เล่มที่ 33 เล่มที่ 33 ตอนที่ 979 ค่ายกลกระบี่เจ็ดดาว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

อวิ๋นจิ่นกางแขนออกแล้วยกขึ้น ในมือปรากฏกระบี่วิญญาณหนึ่งเล่ม

เมื่อเป่ยถังฉินเกอเห็นก็ตกใจทันที “กระบี่เทพซ่างยวน? ” จากนั้น แววตาของนางก็ค่อยๆ ขยับขึ้นไปบนใบหน้าอวิ๋นจิ่น “ท่านคือ… ”

ถ้อยคำที่เหลือติดอยู่ที่ริมฝีปากของเป่ยถังฉินเกอ นางไม่กล้าพูดออกมา

ชื่อนั้นไม่ใช่ใครก็ตามที่มีคุณสมบัติจะเอ่ยถึงได้ แม้กระทั่งบุคคลที่ลึกลับและแข็งแกร่งอย่างคนของจวนเป่ยอี้อ๋องก็ยังกลัวเกรง

อวิ๋นจิ่นไม่ได้ตอบและไม่ได้หันศีรษะไปมองนาง ซูจิ่นซี อู๋จุน เยี่ยโยวเหยา และคนอื่นๆ ต่างนิ่งเงียบ ทุกอย่างได้รับการอธิบายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เมื่อหมาป่าหิมะได้เห็นกระบี่เทพซ่างยวนในมือของอวิ๋นจิ่น พวกมันก็หวาดกลัวจนถอยหลังไปสองก้าว ดวงตาของหมาป่าหิมะสองสามตัวที่นำอยู่ดูหวาดกลัวเล็กน้อย และก้าวถอยหลังด้วยขาที่สั่นสะท้าน พอถอยได้สองสามก้าว จู่ๆ ก็เงยหน้าร้องคำรามเสียงยาว ก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีกลับไป

หมาป่าหิมะที่เหลือร้องคำรามตามพวกมัน บางตัวก้มตัวลงต่ำเล็กน้อย บางตัวก็หมอบราบและล่าถอยไปทีละตัว

ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หมาป่าหิมะรอบหน้าผาถอยไปจนหมด เหลือเพียงซากศพหมาป่าที่ระเกะระกะ บนพื้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด

อู๋จุนชี้แส้ยาวในมือ ไล่ตามไปที่ขอบหน้าผาแล้วพูดว่า “แค่นี้ก็ล่าถอยแล้ว? ข้ายังไม่ได้สู้เลย! ”

ตงหลิงหวงและเป่ยถังฉินเกอไม่ได้ตอบสนองเช่นกัน การแสดงออกบนใบหน้าดูมึนงงเล็กน้อย

ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาสบตากัน แม้ไม่ได้พูดอันใด ทว่าในเวลานี้ พวกเขารู้ดีว่าในใจอีกฝ่ายกำลังคิดอันใดอยู่

อวิ๋นจิ่นเก็บกระบี่เทพซ่างยวนกลับและระงับไอสังหารทั่วร่าง การแสดงออกในดวงตานุ่มนวลกว่าเดิมเป็นเท่าตัว หมอหลวงอวิ๋นคนอ่อนโยนผู้นั้นได้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง

เป่ยถังฉินเกอดูเหมือนมีเรื่องอยากพูดกับอวิ๋นจิ่น ทว่านางอึกอัก ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดสิ่งใด

“พระชายาโยวอ๋อง หมาป่าหิมะล่าถอยหมดแล้วหรือ? ” เสียงของถังเสวี่ยดังมาจากในถ้ำ

“อืม! ”

ซูจิ่นซีตอบ นางใช้แววตาซาบซึ้งใจมองอวิ๋นจิ่นที่เดินเข้าไปในถ้ำ

เยี่ยโยวเหยาเดินไปข้างกายอวิ๋นจิ่น แล้วใช้มือตบไหล่ของอวิ๋นจิ่น แม้ไม่ได้เอ่ยอันใด ทว่าท่ามกลางความเงียบของบุรุษทั้งสอง บางครั้งก็เข้าใจได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องพูด

อู๋จุนเดินไปหาอวิ๋นจิ่นเช่นกัน เขาลังเลอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะแสดงออกหรือพูดอย่างไรดี ทว่าเขาไม่ได้อ้อมค้อมแบบเยี่ยโยวเหยาขนาดนั้น จึงเอ่ยเสียงดังว่า “แซ่อวิ๋น ไม่พูดมากความ ข้าชอบเจ้า! ”

