ตรงหน้าทุกคนในตอนนี้คือหน้าผาที่ดูไร้ขอบเขตซึ่งล้อมรอบไปด้วยหมู่เมฆและกลุ่มหมอกหนาจนไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้หน้าผาได้เลย
หมาป่าขาวรับรู้ได้อย่างเลือนรางว่าใต้หน้าผาเบื้องหน้ามีกลิ่นอายของพลังลึกลับบางอย่างซึ่งทำให้มันรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างประหลาดและอยากเข้าไปใกล้ขึ้นอีก
เพียงแต่ก่อนหน้านี้มันไม่สามารถออกไปจากข่ายอาคมมายาได้และไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าสถานการณ์ใต้หน้าผานั้นเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม มันมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ใต้หน้าผาจะต้องเป็นสมบัติที่มีคุณค่าเทียบเท่าได้กับสมบัติของฉินอวี้โม่ในอดีตเป็นแน่
“เราจะลงไปใต้หน้าผานี้อย่างไรรึ ?”
เหมียวเจินเจินก้าวออกไปข้างหน้าและพยายามสอดส่องมองดูเบื้องล่าง หน้าผาที่ล้อมรอบไปด้วยหมอกหนาและดูไร้ที่สิ้นสุดนี้ทำให้นางเข่าอ่อนเล็กน้อย ต่อให้นางจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ นางก็ยังไม่กล้าที่จะกระโดดลงไป
“เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเถอะ ข้าจะขับเคลื่อนมันลงไป”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและตระหนักว่าการขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวลงไปคือวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
เพราะถึงอย่างไร ที่ใดมีสมบัติที่นั่นก็ย่อมต้องมีอันตรายซ่อนอยู่ ในเมื่อที่นี่เป็นดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผา ความแข็งแกร่งของพวกนางเพียงอย่างเดียวก็อาจจะรับมือกับอันตรายเบื้องล่างไม่ได้
ทุกคนไม่รอช้าและมุ่งหน้าเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนมันลงไปยังใต้หน้าผาอย่างรวดเร็ว
เมื่อมุ่งหน้าเข้าไปในกลุ่มเมฆหมอกหนาทึบรอบตัว ทุกคนในคฤหาสน์เฟิงหัวก็เริ่มมองสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ไม่ชัดเจนนัก
เมฆและหมอกเหล่านั้นดูแปลกประหลาดไม่น้อย มันมิใช่เป็นเพียงกลุ่มเมฆธรรมดา ๆ ทว่ามันมีความหนาแน่อย่างมากและอัดแน่นไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ทุกคนอดหวั่นใจไม่ได้
ขณะขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวลงไป ฉินอวี้โม่ก็ใช้เวลาหนึ่งก้านธูปจนกระทั่งข้ามผ่านบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาและสิ่งแวดล้อมรอบตัวก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ยังไม่เห็นก้นลึกของหน้าผาและยังคงลอยอยู่กลางอากาศ
หน้าผาแห่งนี้สูงอย่างมาก หากกระโดดลงมาจากข้างบนโดยตรงก็คงไม่อาจคาดเดาได้ว่าทุกคนจะเผชิญกับอันตรายใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเมฆหมอกหนาที่ปิดกั้นวิสัยทัศน์รอบตัวซึ่งทำให้ยากที่จะมองเห็นสิ่งใดรอบตัวได้ชัดเจน
หากปราศจากคฤหาสน์เฟิงหัวและกระโดดลงจากหน้าผาโดยตรง บางทีคนผู้นั้นก็อาจจะเผชิญกับอันตรายที่มีหนทางรอดเพียงริบหรี่
เมื่ออีกหนึ่งก้านธูปผ่านไป ในที่สุดฉินอวี้โม่และทุกคนก็ลงมาถึงใต้หน้าผาที่มองไม่เห็นในตอนแรก
สิ่งที่อยู่ก้นหน้าผาคือบ่อน้ำพุร้อนที่แผ่ไอความร้อนออกมารอบบริเวณ แม้ยังอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว ทุกคนก็สัมผัสถึงไอความร้อนดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
กลางอากาศเบื้องบนเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆและม่านหมอกในขณะที่ก้นหน้าผามีบุปผางดงามเบ่งบานรายล้อมบ่อน้ำพุร้อนซึ่งทำให้เหมียวเจินเจินและจางซือถงรู้สึกราวกับมาเยือนสรวงสวรรค์
“ที่นี่ช่างสวยงามยิ่งนัก”
เมื่อไม่สัมผัสถึงภยันตรายใด ทุกคนจึงก้าวออกจากคฤหาสน์เฟิงหัว เหมียวเจินเจินก็อดถอนหายใจให้กับความงดงามของที่นี่ไม่ได้และอยากจะกระโดดลงบ่อน้ำพุร้อนตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด
“ที่นี่สวยงามมากจริง ๆ และสภาวะพลังรอบบริเวณก็หนาแน่นกว่าโลกภายนอกถึงหลายสิบเท่า หากได้บ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่ เจ้าจะได้ผลลัพธ์มากเป็นสองเท่าโดยที่ใช้ความพยายามเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
สภาวะพลังในรอบบริเวณนี้หนาแน่นยิ่งกว่าสภาวะพลังในคฤหาสน์เฟิงหัวเสียอีก หากได้ใช้เวลาฝึกฝนอยู่ที่นี่ ทุกคนจะพัฒนาตนเองได้อย่างก้าวกระโดดภายในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งปีอย่างแน่นอน
“พี่อวี้โม่ ข้าและพี่ซือถงใกล้ที่จะทะลวงพลังเต็มที เราจะฝึกอยู่ที่นี่สักสองสามวันได้รึไม่ ?”
