เล่มที่ 34 เล่มที่ 34 ตอนที่ 1000 โปรดคิดถึงความรู้สึกคนโสดบ้าง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เยี่ยโยวเหยาไม่ตอบคำถามของอู๋จุน ทว่าส่งสัญญาณเตือนอู๋จุนว่าอย่าเข้าใกล้ซูจิ่นซี จากนั้นเขาจึงไม่เข้าใกล้ซูจิ่นซีอีก ทำได้เพียงนั่งไขว้ขาอยู่ข้างๆ และหลับตารอให้ซูจิ่นซีตื่น

ในขณะที่ตงหลิงหวงถูกดูดเข้าสู่อาคมกำไลปี่อั้น ความกังวลที่นางมีต่อซูจิ่นซีได้ปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ เพราะนางรู้ว่าซูจิ่นซีไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายแต่อย่างใด

ถูกต้อง ซูจิ่นซีไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นอย่างที่เยี่ยโยวเหยาคาดไว้ นางเรียกตงหลิงหวงเข้าสู่อาคมกำไลปี่อั้น

ตงหลิงหวงรู้สึกเหมือนโลกหมุนอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็สงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว นางลืมตาขึ้น ไม่คาดคิดว่าเบื้องหน้าจะกลายเป็นห้องลับที่นางพบมู่หรงฉีก่อนหน้านี้

เมื่อมองแวบแรก นางก็เห็นมู่หรงฉีนอนอยู่บนเตียง

“มู่หรงฉี… ”

น้ำตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของตงหลิงหวงไหลพรากลงทันที จากนั้นจึงรีบเดินไปหามู่หรงฉี

มู่หรงฉีนอนสงบอยู่บนเตียง หากตรวจไม่พบลมหายใจของเขา ผู้คนคงคิดว่าเขาหลับอยู่เป็นแน่

ตงหลิงหวงตรวจดูอย่างระมัดระวังจึงรู้สึกโล่งใจ หลังจากยืนยันได้ว่าปลอดภัย ทว่าความเจ็บปวดภายในใจกลับไม่อาจบรรเทาลงได้

“มู่หรงฉี เจ้าจะกลับมาเมื่อใด? เจ้าจะให้ข้ารออีกนานเพียงใด? มู่หรงฉีลุกขึ้นมา? ลุกขึ้นมาคุยกับข้าได้หรือไม่? ”

“…”

“มู่หรงฉี… ข้าเกลียดเจ้า… ”

“ข้าเกลียดเจ้า… ”

ตงหลิงหวงซบตัวอยู่ข้างเตียงมู่หรงฉี และพูดคำพูดออกไปมากมาย หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เงยหน้าขึ้นมองซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ด้านข้าง

จากนั้นจึงพูดด้วยท่าทีขอโทษว่า “ขอโทษ พระชายาโยวอ๋อง เมื่อครู่ข้าตื่นเต้นมากไป ไม่ทันเห็นเจ้าอยู่ที่นี่”

“ไม่เป็นอันใด” ซูจิ่นซีก้าวไปข้างหน้าและตบไหล่ของตงหลิงหวง “อย่าเศร้าโศกไปเลย ไม่ต้องกังวล เพียงสามารถตามหาวิหารเทพซีหวังหมู่พบ พี่ชายของข้าจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”

“เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือ? ”

ตงหลิงหวงแปลกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างพากันคาดเดา แม้แต่ซูจิ่นซีก็ไม่แน่ใจว่าจะพบวิธีที่จะทำให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งในวิหารเทพซีหวังหมู่ ทว่าคราวนี้ นางรู้สึกชัดเจนว่าน้ำเสียงของซูจิ่นซีมีความมั่นใจอย่างมาก

“อืม! ” ซูจิ่นซีพยักหน้าอย่างหนักแน่น

ตงหลิงหวงรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง แม้นางจะไม่รู้ชัดเจน ทว่าน้ำตากลับไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

นางเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าด้วยมือเปล่าและยิ้มกับตนเอง “ทำให้พระชายาโยวอ๋องต้องหัวเราะเยาะแล้ว”

ซูจิ่นซีส่ายศีรษะและยกยิ้มเล็กน้อย “ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าได้อย่างไร? ” นางพูดพลางมองมู่หรงฉีที่นอนอยู่บนเตียง “เวลานี้ พี่ชายของข้ายังไม่อาจดูแลเจ้า ทว่าข้าให้เจ้าเดินทางผ่านภูเขาและฝ่าแม่น้ำอันตราย ทั้งยังทำให้เจ้าต้องทนลำบากไปแล้ว”

