บทที่ 2069 คนในบ้านตีกันเอง
หลังจากเยี่ยหวันหวั่นออกมาจากห้องผู้อำนวยการก็เตรียมจะไปหาซือเยี่ยหานทันที
ผลคือไม่คาดคิดเลยว่าระหว่างที่อยู่ในโรงเรียนจะบังเอิญได้ยินบทสนทนาของคนกลุ่มหนึ่งเข้าพอดี
“ไอ๊หยา ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะจริงๆ น่ากลัวว่ารัฐอิสระคงถึงคราวโกลาหลแล้ว!”
“ทำไมล่ะ”
“พวกนายไม่รู้สินะ! อาชูร่ากับตระกูลเนี่ยจะตีกันแล้ว!”
“บ้าน่า! อาชูร่ากับตระกูลเนี่ยจะตีกันเหรอ นี่ข่าวใหญ่เลยนะ จริงหรือหลอก มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
เดิมทีเยี่ยหวันหวั่นก็กำลังรีบร้อน แต่พอได้ยินแบบนี้ ก็เบรกเอี๊ยดทันที ยังคิดว่าตัวเองฟังผิดไป
แต่พอลองคิดดูอย่างละเอียดแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ รัฐอิสระก็วุ่นวายขนาดนั้น วันนี้มีกลุ่มอำนาจสองสามกลุ่มเกิดเขม่นกันเลยตีกันยกหนึ่ง พรุ่งนี้เขม่นกันอีกก็ตีกันอีกยกใหญ่ วันไหนบ้างที่ไม่มีเรื่องชกต่อยเกิดขึ้น มีอะไรน่าวิจารณ์กัน ก็แค่อาชูร่าตีกับตระกูลเนี่ยเท่านั้น
เดี๋ยวนะ…
อาชูร่า
ตระกูลเนี่ย
ฮะ?!
อาชูร่าตีกับตระกูลเนี่ยงั้นเหรอ
พอเยี่ยหวันหวั่นได้สติแล้ว ก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้ามึนงง นี่มันอะไรกัน…ทำไมผู้ชายของตัวเองถึงจะตีกับครอบครัวของตัวเองล่ะ
นี่ไม่ใช่คลื่นยักษ์ถล่มวังมังกร คนในบ้านตีกันเองหรอกเหรอ?
อีกอย่าง ถังถังก็ยังอยู่ที่บ้านด้วย!!
มองเห็นนักเรียนทหารรับจ้างคนนั้นที่ถูกคนอื่นๆ ห้อมล้อมไว้กลางวง เล่าต่อไปว่า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง อย่าลืมสิว่าฉันเชี่ยวชาญเรื่องอะไร นี่เป็นข่าวที่ฉันสืบหามาได้เป็นเจ้าแรกเลยนะ เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้เลย
ตอนนี้รอบบ้านตระกูลเนี่ยถูกคนของอาชูร่าปิดล้อมไว้อย่างหนาแน่น กองกำลังทางฝั่งตระกูลเนี่ยทั้งหมดก็กำลังเดินทางมาแล้ว ยังมีกลุ่มทหารรับจ้างของตระกูลเนี่ยด้วย พออยู่กันครบ ก็เกิดศึกใหญ่ขึ้นได้ทุกเมื่อแล้ว!”
ดูเหมือนทหารรับจ้างคนนี้จะค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านข่าวกรอง เห็นเขาเล่าได้เป็นตุเป็นตะ ทุกคนรอบข้างต่างก็เชื่อกันแล้ว จากนั้นก็พากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังล้งเล้ง
“แม่งเอ๊ย! คนในทีมของเนี่ยอู๋หมิงแต่ละคนต่างก็วิปริตกันทั้งนั้น ไม่ผิดแน่ ตระกูลเนี่ยใช่ตระกูลที่ไปหาเรื่องได้ง่ายๆ ซะที่ไหน! อีกอย่างนะ ตระกูลเนี่ยกับอาชูร่า แต่ไหนแต่ไรมาเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง สองบ้านไม่เคยไปมาหาสู่กัน ยิ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันในแง่ผลประโยชน์ด้วย ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางผลประโยชน์ ก็ดูเหมือนว่ากลุ่มอำนาจระดับท็อปของรัฐอิสระอย่างอาชูร่ากับตระกูลเนี่ย ไม่มีทางจะตีกันได้เลยนะ!”
“ใช่แล้ว กลุ่มอำนาจทั่วไปตีกันน่ะเป็นเรื่องปกติ แต่อาชูร่ากับตระกูลเนี่ยเป็นระดับไหนกันล่ะ ถ้าพวกเขาเปิดศึกกันขึ้นมา แบบนั้นจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเลยนะ กลุ่มอำนาจน้อยใหญ่ทั่วทั้งรัฐอิสระจะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวด้วย!”