เหมียวเจินเจินตรงเข้าไปเกาะแขนฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ถึงอย่างไรในเวลานี้พวกนางก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำมากนัก ในเมื่อที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์และมหาศาล พวกนางก็ควรใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา บางทีอาจจะเป็นสมบัติที่หายสาบสูญของนิกายหมื่นบุปผาที่ส่งอิทธิพลต่อสภาวะพลังของที่นี่ การที่จะครอบครองมันมาหลังจากที่พวกเจ้าทะลวงพลังก็คงจะไม่สายเกินไป”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบตกลงอย่างไม่ลังเล พลังของนาง หานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนล้วนติดอยู่ในสภาวะคอขวดซึ่งต้องใช้โอกาสไม่น้อยในการทะลวงพลังได้สำเร็จและการฝึกฝนอยู่ที่นี่คงจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกนาง อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เหมียวเจินเจิน จางซือถงและเถียนเล่ยจะได้รับประโยชน์จากการบ่มเพาะฝึกวิชาอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
“พวกเจ้าฝึกฝนอยู่ที่นี่ไปแล้วกัน พวกข้าจะไปตามหาว่าสมบัติชิ้นนั้นอยู่ที่ใด”
หลังจากกล่าวกับเหมียวเจินเจินและคนอื่น ๆ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เดินเข้าไปใกล้บ่อน้ำพุร้อน
อวิ๋นซื่อเทียนไม่ต้องการเป็นก้างขวางคอคนทั้งสองจึงเลือกที่จะอยู่กับเหมียวเจินเจินและไม่คิดที่จะติดตามทั้งสองไป
“โม่ฉือ ตอนนี้ความทรงจำของเจ้าฟื้นคืนมามากเพียงใดรึ ?”
ขณะจับมือหานโม่ฉือและเดินเข้าไปใกล้บ่อน้ำพุร้อน ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
นางสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของบุรุษคนรักพัฒนาขึ้นมากในช่วงประมาณหนึ่งเดือนที่อยู่ในหอชั้นนอกของนิกายหมื่นบุปผา ตอนนี้แม้แต่นางเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาได้อีกต่อไป
พื้นเพภูมิหลังในอดีตของหานโม่ฉือยังคงเป็นปริศนาลึกลับที่ยังไม่มีคำตอบ ทว่าก็สันนิษฐานได้ว่าเขาคงจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับโลกปีศาจ ด้วยความแข็งแกร่งที่พัฒนาขึ้นมา มันก็หมายความว่าความทรงจำของเขาก็กลับคืนมาพอสมควรแล้วเช่นกัน
“ไม่มากหรอก”
หานโม่ฉือไตร่ตรองครู่หนึ่งและกล่าวตามตรงว่าความทรงจำของเขายังฟื้นฟูกลับคืนมาไม่มากนัก อย่างน้อยที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉินอวี้โม่ในภพก่อน รวมถึงตัวตนของเขาในโลกปีศาจก็ยังคงเป็นปริศนา
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพความทรงจำเลือนรางบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัวของหานโม่ฉืออยู่เสมอและทำให้เขาทราบว่าในอดีตตัวเขาน่าจะมีศัตรูที่ทรงพลังมากอยู่เช่นกัน เพียงแต่เขายังไม่ทราบว่าศัตรูนั้นคือผู้ใด
“เจ้าคิดว่าเราได้ครองคู่กันมาก่อนเป็นอวี้เฟิงและชิงเหออีกรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางกล่าวถึงชีวิตของชิงเหอและอวี้เฟิงในภพก่อน
ในความทรงจำของนาง นางได้พบกับหานโม่ฉือเมื่อตนเป็นชิงเหอ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นหลายสิ่งหลายอย่างหลังจากนั้นพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกนางน่าจะพบกันมาก่อนชีวิตนั้น ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาว่าเมื่อตนเป็นชิงเหอและหานโม่ฉือเป็นอวี้เฟิง ในชีวิตก่อนหน้านั้น หานโม่ฉือก็อาจเป็นอวี้เฟิงมาตลอดแม้ในขณะที่นางเกิดใหม่ก็ตาม