ตงหลิงหวงคิดว่า มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ถึงความเจ็บปวดภายในใจของตน ทว่านางไม่ต้องการให้ซูจิ่นซีเจ็บปวด ในขณะที่นางพูดคำพูดเหล่านี้ออกไป มันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่ดิ้นรนขัดแย้งในค่ำคืนที่มืดมิดไร้จุดสิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม ตงหลิงหวงไม่ได้พูดสิ่งใด

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันกลับมาพูดว่า “น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่อาจรักษาร่างกายของแม่นางเยวี่ยหลีไว้ได้ มิฉะนั้น หากหาวิหารเทพซีหวังหมู่พบ บางทีนางอาจมีโอกาสมีชีวิตรอดกลับมาอีกครั้ง”

ซูจิ่นซีถอนหายใจยาวแล้วกล่าวว่า “ช่างเถิด อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ในฐานะคนของเผ่าเม้ย นี่เป็นความรับผิดชอบที่นางต้องแบกรับ สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ หากล่าช้า เกรงว่าพวกเราทุกคนจะออกไปไม่ได้”

ซูจิ่นซีพูดพลางเดินออกจากห้องลับ

ทว่าตงหลิงหวงกลับไม่เคลื่อนไหว ตอนที่ซูจิ่นซีเดินถึงประตู จู่ๆ นางก็พูดขึ้นว่า “พระชายาโยวอ๋อง แม่นางเยวี่ยหลีกลับมาไม่ได้จริงๆ หรือ? ”

ซูจิ่นซีหยุดฝีเท้า ทว่าไม่หันหลังกลับไปและไม่ได้ตอบคำถามของตงหลิงหวง ครู่หนึ่งจึงเดินต่อไป

หลังจากอาคมกำไลปี่อั้นดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีแล้ว ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงก็ออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น

อู๋จุนรู้สึกดีใจ เขาลุกขึ้นจากพื้น “เยี่ยมมาก แม่นางพิษน้อย รัชทายาทตงเฉิน ในที่สุดพวกเจ้าก็ออกมาแล้ว”

เดิมทีเขาอยากจะพุ่งเข้าไปกอดซูจิ่นซี ทว่ายังไม่ทันเข้าไปใกล้ จู่ๆ ก็นึกถึงคำเตือนของเยี่ยโยวเหยา เขาจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ทำเพียงแค่หัวเราะคิกคัก

เยี่ยโยวเหยาลืมตาและยืนขึ้น ดวงตาจับจ้องไปที่ซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากและกอดเยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านอ๋องเป็นห่วง”

เยี่ยโยวเหยาไม่พูดสิ่งใด ทว่ากอดซูจิ่นซีแน่นยิ่งขึ้น

“บัดซบ ยังไม่ทันไรก็แสดงบทรักกันแล้ว” อู๋จุนเตะม้านั่งหินข้างๆ แล้วพูดว่า “รบกวนคิดถึงความรู้สึกของคนโสดบ้างได้หรือไม่? ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” ตงหลิงหวงพลันหัวเราะ จากนั้นจึงยืนขึ้น

“เห็นรัชทายาทตงเฉินดีใจเช่นนั้น เมื่อครู่คงได้พบกับมู่หรงฉีแล้วกระมัง” อู๋จุนกล่าว

ตงหลิงหวงไม่ตอบสิ่งใด ทว่าแก้มของนางกลับแดงระเรื่อ ซึ่งอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนแล้ว

“เอาเถิด อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องเหล่านี้” อู๋จุนพูด “แม่นางพิษน้อย พบวิธีฝ่าด่านนี้หรือไม่? เมื่อครู่พวกเราเห็นอาคมกำไลปี่อั้นของเจ้าดูดพลังวิญญาณของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีไปหมดแล้ว ณ เวลานี้ ดอกบัวนั้นไม่ต่างอันใดกับศิลาธรรมดาแล้ว”

อู๋จุนพูดพลางเตะกลีบดอกบัวศักดิ์สิทธิ์กลีบหนึ่ง

ทันใดนั้น กลีบดอกบัวก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เห็นได้ชัดว่ากลีบดอกที่เหลือก็ไม่ต่างจากกลีบนี้

“ถูกต้อง! ” ตงหลิงหวงก็มีความกังวลเล็กน้อย “ที่นี่มีดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชัดเจนว่าการฝ่าด่านนี้จะต้องอาศัยพวกมัน ทว่าตอนนี้มันไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราจะฝ่าด่านนี้ไปได้อย่างไร? ” เมื่อครู่ ขณะที่อาคมกำไลปี่อั้นเพิ่มระดับขั้น มันได้ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับความคาดหมาย?พวกเราไม่สามารถออกไปได้แล้วใช่หรือไม่?