เอ่อ…

เป่ยถังฉินเกอและตงหลิงหวงมองไปที่อู๋จุน แล้วกลับมามองอวิ๋นจิ่น การแสดงออกบนใบหน้าช่างยอดเยี่ยม ดูอย่างไรสีหน้านั้นก็เกิดจากอาการประหลาดใจอย่างมาก

อู๋จุนขมวดคิ้วเล็กน้อย “มองอันใด? ข้าไม่ได้เกลียดเขาแค่ชอบเขา มีปัญหาหรือ? ” เป่ยถังฉินเกอและตงหลิงหวงไม่ได้พูดอันใด อู๋จุนบ่นอุบอีกหน “อืม ไม่ได้ป่วยทางสมอง”

จากนั้นจึงเดินเข้าไปในถ้ำ

เยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นเดินตามเข้าไปด้วย ทว่าหมุนกายเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ตงหลิงหวงที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “นั่นคือสิ่งใด? ”

ทุกคนหยุดฝีเท้าและหันหลังกลับมามองตามทิศทางที่แววตาของตงหลิงหวงมองไป

ก่อนจะมองเห็นเป็นแมลงหลายตัวบินอยู่ท่ามกลางหมาป่าหิมะราวกับผีเสื้อ ทว่ากลับไม่เหมือนผีเสื้อ ส่วนหัวเหมือนนกและยังมีจะงอยปากที่ยาวมาก พวกมันค่อยๆ กระพือปีกบินมาหาพวกเขา

ตามหลักแล้ว แมลงประเภทนี้ไม่สามารถอยู่รอดได้ในสถานที่ที่มีน้ำแข็งและหิมะปกคลุมไปทั่ว

แมลงหลายตัวบินไปอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีเตือนอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย “เยี่ยโยวเหยา ระวัง! ”

ตงหลิงหวงทำท่าเหมือนคิดบางอย่างได้ จึงพูดขึ้นว่า “โยวอ๋อง เหตุใดเจ้าตัวเล็กพวกนี้ถึงได้ดูคุ้นนัก? ท่านพอนึกออกหรือไม่? ”

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แมลงเหล่านั้นบินวนรอบเยี่ยโยวเหยา ทว่าไม่ได้ทำร้ายผู้ใด และบินออกไปอีกครั้ง

“อาจเป็นภูตของสำนักกระบี่คุนหลุน” เยี่ยโยวเหยาเอ่ย

ปกติแล้ว เมื่อลูกศิษย์ของสำนักกระบี่คุนหลุนออกจากเขาคุนหลุนแล้ว ความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับสำนักกระบี่คุนหลุนจะถูกเลือกขจัดออกไป ทว่าเจ้าตัวเล็กพวกนี้ เยี่ยโยวเหยาและตงหลิงหวงค่อนข้างคุ้นเคยเหมือนกัน

“พวกเราตามไปดู! ” เยี่ยโยวเหยากล่าว

ทุกคนจึงเก็บสัมภาระ อู๋จุนแบกถังเสวี่ย ซูอวี้และเป่ยถังหลีถูกตงหลิงหวงนำเข้าไปในแหวนเก้ามังกร จากนั้นทุกคนก็ตามภูตเหล่านั้นไป

ยิ่งเดินลมหิมะยิ่งรุนแรง นอกจากนี้เส้นทางบนภูเขาก็สูงชันอย่างมาก ส่วนใหญ่ทั้งหมดอยู่ระหว่างหน้าผา อู๋จุนมองเส้นทางบนภูเขาทั้งหน้าและหลังพลางรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “เมื่อครู่ทางเส้นนั้น ตอนที่พวกเราเดินขึ้นเขา ข้าจำได้ว่าโดยรอบเส้นทางนั้นเป็นสันเขา ตอนนี้มันกลายเป็นหน้าผาไปได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าที่เดิมมันไม่มีเส้นทางนี้! สิ่งพวกนี้จะพาพวกเราไปที่ใด? ”

เป่ยถังฉินเกอเอ่ย “เขาคุนหลุนลึกลับคาดเดาไม่ได้ พวกเราตามไปดูก่อนค่อยว่ากัน”