เมื่อเห็นสายตาสงสัยของคนข้างๆ นักเรียนที่เป็นคนเล่าก็ร้อนรนขึ้นมาทันที “บ้าเอ้ย ฉันสาบานเลย ถ้าหากฉันหลอกพวกนาย ฉันจะโขกหัวฆ่าตัวตายเลย พวกนายจะให้ฉันกินขี้หมาก็ยังได้! อาชูร่าเข้าปิดล้อมบ้านตระกูลเนี่ยจริงๆ ถ้าฉันหลอกพวกนายก็คือไอ้เดรัจฉาน โอเคไหม?!”
พอได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนก็หมดความคลางแคลงใจแล้ว
เห็นทีว่า อาชูร่ากับตระกูลเนี่ย จะมีเรื่องกันแล้วจริงๆ…
แต่ว่า สรุปแล้วต้นสายปลายเหตุคืออะไรกันแน่
“ตั้งแต่อาชูร่ากลับมาผงาดอีกครั้งก็อวดดีเกินไปแล้วสินะ แม้แต่ตระกูลเนี่ยก็กล้าลงมือด้วยงั้นเหรอ นั่นคือผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่แห่งรัฐอิสระเชียวนะ!”
“อาชูร่าก็ไม่ได้อ่อนแอเถอะ ฉันว่าครั้งนี้ตระกูลเนี่ยก็รับมือไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ!”
“ต่อให้ไม่อ่อนแอ ก็ไม่ควรไปหาเรื่องตระกูลเนี่ย ถ้าไม่นับตระกูลหลิงด้วย เนี่ยเสิ่นจี้สามตระกูลแน่นแฟ้นกลมเกลียวมาก โดยเฉพาะตระกูลเนี่ยนั้นยังมีสายสัมพันธ์อันซับซ้อนโยงใยในรัฐอิสระด้วย อย่าว่าแต่อาชูร่าเลย ต่อให้เป็นกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ ก็ไม่กล้าลงมือกับตระกูลเนี่ยด้วยซ้ำ ทางอาชูร่าน่ะใจกล้าเกินไปแล้ว”
“แต่อาชูร่าก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจหลักของคุกคนบาปนะ นี่เป็นศึกพยัคฆ์ปะทะมังกรแล้ว”
————————————————————————-
บทที่ 2070 ประสาทกลับอะไรขึ้นมา
“อยู่ดีๆ ทำไมถึงตีกันขึ้นมาล่ะ”
….
ทางตัวเยี่ยหวันหวั่นก็อยากรู้มากเหมือนกัน
ตอนนี้ เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วแน่น อาชูร่าเปิดศึกกับตระกูลเนี่ยงั้นเหรอ
เพราะอะไรกัน?!
เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของเยี่ยหวันหวั่นแทบจะในทันที
เนี่ยอู๋หมิง…
คงไม่ใช่ว่าพี่ชายสุดห่วยคนนั้นของตัวเอง แจ้นไปออกไปก่อเรื่องขึ้นมา แถมคราวนี้ยังไปหาเรื่องอาชูร่างั้นเหรอ
เพียงแต่ พอเยี่ยหวันหวั่นคิดดูอย่างละเอียด ด้วยนิสัยโผงผางของเนี่ยอู๋หมิงแล้ว หากสู้กับอาชูร่าขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคงบุกเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของอาชูร่าแล้วท้าตีกับคนของอาชูร่าไปตรงๆ อาฆาตอะไรแค้นอะไร เนี่ยอู๋หมิงแทบจะอธิบายออกมาอย่างซึ่งหน้าจนหมดเปลือก เป็นไปไม่ได้ที่จะลากลงคลองมาแบบนี้ แถมยังเกี่ยวพันไปถึงตระกูลเนี่ยทั้งตระกูลอีก
“ครั้งนี้อาชูร่าไม่ค่อยมีเหตุผลเกินไปแล้ว หาเรื่องใครดันไม่หา ดันไปหาเรื่องตระกูลเนี่ย”
“ใช่แล้ว ในสี่ตระกูลใหญ่ ที่ไม่ควรไปหาเรื่องที่สุดคือตระกูลเสิ่น รองลงมาคือตระกูลเนี่ย โดยเฉพาะตระกูลเนี่ยมีเนี่ยอู๋หมิงอยู่ ในปีนั้นเนี่ยอู๋หมิงมีชื่อเสียงพอๆ กับสวะหมาเลย ทั่วทั้งรัฐอิสระ มีแค่คุณชายใหญ่ตระกูลเนี่ยที่สามารถต่อกรกับสวะหมาได้ อาชูร่าจะไปหาเรื่องคนแบบนี้ทำไมกันนะ”
“จริงด้วย คุณชายใหญ่ตระกูลเนี่ยได้รับฉายาว่ายอดฝีมือไร้พ่ายแห่งรัฐอิสระเลยนะ!”
“นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้คุณชายใหญ่ตระกูลเนี่ย เอาแต่หลอกกินหลอกดื่มทั้งวัน รักเงินยิ่งชีพ ฉันว่าตระกูลเนี่ยคงใกล้จะล่มสลายแล้ว เขาคงแค่อยากจะหาเงินจากตระกูลเนี่ยแล้วเชิดหนีไป…”
เยี่ยหวันหวั่นมองไปที่กลุ่มคน ใบหน้าสั่นสะท้านไปพักหนึ่ง พวกเขาเข้าใจอะไรเนี่ยอู๋หมิงผิดไปหรือเปล่า พวกเขารู้จักเนี่ยอู๋หมิงจริงๆ เหรอไง…
พี่ชายของตัวเองไอ้แกร่งน่ะแกร่ง แต่…สมองไม่ได้เรื่อง เรียกง่ายๆ คือโง่จะตายชัก ถ้ายังหวังให้เนี่ยอู๋หมิงมอบความยิ่งใหญ่ให้ตระกูลเนี่ยอีก แบบนั้นคาดว่าตระกูลเนี่ยคงล่มจมไปนานแล้ว
จากนั้น เยี่ยหวันหวั่นจึงเดินเข้าไป
“เพื่อนนักเรียนคนนี้ ที่นายพูดเมื่อกี้เป็นความจริงเหรอ ข่าวแน่ชัดแล้วใช่ไหม?”
ใบหน้าดุดันชวนให้คนผวาพลันยื่นเข้ามา ทำให้ทหารรับจ้างคนนั้นสะดุ้งโหยง จากนั้นก็จำได้ว่านี่คือคนดังสุดฮอตในช่วงนี้ของโรงเรียนชื่อเยี่ยน “เยี่ยหวันหวั่น…เธอนั่นเอง! ข่าวนี้ถูกต้องแล้วแน่นอน อีกอย่างเรื่องก็ใหญ่โตขนาดนี้ ปิดไม่มิดหรอก อีกไม่นานทุกคนคงรู้กันทั่วแล้ว!”
ฟังจากน้ำเสียงของนักเรียนแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริงไม่ผิดแน่ แต่ยังไงเธอก็ไม่มีทางเชื่อเลยว่าซือเยี่ยหานจะโจมตีกับตระกูลเนี่ยได้
เยี่ยหวันหวั่นคิดทบทวนอย่างละเอียด ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ซือเยี่ยหานประสาทกลับอะไรขึ้นมา ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน ก็กล้าจองหองใส่บ้านแม่ยายขนาดนี้แล้วเหรอ
จากนั้น เยี่ยหวันหวั่นก็ต่อสายหาเนี่ยอู๋หมิง
“ว่าจ้างทำภารกิจโปรดกดหนึ่ง”
“งานอื่นๆ กดสอง”
“ว่าจ้างเนี่ยอู๋หมิงคนเดียวคิดเงินเพิ่มหนึ่งเท่า ว่าจ้างทั้งทีมของเนี่ยอู๋หมิงก็คิดเพิ่มหนึ่งเท่าเหมือนกัน”
“ถ้าไม่มีเงินโปรดกดวางสาย ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”
เยี่ยหวันหวั่นผงะไป…
นี่มันอะไรกัน เสียงรอสายบ้าบออะไรเนี่ย
รออยู่นาน เนี่ยอู๋หมิงก็ไม่รับสาย ทนฟังเสียงรอสายบ้าๆ นี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ เยี่ยหวันหวั่นจึงได้แต่ยอมแพ้
….
ในขณะเดียวกัน ทางบ้านตระกูลเนี่ย
นอกประตูมเต็มไปด้วยคนของอาชูร่า กำลังเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดของตระกูลเนี่ยอย่างตึงเครียด
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกประตูบ้านตระกูลเนี่ย ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดแล้ว แววตาที่เยียบเย็นเข้าไปถึงกระดูก เสมือนไม่อาจควบคุมสัญชาตญาณสัตว์ร้ายได้อีก คล้ายต้องการจะเขมือบกลืนทุกอย่าง กินลงไป ฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ
เวลานี้ ผู้แข็งแกร่งที่ปกติแล้วจะลอบคุ้มกันบ้านตระกูลเนี่ยอย่างลับๆ ทยอยปรากฏตัวออกมาแล้ว ผู้อาวุโสผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนกว่าสิบคนที่ไม่ทราบเช่นกันว่าโผล่มาจากไหน ก็มายืนอยู่ที่หน้าบ้านตระกูลเนี่ยแล้ว