หากไม่สามารถออกไปได้ ก็ไม่มีโอกาสค้นหาวิหารเทพซีหวังหมู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น มู่หรงฉีก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ และนางก็ไม่มีโอกาสกลับไปแคว้นตงเฉินได้อีกแล้ว

“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น” ซูจิ่นซีพูดอย่างหนักแน่น

“ไม่มีทางหรือ?” อู๋จุนพูดอย่างงุนงง “แม่นางพิษน้อย เจ้ายังมีวิธีใดที่จะฝ่าด่านนี้อีกหรือ? โอ้ เจ้าทำให้พี่จุนร้อนใจจะตายอยู่แล้ว ช่วยอธิบายให้กระจ่างได้หรือไม่?”

“แม้กลีบของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีจะไม่มีประโยชน์แล้ว และไม่ต่างจากหินธรรมดา ทว่าแก่นหัวใจของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์กลับยังคงใช้ได้อยู่”

ขณะที่ซูจิ่นซีพูด นางค่อยๆ ยกแขนขึ้น และเล็งอาคมกำไลปี่อั้นไปที่ใจกลางของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์

ทันใดนั้น ลำแสงที่กระจายออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น ก็สะท้อนไปที่แก่นหัวใจของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์

ดวงตาของเยี่ยโยวเหยา ตงหลิงหวง และอู๋จุนพลันเปล่งประกาย

หลังจากนั้นไม่นาน รอจนถึงตอนที่ซูจิ่นซีดึงมือกลับ แก่นหัวใจของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ยังคงแสดงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง

“แม่นางพิษน้อย เจ้าเก่งกาจเหลือเกิน” อู๋จุนกล่าวยกย่อง

“ช่างอัศจรรย์อย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ถูกดูดจนหมดสิ้นและกลีบดอกบัวก็กลายเป็นหิน ทว่าแก่นหัวใจของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ยังคงไม่แตกสลาย ดึงพวกมันออกมาก็เหมือนกับหินก้อนเดียวกันมิใช่หรือ?” ตงหลิงหวงถาม

“ไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน” ซูจิ่นซีกล่าว “นี่คือสิ่งที่ข้าค้นพบหลังจากเพิ่มระดับขั้นอาคมกำไลปี่อั้น ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีทำจากศิลาศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่เหลือจากตอนที่เทพหนี่ว์วาผนึกฟ้าสร้างแผ่นดินโลก และหัวใจดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ควบแน่นจากแก่นแท้ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ระหว่างสวรรค์และโลก โดยไม่มีที่มาและไร้รากกำเนิด”

“เช่นนี้กล่าวได้ว่า แก่นหัวใจของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่าศิลาศักดิ์สิทธิ์ห้าสีนี้เสียอีก” ตงหลิงหวงกล่าว

“ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนั้น” ซูจิ่นซีตอบ

“สิ่งนี้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนในใต้หล้าต่างแย่งชิงกันตลอดมา หากให้คนที่มีความคิดชั่วร้ายครอบครองแล้ว เกรงว่าผลลัพธ์จะดีหรือร้ายนั้นยากจะคาดเดา”

ทุกคนต่างคิดเช่นนั้น

อู๋จุนพูดว่า “แม่นางพิษน้อย เหตุใดเจ้าไม่เก็บเอาแก่นหัวใจดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นี้ไปด้วย!”

“แน่นอน ต้องเก็บมันไว้” ซูจิ่นซีพูดอย่างภาคภูมิใจ “จะให้ข้ามองดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้อย่างไร?”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พี่จุนรู้ดี ใจของเจ้านั้นดำยิ่งนัก”

“ทว่าพระชายาโยวอ๋อง แก่นหัวใจของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นี้เกี่ยวอันใดกับวิธีการฝ่าด่านของพวกเรา? พวกเราจะค้นหาวิหารเทพซีหวังหมู่ได้อย่างไร?”