ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าหลิงยู่ชานแข็งแกร่งแค่ไหน ซึ่งในตอนนี้คำตอบมันออกมาแล้วว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงยู่ชาน
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันรีบใช้เจตจำนงของตัวเองสร้างแขนขวาที่ถูกทำลายไปให้กลับคืนมาใหม่เหมือนเดิม จากนั้นเขาพยักหน้าและพูดกับหลิงยู่ชานว่า “ข้าขอยอมแพ้!”
ผลลัพธ์มันออกมาชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาสู้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ดึงดันอีกต่อไป
ทางด้านของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็รู้สึกโง่งมไปตาม ๆ กัน เพราะพวกเขาไม่ใช่คนที่เผชิญกับเจตจำนงแห่งหมัดของหลิงยู่ชานด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจว่าหมัดของหลิงยู่ชานสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันได้ยังไง?
หลิงตู้ฉิงมองไปที่คนรอบ ๆ และพูดว่า “มีใครที่ยังข้องใจในความสามารถลูก ๆ ของข้าอีกไหม? หากยังมีพวกเจ้าสามารถออกมาหาคำตอบด้วยตัวเองได้เลย!”
หลังจากสิ้นเสียงของหลิงตู้ฉิงไปพักหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่งซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตราชันเช่นเดียวกับคนเมื่อครู่ก็เดินออกมาและพูดว่า “ข้าอยากจะลองดู!”
เนื่องจากคนอื่น ๆ ยังไม่เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันคนเมื่อครู่แพ้หลิงยู่ชานได้ยังไง เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นจากด้านข้างก็คือ หลิงยู่ชานแค่ปล่อยหมัดที่มีเจตจำนงแห่งหมัดแฝงออกไปเท่านั้น และพวกเขาก็คิดว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันคนเมื่อครู่ประมาทเกินไปจนไม่ยอมหลบหลีกหมัดของหลิงยู่ชาน และเลือกที่จะปะทะตรง ๆ หรือจะให้สรุปง่าย ๆ ก็คือคนอื่นคิดว่าที่หลิงยู่ชานชนะได้ก็เพราะฝั่งตรงข้ามประมาทเท่านั้นเอง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดขึ้นว่า “เจ้ายังข้องใจงั้นเหรอ? ก็ดี! แต่ข้าขอเตือนเอาไว้ก่อนว่าหลังจากนี้หากเจ้าไม่ระวังตัวให้ดีเจ้าอาจจะตายได้ง่าย ๆ! ฟ่างหัว เจ้าออกไปสู้กับเขา!”
เมื่อได้รับคำสั่ง หลิงฟ่างหัวไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น นางทะลุผ่านมิติไปปรากฏที่ด้านหลังของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันและจิ้มนิ้วไปที่หลังของคู่ต่อสู้ทันที จากนั้นนางก็พุ่งผ่านมิติไปปรากฏกายที่บนท้องฟ้า และตะโกนขึ้นว่า “หากเจ้ารับมือกับมันไม่ได้ เจ้าจะตายอย่างน่าอนาถ!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันไม่ได้ทันตั้งตัวอะไรเลยเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเกินไป และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าหลิงฟ่างหัวทำอะไรกับเขา แต่เมื่อเขาเห็นหลิงฟ่างหัวลอยอยู่เหนือหัวเขา และเขาเริ่มโคจรพลังเตรียมจะโจมตี เขาถึงจะรู้สึกตัวได้ว่าในตอนนี้กลางดวงวิญญาณของเขามันมีรอยแยกมิติปรากฏขึ้น และมันกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แถมภายในรอยแยกมิตินั้นมันก็มีแต่พายุมิติที่เตรียมจะพวยพุ่งออกมาแยกดวงวิญญาณของเขาให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ!
