เนื่องจากสมาชิกครอบครัวของหลิงตู้ฉิงแต่ละคนไม่ได้เจอกันนาน ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงต่างมีเรื่องคุยกันมากมาย
โดยเฉพาะหลิงไช่หยุนและหลิงว่านถิงที่ไม่ได้เจอหลิงตู้ฉิงมานานมากแล้ว ดังนั้นพวกนางจึงยิ่งมีเรื่องคุยมากกว่าใครเพื่อน
“พวกคนของสำนักเต๋าสวรรค์ยังรังแกเจ้าอยู่อีกรึเปล่า?” หลิงตู้ฉิงถามหลิงว่านถิง
หลิงว่านถิงหัวเราะทันทีละตอบกลับ “ไม่มีหรอกท่านพ่อ ด้วยการเฝ้ามองของอาจารย์ข้าอยู่ตลอดใครกันจะกล้ามารังแกข้า? แต่ว่าก็ยังมีบางคนที่ยังมาขอข้าให้ช่วยไขความลับในเคล็ดวิชาที่พวกเขาไม่เข้าใจให้เช่นกัน ซึ่งข้าเองก็ยินดีทำให้พวกเขาเหมือนกันเพราะว่าข้ารู้สึกได้ว่าข้าเองก็พัฒนาขึ้นจากการที่ข้าได้อ่านเคล็ดวิชามากมายเหล่านั้น แต่แน่นอนว่าถ้าวันไหนข้าขี้เกียจและปฏิเสธพวกเขาไป พวกเขาก็ไม่มาตอแยอะไรกับข้าต่อ”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ดีแล้วที่พวกเขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ส่วนเจ้าเองก็นับว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่ได้มีโอกาสศึกษาวิชาอื่น ๆ เพราะมันจะมีประโยชน์ต่อเส้นทางการบ่มเพาะของเจ้ามากในอนาคต”
หลิงว่านถิงหัวเราะ “ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกันท่านพ่อ อ๋อจริงสิ ก่อนที่ข้าจะจากมา ท่านอาจารย์บอกกับข้าว่าหลังจากเสร็จธุระที่นี่แล้วเขาจะให้ข้านำคนของสำนักไปที่อาณาจักรจันทรา เพื่อช่วยเหลือน้องหกด้วยล่ะท่านพ่อ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหลิงตู้ฉิงเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที จากนั้นเขาพูดว่า “หลังจากการคัดเลือกมหาปราชญ์เสร็จสิ้น มันจะเป็นการเริ่มต้นช่วงเวลาแห่งการแข่งขันเพื่อเป็นผู้สร้างเต๋าทันที ซึ่งในเวลานั้นมันจะเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความวุ่นวายไปทุกหย่อมหญ้าและบรรดาตัวตนเก่าแก่ที่หลบซ่อนอยู่มานานก็จะค่อย ๆ ทยอยปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นหากเจ้าจะเดินทางไปไหนมาไหน เจ้าจะต้องระวังตัวเองให้ดีและเจ้าต้องคอยอยู่ใกล้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิเสมอเพื่อความปลอดภัยของเจ้าเอง”
หลิงยู่ชาน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ถามแทรกขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่ามหาปราชญ์ของสำนักเที่ยงธรรมคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อันที่จริงผู้สร้างเต๋าคนแรกที่จะปรากฏตัวขึ้นก็คือมหาปราชญ์ของสำนักเที่ยงธรรมนี่แหละ และเมื่อคนแรกปรากฏตัวขึ้นมันก็หมายความว่าเวลาแห่งการแข่งขันมันได้เริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้พวกเจ้าทุกคนจะต้องรีบกลับไปตั้งใจฝึกฝนและเน้นไปที่การทำความเข้าใจเต๋าของพวกเจ้าเองให้เร็วที่สุด พวกเจ้าทุกคนต่างมีพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอดกันอยู่แล้ว ดังนั้นพ่อจึงไม่เป็นห่วงเรื่องระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้ามากนัก โดยเฉพาะเจ้า! ไช่หยุน หลังจากนี้เจ้าห้ามเอาแต่นอนอย่างเดียว!”
