือบทั้งหมดมายังแคว้นเป่ยอี้เพื่อค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของสำนักกระบี่คุนหลุนและวิหารเทพซีหวังหมู่ ทว่าไม่มีเบาะแสใดๆ แม้แต่น้อย

ตงหลิงหวงก็คิดหาทุกวิธีอย่างสุดความสามารถ กระทั่งอ่านบันทึกในแหวนเก้ามังกรอยู่หลายรอบ ทว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ในตอนกลางคืน เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น และอู๋จุน บุรุษทั้งสามนอนอยู่ด้านนอก ส่วนซูอวี้ที่บาดเจ็บและถังเสวี่ย ซูจิ่นซี ตงหลิงหวง เป่ยถังฉินเกอ และเป่ยถังหลีนอนอยู่ด้านใน

ทว่าเป่ยถังหลีนอนไม่หลับ นางพลิกตัวไปมา ก่อนจะลุกขึ้นเงียบๆ และเดินไปหาซูอวี้

“เจ้าทึ่ม? ”

“อืม? ”

“เจ้ายังไม่นอน? ”

“อืม! ”

จู่ๆ ภายในใจของเป่ยถังหลีก็รู้สึกดีใจอย่างมาก นางถอดเสื้อคลุมผืนใหญ่ออกและเดินไปคลุมบนขาของซูอวี้

ซูอวี้ปัดมือของนางออกทันที “กลางคืนอากาศหนาวเย็น เดี๋ยวเป็นหวัด เจ้ารีบสวมเถิด! ”

“ไม่เป็นอันใด อย่างไรข้าก็นอนไม่หลับ นั่งผิงไฟอยู่ตรงนี้ก็ไม่หนาวแล้ว” นางพูดพลางเติมฟืนสองสามท่อนลงไปในกองไฟ

เมื่อได้ยินเสียงเป่ยถังหลีและซูอวี้พูดคุยกัน ซูจิ่นซีก็ลุกขึ้นมานั่งด้วย

เป่ยถังหลีเห็นจึงรีบเอ่ยถาม “พระชายาโยวอ๋อง พวกเราคุยกันเสียงดังจนปลุกท่านตื่นหรือ? ”

“ข้านอนไม่หลับ ตื่นอยู่ตลอด”

“โอ้! ”

ซูจิ่นซีเหลือบมองปากถ้ำและเห็นเพียงอู๋จุนกับอวิ๋นจิ่น ไม่เห็นเยี่ยโยวเหยา

“เอ๊ะ เยี่ยโยวเหยาเล่า? ”

ซูอวี้และเป่ยถังหลีพบว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้อยู่ในถ้ำ

“ไม่รู้สิ ไม่ทันได้สังเกต”

“ท่านอ๋องคงไปได้สักครู่แล้ว! ” ซูอวี้กล่าว

ในใจของซูจิ่นซีรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย อย่างไรเสีย ที่นี่ก็คือหุบเขาคุนหลุนซึ่งมีเรื่องไม่คาดฝันมากมาย แม้เยี่ยโยวเหยาจะมีความสามารถแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับสวรรค์ได้

“ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย” ซูจิ่นซีพูดพลางลุกขึ้นเดินไปด้านนอก

“พระชายาโยวอ๋อง ข้าไปกับท่าน! ” อย่างไรซูจิ่นซีก็กำลังตั้งครรภ์ กลางคืนพื้นลื่น เป่ยถังหลีไม่อาจวางใจได้

ทว่าซูจิ่นซีบอกปฏิเสธ “ไม่เป็นอันใด ข้าเพียงออกไปดู ไม่ได้ไปไกล”

เป่ยถังหลีไม่ดื้อดึงจึงไม่ได้ตามออกไป

แม้หิมะบนเขาคุนหลุนจะยังไม่หยุดตก ทว่าแสงจันทร์ยามค่ำคืนนั้นสว่างจ้าเป็นพิเศษ ขับเน้นให้งดงามยิ่งกว่าวันแดดจ้าเสียอีก

แสงจันทร์สว่างเจิดจ้าสาดส่องลงมาบนพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวเงินอย่างนุ่มนวล ราวกับถูกเคลือบด้วยชั้นสีทองอร่าม

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้เดินไปไกล เขาเพียงยืนอยู่บนหน้าผาด้านนอกถ้ำที่มีต้นสนบดบังอยู่เหนือศีรษะกันลมหิมะเอาไว้