เมื่อรู้เช่นนี้เขาจึงล้มเลิกการโจมตีและใช้พลังของเขาทั้งหมดมาปิดรอยแยกมิติที่อยู่ในดวงวิญยาณของเขาทันที ซึ่งในเวลาเดียวกันมันก็เป็นการเปิดโอกาสให้หลิงฟ่างหัวสร้างรอยแยกมิติล้อมรอบ ๆ ร่างของเขาเอาไว้
แค่เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นรอบ ๆ ร่างของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันก็มีรอยแยกมิติอยู่รายล้อมและค่อย ๆ ดูดกลืนร่างของเขาเข้าไปด้านในเรื่อย ๆ และด้วยเหตุผลที่เขากำลังง่วนอยู่กับการลบรอยแยกมิติที่อยู่ในดวงวิญญาณของเขา เขาจึงไม่สามารถต้านทานอำนาจแรงดูดของรอยแยกมิติที่กำลังดูดกลืนร่างกายของเขาได้
เมื่อหลิงฟ่างหัวเห็นว่าคู่ต่อสู้ของนางถูกรอยแยกมิติกลืนกินไปแล้ว นางก็เตรียมตัวที่จะพุ่งเข้าไปในรอยแยกมิติเพื่อตามไปปิดงานของนางทันที เพราะในรอยแยกมิตินั้นนางสามารถยืมพลังของกฎแห่งมิติมาได้ไม่อั้น ดังนั้นการที่นางจะฆ่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันสักคนขณะอยู่ในรอยแยกมิติมันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ว่าก่อนที่นางจะทันได้พุ่งตัวเข้าไปในรอยแยกมิติ หลิงตู้ฉิงก็พุ่งเข้ามารั้งนางไว้และพูดว่า “พอแล้ว พ่อคิดว่าเขาน่าจะยอมแพ้เจ้าแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อนางเช่นนี้ หลิงฟ่างหัวจึงหยุดไม่ทำอะไรต่อ
“เอาล่ะ หากพวกเจ้าคนไหนยังคงข้องใจอีกก็ก้าวออกมาต่อได้เลย!” หลิงตู้ฉิงหันไปหากลุ่มคนและตะโกนขึ้นอีกครั้ง
แน่นอนว่าหลังจากเห็นความสามารถของลูกหลิงตู้ฉิงไปสองคน มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะลองของอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าหมัดของหลิงยู่ชานนั้นวิเศษยังไง แต่เมื่อพวกเขาเห็นความสามารถในการควบคุมพลังกฎแห่งมิติของหลิงฟ่างหัวแล้วพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงนั้นไม่ธรรมดา และเหนือกว่าพวกเขาทุกคน ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรหากพวกเขาจะยังคงดื้อรั้นหาเรื่องใส่ตัวต่อไป
จากนั้นเมื่อผ่านไปพักใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันคนที่ถูกหลิงฟ่างหัวส่งเข้าไปในรอยแยกมิติเมื่อครู่ก็แหวกมิติกลับออกมาได้สำเร็จ ซึ่งทั้งร่างของเขานั้นเต็มไปด้วยแผลมากมายและเสื้อผ้าก็ขาดกระรุ่งกระริ่งไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งเดาได้เลยว่าเมื่อครู่เขาน่าจะเพิ่งเผชิญกับพายุมิติที่อยู่ในรอยแยกมาหมาด ๆ
เขาจ้องเขม็งไปที่หลิงฟ่างหัวด้วยสายตาเดือดดาล แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรและทำได้แต่ค่อย ๆ เดินแยกไปรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองอย่างเงียบ ๆ
มันเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาเป็นผู้แพ้ ดังนั้นเขาจะพูดอะไรมากได้ยังไง? และยิ่งไปกว่านั้นประสบการณ์ที่จู่ ๆ ก็มีรอยแยกมิติปรากฏขึ้นที่กลางดวงวิญญาณของเขามันยังทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอยู่เลย เพราะหากเขาพลาดไปแค่นิดเดียวดวงวิญญาณของเขาจะต้องถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเดือดดาลต่อหลิงฟ่างหัว แต่เขาก็ไม่กล้าตอแยอะไรกับนางอีกต่อไป
หลิงตู้ฉิงพาหลิงฟ่างหัวร่อนกลับลงมาที่พื้น จากนั้นเขาพูดกับคนที่อยู่รอบ ๆ ว่า “พวกเจ้าไม่มีใครข้องใจอะไรแล้วใช่ไหม? เอาล่ะในเมื่อพวกเจ้าไม่ตอบอะไร ถ้างั้นข้าจะถือว่าพวกเจ้าทุกคนทั้งหมดเข้าใจแล้วว่าต้องเชื่อฟังข้านับจากนี้ในระหว่างที่อยู่ที่นี่ ซึ่งถ้าหากนับจากนี้มีใครที่ไม่เชื่อฟังข้าอีก ข้าจะฆ่าคนผู้นั้นทันทีโดยไม่เตือนอะไรซ้ำ!”
เมื่อพูดกับคนอื่น ๆ จบ หลิงตู้ฉิงจึงเดินเข้าไปหาหลิงเทียนหยุน และพูดว่า “เทียนหยุน ถึงแม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วแต่พ่อคิดว่าเจ้ายังไม่ควรใช้พลังของเจ้าในช่วงนี้ ดังนั้นพ่อจะให้เจ้ายืมง้าวเทวะพินาศจำลองของพ่อไปใช้งานก่อน แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้าที่ยังคงต่ำต้อย เจ้าอย่าใช้พลังวิญญาณของเจ้าในการใช้งานมัน เพราะถ้าเจ้าทำแบบนั้นเจ้าคงจะใช้มันได้แค่ครั้งสองครั้งก่อนที่พลังวิญญาณของเจ้าจะถูกสูบออกไปหมด ฉะนั้นเจ้าแค่ใช้ความคมของมันก็พอในการจัดการกับเป้าหมาย”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็มอบง้าวเทวะพินาศจำลองให้กับหลิงเทียนหยุนในทันที และย้ำเตือนกับลูกชายของเขาอีกรอบว่าแค่ความคมเพียงอย่างเดียวของง้าวเทวะพินาศจำลองมันก็ไม่มีสิ่งใดในโลกเบื้องล่างนี้ที่มันฟันไม่ขาดแล้ว
“ขอบคุณท่านพ่อ!” หลิงเทียนหยุนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน เพราะการที่เขาได้รับอาวุธจากหลิงตู้ฉิงมาแบบนี้มันตรงกับความต้องการของเขามาก ๆ
หลิงเทียนหยุนนั้นพยายามตามหาวัสดุที่จะสร้างอาวุธของเขามานานแสนนาน ซึ่งเขาก็ไม่เคยเจอพวกมันเลยและด้วยการที่เขาไม่มีอาวุธที่เหมาะสมมันจึงทำให้เขาเสียเปรียบคนอื่น ๆ ที่มีอาวุธอยู่พอสมควร แต่ในตอนนี้เมื่อเขาได้อาวุธของหลิงตู้ฉิงมาแล้ว มันจึงเป็นการลบจุดบอดของเขาที่มีมานานแสนนานในทันที
หลังจากนั้นเมื่อหลิงตู้ฉิงปราบพยศคนอื่น ๆ ได้เรียบร้อยไปพักใหญ่ จู่ ๆ พลังแห่งความเที่ยงธรรมที่เคยปกคลุมทั่วอาณาเขตห้าวหลานก็ถูกดูดกลับคืนไปที่ใจกลางอาณาเขตห้าวหลานจนหมด และจากนั้นในเวลาเดียวกัน ถังชี่หยุน ผู้ซึ่งเก็บตัวอยู่ในกระท่อมไม้มาโดยตลอดก็เดินออกมาด้วยการแต่งกายชุดขาวและม้วนผมของนางก็มัดขึ้นเก็บเรียบร้อย
และที่น่าแปลกตาก็คือทั่วร่างของนางยังคงมีพลังแห่งความเที่ยงธรรมล้อมรอบกายอยู่ และในมือของนางตอนนี้ก็ถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ ซึ่งที่ปกหนังสือเล่มนั้นมีอักษรเขียนเอาไว้ว่า ‘ความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรง’
เมื่อเดินออกมาจากกระท่อม ถังชี่หยุนมองไปยังทิศทางที่พลังแห่งความเที่ยงธรรมหายไป จากนั้นนางหันกลับมาหาหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “คุณชายหลิง พวกเราไปกันเถอะ!”