“ถึงอย่างไรเราก็ถูกลิขิตไว้ให้อยู่เคียงคู่กันและฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ข้าก็จะไม่มีทางปล่อยมือเจ้า…”
หานโม่ฉือโอบร่างบางเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่นและกล่าวด้วยสีหน้าแสดงความรักอย่างชัดเจน
มุมปากบางของฉินอวี้โม่ก็ยกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตบุรุษคนรักอย่างแผ่วเบา
ทั้งสองไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมานานแล้ว ถึงอย่างไรสถานการณ์ที่ต้องเผชิญก็ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ และศัตรูที่ต้องรับมือก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน เพราะเหตุนั้นเวลาที่ทั้งสองจะได้ใกล้ชิดกันจึงน้อยลงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
หลังจากจุมพิตยาวนาน ทั้งสองก็ก้าวลงไปในบ่อน้ำพุร้อนด้วยกัน
เมื่อครู่นี้ทั้งสองได้แผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจรอบบริเวณแล้วและพบว่าสมบัติที่ตามหาไม่ได้อยู่บนหน้าผาหรือพื้นดิน เพราะเหตุนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือบ่อน้ำพุร้อนตรงหน้า
“โม่เอ๋อร์ เราแช่บ่อน้ำพุร้อนกันสักหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรคนอื่น ๆ ก็ต้องใช้เวลาอีกนาน”
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“ตกลง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและโบกมือเล็กน้อยเพื่อสร้างม่านป้องกันรอบตัวและปิดกั้นการมองเห็นของคนอื่น ๆ
อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็ไม่กังวลแต่อย่างใด เมื่อได้ทราบว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออยู่ในโลกที่มีเพียงสองคน พวกนางจึงบ่มเพาะพลังอย่างวางใจ
ภายในบ่อน้ำพุร้อนก็ราวกับมีพลังมายาบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ภายในซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ความเหนื่อยล้าอ่อนแรงที่เคยมีหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยและความแข็งแกร่งก็กลับคืนสู่ระดับสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น นางก็พบว่าพลังมายาในร่างของตนกำลังผันผวนเล็กน้อยซึ่งเป็นสัญญาณของการทะลวงพลังขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง
“ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้ทะลวงพลังที่นี่”
นางอดกล่าวพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ หลังจากติดชะงักอยู่ที่ขอบเขตราชาเซียนขั้นต้นมานาน ในที่สุดนางก็บรรลุเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางได้สำเร็จ
หานโม่ฉือก็เพียงโอบกอดร่างบางของฉินอวี้โม่ไว้โดยไม่กล่าวสิ่งใด
หลังจากแช่ในบ่อน้ำพุร้อนนานหลายชั่วยาม ทั้งสองก็เริ่มสำรวจใต้บ่อน้ำอย่างละเอียด
บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ก็มีขนาดใหญ่มาก เรียกได้ว่ามากพอที่จะรองรับผู้คนเกือบพันคนได้อย่างไม่แออัด
หลังจากค้นหาทั่วทั้งบ่อน้ำพุร้อน ทั้งสองก็ยังไม่พบสิ่งใดที่พิเศษ
ในเมื่อไม่ทราบว่าสมบัติของนิกายหมื่นบุปผามีหน้าตาเป็นอย่างไร การตามหาตำแหน่งของมันจึงมิใช่เรื่องง่ายเลย
อย่างไรก็ตาม พลังจากบ่อน้ำพุร้อนทำให้ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าสมบัติที่ตามหาจะต้องอยู่ในนี้อย่างแน่นอน