ไม่รู้ว่าเดินมานานเพียงใดแล้ว หลังจากเดินผ่านทางแคบเส้นยาวตรงหน้าก็เป็นพื้นที่กว้างที่ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ทิศเหนือของพื้นที่กว้างเป็นบันไดทอดยาว ดูตามแนวบันไดจะเห็นเป็นสถานที่ที่ดินแดนหิมะและน้ำแข็งเชื่อมต่อกับท้องฟ้า และเป็นประตูทางเข้าแห่งหนึ่ง บนประตูเขียนเป็นคำว่า “สำนักกระบี่คุนหลุน” ตัวใหญ่

“ในที่สุดพวกเราก็หาสำนักกระบี่คุนหลุนพบแล้ว! ” ซูจิ่นซีเอ่ยอย่างดีใจ

บนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาก็เต็มไปด้วยความปีติยินดีเช่นกัน นอกจากนี้ ยามที่ดวงตาดำขลับลึกล้ำมองไปที่ประตูซึ่งอยู่ห่างไกล นัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกกว้าง ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวเดินออกมา

ยามที่แววตาของบุรุษรูปร่างสูงโปร่งด้านหน้าสุดเห็นเยี่ยโยวเหยา แววตาของเขาพลันเป็นประกาย

“ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์พูดถูก ท่านมาจริงๆ ด้วย! ”

เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นทุกคนถือกระบี่ในมือและชุดสีขาวบนร่างเต็มไปด้วยเลือดจึงเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ”

“เรียนศิษย์พี่ใหญ่ ชี่จงก่อกบฏ ท่านอาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหกขังนักพรตจื่ออินไว้หลังภูเขา ท่านรีบไปดูเถิด! ”

เยี่ยโยวเหยารีบพาทุกคนเข้าไปด้านในและมุ่งหน้าไปด้านหลังภูเขา

หลังภูเขาสำนักกระบี่คุนหลุนเป็นพื้นที่กว้าง ท้ายสุดเป็นหน้าผาสูงตระหง่าน เดิมทีทะเลเมฆบนหน้าผามีโซ่แปดเส้นซึ่งนำไปสู่ดินแดนต้องห้ามตรงข้ามหน้าผา ทว่าเวลานี้โซ่ได้ขาดไปเรียบร้อยแล้ว

บนพื้นที่กว้างมีนักพรตอวี้หยาง เจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนสวมชุดสีขาวราวกับเทพเซียน ผมกับคิ้วของเขาขาวราวหิมะ และผู้อาวุโสทั้งหกที่สวมชุดสีขาวหิมะแบบเดียวกันกำลังล้อมผู้อาวุโสที่สวมชุดสีฟ้า ยืนเรียงเป็นค่ายกลกระบี่เจ็ดดาว

ค่ายกลกระบี่เจ็ดดาวเป็นรูปแบบกระบี่ของสำนักกระบี่คุนหลุนที่งดงามและละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง จะต้องมีนักพรตอวี้หยางผู้เป็นเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหกคนถึงจะจัดค่ายกลนี้ออกมาได้ ตั้งแต่ที่มีการค้นคว้าค่ายกลกระบี่ชุดนี้ขึ้นมา มันมักถูกใช้เพื่อป้องกันศัตรูที่เหนือกว่าจากภายนอก กลับไม่คิดว่าวันนี้จะถูกใช้กับคนของตนเอง

นักพรตอวี้หยางกับผู้อาวุโสทั้งหกท่านอยู่ในตำแหน่งดาวทั้งเจ็ดของหมู่ดาวนักปราชญ์พอดี ซึ่งสอดคล้องกับพวกเขา ปรากฏการณ์ท้องฟ้าของดาวเจ็ดดวงที่เชื่อมกันได้ก่อตัวอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ซึ่งตรงข้ามกับนักพรตจื่ออินที่เป็นเมฆสีดำ

ยิ่งแสงของดวงดาวเจิดจ้าเท่าไร พลังของนักพรตอวี้หยางและผู้อาวุโสทั้งหกก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

ทว่าในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าแสงของดาวดวงหลักที่อยู่เหนือศีรษะนักพรตอวี้หยางหรี่ลงเรื่อยๆ และเมฆสีดำที่อยู่เหนือศีรษะนักพรตจื่ออินก็ยิ่งดำทะมึนมากขึ้น ในไม่ช้า มีแนวโน้มที่จะกลืนกินดวงดาวทั้งเจ็ดที่เชื่อมกัน

เช่นนี้ควรทำอย่างไร?