หลิงไช่หยุนทำหน้ามุ่ย “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ขี้เกียจสักหน่อย ที่ข้านอนเพราะว่ามันเป็นวิธีการบ่มเพาะของข้าต่างหาก! ท่านไม่เห็นเหรอไงว่าตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของข้าขึ้นมาอยู่ที่ระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”
หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจ “เจ้าเนี่ยนะไม่ขี้เกียจ? หากเจ้าตั้งใจจริงด้วยการเกื้อหนุนของต้นเพลิงสวรรค์ ป่านนี้ระดับการบ่มเพาะของเจ้าควรที่จะเพิ่มไปถึงระดับสวรรค์สมบูรณ์แล้ว!”
“ก็ได้ถ้างั้นเมื่อข้ากลับไป ข้าจะตั้งใจให้มากกว่าเดิมไม่เอาแต่หลับอย่างเดียวก็ได้!” หลิงไช่หยุนบ่นอุบ
“ไม่ต้องห่วงหลังจากที่เจ้ากลับไปรอบนี้พ่อจะให้แม่ของเจ้าเคี่ยวเข็ญเจ้าอีกแรงเพื่อให้เจ้าทะลวงขึ้นไปสู่ขอบเขตราชันให้ไวที่สุด เพราะพ่อเองก็มีเรื่องให้เจ้าต้องช่วยเหมือนกัน” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
หลิงยู่ชานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ในเมื่อการเป็นมหาปราชญ์นั้นเท่ากับว่ากลายเป็นผู้สำเร็จเต๋า ดังนั้นรางวัลมันก็ต้องปรากฏขึ้นด้วยจริงไหม?”
“ถูกต้อง!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
“ถ้างั้นพวกเราจะแย่งมันมารึเปล่า?” หลิงยู่ชานรีบถามขึ้น “แต่ว่าถ้าพวกเราแย่งมันมา…”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและมองไปที่หลิงยู่ชาน และพูดว่า “พ่อรู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไม่ว่าจะเป็นรางวัลอะไรก็ตามที่แม่ยายของเจ้าได้มามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับนางหรอก เพราะสิ่งที่นางต้องการจริง ๆ นั้นไม่ใช่วัตถุที่จับต้องได้ ส่วนเรื่องที่พ่อจะแย่งมันมาหรือไม่นั้นเอาไว้เดี๋ยวพ่อค่อยดูอีกทีว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พ่อต้องการรึเปล่า เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากในเรื่องนี้”
หลิงว่านถิงพูดแทรกขึ้นทันที “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าต่อให้ท่านจะไม่ต้องการมันแต่เราก็ควรที่จะเอามันมาเก็บไว้กับตัวเองก่อน อย่างน้อย ๆ คนในครอบครัวของเราสักคนหนึ่งก็น่าจะใช้มันได้”
“เรื่องนั้นเอาไว้ว่ากันทีหลัง!” หลิงตู้ฉิงโบกมือ “เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าทุกคนได้มาอยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ เดี๋ยวพ่อจะช่วยทำให้อนาคตการบ่มเพาะของพวกเจ้ายิ่งราบรื่นมากยิ่งขึ้น พวกเจ้าทุกคนมานั่งใกล้ ๆ พ่อ พ่อจะสำแดงแนวทางในอนาคตของพวกเจ้าแต่ละคนที่พวกเจ้าจำเป็นต้องเดินไปให้พวกเจ้าได้เห็น”
หลิงยู่ชานและคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รีบวิ่งเข้ามานั่งลงข้าง ๆ หลิงตู้ฉิงทันที ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็ใช้พลังชีวิตของเขาเปิดใช้งานอาณาเขตสวรรค์ของเขาเองปกคลุมลูก ๆ ของเขาทุกคนไว้
สิ่งที่หลิงตู้ฉิงแสดงให้กับลูก ๆ ของเขาเห็นมันคือภาพที่พวกเขาจะได้เห็นว่าปลายทางในอนาคตของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ซึ่งมันทำให้พวกเขาต่างเข้าใจว่าหลังจากนี้พวกเขาจะต้องบ่มเพาะต่อไปแบบไหน
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เมื่อบรรดาลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงลืมตาขึ้น พวกเขาก็เห็นว่าในเวลานี้หลิงตู้ฉิงดูเหมือนว่าแก่ขึ้นเล็กน้อย
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?” หลิงยู่ชานรีบถามขึ้นทันที
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “พ่อไม่เป็นอะไรหรอก พ่อแค่ใช้พลังชีวิตของตัวเองเยอะไปหน่อย เดี๋ยวพ่อทะลวงระดับขึ้นไปอีกรอบมันก็ดีขึ้นเอง”
หลิงฟ่างหัวขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง จากนั้นนางพูดว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวข้าจะไปเรียกแม่ ๆ ทั้งหมดมาเพื่อที่ท่านจะได้บ่มเพาะตามวิธีของท่าน และทะลวงระดับต่อไปเพื่อที่ท่านจะได้หายดีเร็ว ๆ!”
เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าหลิงตู้ฉิงนั้นบ่มเพาะได้ด้วยวิธีไหนได้บ้างเพื่อทะลวงระดับ ดังนั้นพวกเขาจีงรีบไปตามหวงซีมาในทันที
ไม่นานต่อมา หวงซีและเสี่ยวลิ่วก็มาถึง
เสี่ยวลิ่วมองไปที่หลิงตู้ฉิง จากนั้นนางขมวดคิ้วและพูดว่า “ทำไมจู่ ๆ ร่างกายของท่านถึงเป็นแบบนี้ไปได้? นี่ไม่ใช่แค่พลังชีวิตอย่างเดียวเท่านั้นที่มันเหือดหายไปจากตัวท่าน แต่มันรวมไปถึงเหมือนกับว่าร่างกายของท่านเพิ่งเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาอย่างฉับพลันอีกต่างหาก?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างจนใจและพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลกันหรอก เมื่อครู่ข้าแค่พาเหล่าเด็ก ๆ ไปดูอนาคตของพวกเขาเท่านั้นเอง”
อันที่จริงแล้วหากหลิงตู้ฉิงจะดูอนาคตแค่เพียงเล็กน้อยมันก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่เมื่อครู่สิ่งที่เขาทำมันคือการพาลูกของเขาทั้ง 7 คนดูอนาคตพร้อม ๆ กัน ซึ่งทั้ง 7 คนต่างก็มีอนาคตคนละแบบ 7 แบบแยกกันไป ซึ่งมันส่งผลให้สิ่งที่เขาต้องเสียไปมันเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ
เสี่ยวลิ่วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง “นี่ท่านเข้าใจเต๋าแห่งกาลเวลาถึงระดับนี้แล้วงั้นเหรอ?”
“มันก็แค่เป็นแขนงหนึ่งของเต๋าแห่งกาลเวลาเท่านั้นเอง” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เสี่ยวลิ่ว ในเมื่อเจ้าตกลงปลงใจแล้วว่าจะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป ดังนั้นหากข้าจะขอให้เจ้าช่วยข้าในตอนนี้มันคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ข้าพูดตามตรงว่าตอนนี้ไม่มีใครที่สามารถช่วยเหลือข้าได้มากเท่าเจ้าอีกแล้ว”
เสี่ยวลิ่วจ้องไปที่หลิงตู้ฉิงอยู่สักพัก จากนั้นนางพูดว่า “ดูจากสภาพของท่านในตอนนี้แล้วหากข้าช่วยท่าน ข้าคิดว่าพี่สาวก็คงไม่ถือโทษข้าแน่ หวงซี เจ้าอย่าหาว่าไม่เกรงใจเจ้าเลยนะ!”
เมื่อพูดจบ เสี่ยวลิ่วใช้ระดับการบ่มเพาะขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดสร้างม่านพลังแยกนางกับหลิงตู้ฉิงออกจากโลกภายนอกทันที จากนั้นนางก็เริ่มทำในสิ่งที่นางรู้ว่านางต้องทำอะไร
หวงซีที่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นนางก็เดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไร