บทที่ 909 โลกเบื้องบนเคลื่อนไหว

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

เย่เจียงไห่ เมื่อถูกโยนเข้าไปที่กลางท้องพระโรงเขาก็ได้เห็นว่าที่ด้านในมีคน 3 คนกำลังจ้องเขาอยู่ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก

ขนาดกิเลนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูยังมีความแข็งแกร่งขอบเขตเทวะราชา แล้วคนเหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งระดับไหนกัน?

ยิ่งไปกว่านั้น หลิงตู้ฉิงคือสมาชิกของตำหนักไร้หทัยงั้นเหรอ? ว่าแต่เขาอยู่ตำแหน่งอะไรกัน? และใครกันที่เป็นเจ้าตำหนักแห่งนี้?

“ผู้เยาว์ขอคารวะเหล่าผู้อาวุโส” เย่เจียงไห่คุกเข่าคารวะ

อย่างก็ตามคนทั้งสามกลับไม่ได้ใส่ใจเย่เจียงไห่เลย พวกเขากลับเอาแต่พุ่งความสนใจไปที่จี้หยก ซึ่งกำลังลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขาแทน

จี้หยกชิ้นนี้ไม่มีข้อมูลใด ๆ อยู่ภายในแม้แต่น้อย แต่มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายของหลิงตู้ฉิง ซึ่งเต็มไปด้วยพลังแห่งอารมณ์ ดังนั้นแค่ข้อมูลเพียงเท่านี้มันก็พอที่จะบ่งบอกอะไรได้มากมายกับพวกเขา

หลังจากตรวจสอบจี้หยกได้สักพัก ต้วนฉิง ศิษย์คนโตของหลิงตู้ฉิงจึงพูดกับเย่เจียงไห่ว่า “จงลุกขึ้นและแสดงให้ข้าเห็นข้อมูลของอาจารย์ข้าที!”

หัวใจของเย่เจียงไห่แทบจะหลุดออกจากอกเมื่อเขาได้ยินคำเรียกของต้วนฉิงที่ใช้เรียก หลิงตู้ฉิง

มิน่าล่ะทำไมเขาถึงไม่เคยเอาเปรียบหลิงตู้ฉิงได้เลยตั้งแต่รู้จักกันมา ที่แท้หลิงตู้ฉิงกลับเป็นตัวตนที่เหนือกว่าเขาราวฟ้ากับเหวไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือชีวิตที่แล้ว!

เย่เจียงไห่ไม่กล้าละเลยคำสั่งของต้วนฉิงแม้แต่น้อย เขารีบแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ของหลิงตู้ฉิงให้กับต้วนฉิงเห็นทันที รวมไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนถล่มสำนักเงินตราเขาก็เผยให้เห็นเช่นกัน

ชายสองคนมองภาพเหตุการณ์ที่หลิงตู้ฉิงถล่มสำนักเงินตราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ในทางกลับกัน หญิงสาวกลับแสดงสีหน้าเพลิดเพลินเพราะสิ่งที่นางสนใจไม่ใช่ความแข็งแกร่งของหลิงตู้ฉิงว่ามีเท่าไหร่ สิ่งที่นางสนใจก็คือเหตุผลในการกระทำของหลิงตู้ฉิง

หลังจากผ่านไปสักพัก ต้วนฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะพอได้แล้ว ในเมื่อเจ้ามีวาสนาพอที่จะมาถึงที่นี่ได้ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าได้อยู่ที่นี่เพื่อบ่มเพาะ เพราะด้วยความสัมพันธ์ของเจ้าที่มีต่อเราหากข้าปล่อยเจ้าออกไปตอนนี้เจ้าคงมีชีวิตอยู่รอดได้ไม่ถึง 1 ก้านธูปแน่ เอาล่ะจงไปบ่มเพาะตามสบาย หลังจากที่เจ้าทะลวงขอบเขตขึ้นไปถึงขอบเขตจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เจ้าถึงจะสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้อีกครั้ง”

แต่ก่อนที่ต้วนฉิงจะส่งเย่เจียงไห่ออกไป หญิงสาวก็เอ่ยแทรกขึ้นก่อนว่า “รอก่อนศิษย์พี่ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเขาเพิ่มอีกหน่อย”

ต้วนฉิงพยักหน้า “เจ้าพาเขาไปคุยข้างนอกก็แล้วกัน”

หญิงสาวพยักหน้า จากนั้นนางจึงพาเย่เจียงไห่ออกไป

เมื่อเหลือกันอยู่แค่สองคน จิ๋นหลง ศิษย์น้องของต้วนฉิงเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านก็เห็นแล้วว่าท่านอาจารย์เปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้วทำไมท่านยังคงดึงดันอยู่ในเส้นทางเดิมต่อ?”

ต้วนฉิงครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าสามารถไปถึงระดับที่ท่านอาจารย์เคยไปถึงเมื่อชีวิตที่แล้วได้รึเปล่า?”

จิ๋นหลงไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกเป็นอย่างดีว่ามันคงไม่มีทาง

ต้วนฉิงส่ายหัว “ถึงแม้ว่าในตอนนี้ข้าจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเทพ ซึ่งมีไม่กี่คนที่สามารถรับมือข้าได้ แต่ข้าก็รู้ตัวเองดีว่าข้าคงไม่สามารถพิสูจน์เต๋าของข้าได้สำเร็จ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกหากข้าจะเปลี่ยนเส้นทางของตัวเอง”

“และอีกอย่างถึงแม้ว่าข้าจะเดินตามเส้นทางเดียวกับท่านอาจารย์ในอดีต แต่ข้าเองก็ไม่ได้ไร้หัวใจเหมือนกับท่านอาจารย์ไปซะทั้งหมด และที่สำคัญไปกว่านั้น ข้าจำเป็นต้องปกป้องตำหนักไร้หทัยแห่งนี้ไปจนกว่าท่านอาจารย์จะกลับมา ดังนั้นต่อให้ข้าอยากจะเปลี่ยนเส้นทางข้าก็คงทำอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอก”

จิ๋นหลงถอนหายใจ “ข้าไม่อยากให้ท่านลำบากมากเช่นนี้เลยพี่ใหญ่”

ต้วนฉิงเผยรอยยิ้มที่หาดูยากและตอบกลับ “ไม่เลย ความลำบากเช่นนี้มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราผู้บ่มเพาะจำเป็นต้องเผชิญอยู่แล้ว ว่าแต่พวกเจ้าทั้งสองคนเถอะเตรียมตัวกันให้ถูกก็แล้วกัน เมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องเจอหน้ากับท่านอาจารย์ มันน่าจะอีกไม่นานที่เขาจะมาถึงที่นี่!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิ๋นหลงแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนทันทีเพราะเขาเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเขาเจอกับหลิงตู้ฉิง เขาจะทำตัวยังไง!

อีกด้านหนึ่ง เมื่อถูกลากตัวออกมาจากท้องพระโรง เย่เจียงไห่ก็โดนเสี่ยวเฟิงยิงคำถามทันที “ไหนเจ้าเล่ามาให้หมดว่าเจ้ารู้จักกับเขาได้ยังไง และเล่ามาให้หมดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ห้ามปิดบังข้าแม้แต่ครึ่งคำ!”

เย่เจียงไห่รีบเล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงที่เขารู้ให้กับเสี่ยวเฟิงฟังทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาได้ยินจากคนอื่นมาหรือประสบการณ์ตรงที่เขาได้สัมผัสเอง ซึ่งทางด้านของเสี่ยวเฟิงก็ฟังอย่างตั้งใจไม่ปล่อยให้ข้อมูลใด ๆ เล็ดรอดไปเลยแม้แต่น้อย

“ในเมื่อเจ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ งั้นข้าจะดูแลเจ้าเอง เจ้าบ่มเพาะเต๋าแห่งไฟ ดังนั้นข้าจะส่งเจ้าไปที่สระเพลิงเทวะเพื่อให้เจ้าบ่มเพาะที่นั่นสัก 1,000 ปี ซึ่งประโยชน์ที่เจ้าจะได้รับมีมากขนาดไหนมันขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองล้วน ๆ”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวเฟิงส่งตัวของเย่เจียงไห่ไปที่สระเพลิงเทวะทันที

หลังจากนั้นนางจึงเดินกลับไปหาต้วนฉิงที่ท้องพระโรงและพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนนี้เผ่าอสูรรู้แล้วว่าท่านอาจารย์อยู่ที่โลกเบื้องล่าง ซึ่งพวกมันจะต้องส่งใครสักคนลงไปลอบทำร้ายท่านอาจารย์แน่นอน พวกเราควรจะลงมือแทรกแซงดีไหม?”

ต้วนฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็น การที่ท่านอาจารย์เปิดเผยตัวเช่นนี้แสดงว่าท่านอาจารย์ตั้งใจเอาไว้อยู่แล้ว และเขาน่าจะมีแผนอะไรบางอย่าง ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องความปลอดภัยของท่านอาจารย์ และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าอย่าลืมว่าง้าวเทวะพินาศก็อยู่ที่โลกเบื้องล่างกับท่านอาจารย์ด้วยเช่นกัน!”

เสี่ยงเฟิงยังคงแสดงสีหน้ากังวลและพูดว่า “แต่ว่าข้าก็ยังกังวลอยู่ดี ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของท่านอาจารย์ยังคงต่ำอยู่ ซึ่งไม่อาจใช้อำนาจของง้าวเทวะพินาศได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นหากพวกเขาเจอกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักพรรดิศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากแน่นอน”

“ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักพรรดิศักดิ์สิทธิ์?” จิ๋นหลงพ่นลมหายใจ “เสี่ยวเฟิง เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าในอดีตพวกเราต้องจ่ายราคาไปมากขนาดไหนกว่าที่พวกเราจะส่งท่านอาจารย์พร้อมกับเด็ก ๆ เหล่านั้นลงไปยังโลกเบื้องล่างได้?”

“เจ้าคิดว่าโลกเบื้องล่างไม่มีกฎสวรรค์คอยกำหนดอยู่รึไง? ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักพรรดิศักดิ์สิทธิ์ขืนลงไปยังโลกเบื้องล่างอย่าว่าแต่จะได้ทำอะไรท่านอาจารย์เลย แค่เขาลงไปเหยียบที่นั่นเขาก็ถูกกฎของโลกและสวรรค์ขยี้จนแหลกแล้ว ไม่สิอย่าว่าแต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักพรรดิศักดิ์สิทธิ์เลยเอา แค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญ การลงไปที่นั่นก็ยังนับว่ายากลำบาก แล้วด้วยการดำรงอยู่ของง้าวเทวะพินาศผู้เชี่ยวชาญขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญจะนับเป็นตัวอะไรได้? เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้กังวลอะไรให้มากนัก ตอนนี้สิ่งที่พวกเราควรสนใจก็คือเมื่อไหร่ท่านอาจารย์จะขึ้นมาบนนี้มากกว่า”

เสี่ยวเฟิงครุ่คิดอยู่สักพัก จากนั้นนางจึงพยักหน้าเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันบรรดากองกำลังฝ่ายอื่น ๆ กลับอยู่ไม่สุขและเริ่มเคลื่อนไหว

บนยอดเขาเต๋าเทวะ เจ้าแห่งพรตเต๋าเรียกศิษย์ของเขาผู้หนึ่งเข้ามาและพูดว่า “ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ข้ามีบางสิ่งจะเปิดเผยต่อเจ้า ในเวลานี้ศิษย์น้องของเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกเบื้องล่างและได้กลายเป็นผู้นำของสำนักเต๋าสวรรค์เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามช่วงเวลาแห่งการแข่งขันของยุคนี้มันออกจะไม่ปกติสักหน่อย ดังนั้นข้าอยากจะให้เจ้าลงไปที่นั่นเพื่อไปทำให้แน่ใจว่านางจะกลับขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย”

“ท่านอาจารย์ ด้วยระดับการบ่มเพาะของข้าตอนนี้ข้าไม่มีทางลงไปได้ด้วยตัวเองแน่นอนข้าจำเป็นต้องแบ่งร่างของตนเอง ซึ่งร่างแยกของข้าคงมีระดับความแข็งแกร่งอยู่ที่พอ ๆ กับผู้สำเร็จเต๋า ซึ่งอย่างมากที่สุดร่างแยกของข้าก็สามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้เต็มที่แค่ขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญขั้นต้น และด้วยการที่มันเป็นร่างแยกความแข็งแกร่งของมันจึงเทียบไม่ได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญแท้ ๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยทำไมท่านอาจารย์ถึงไม่ส่งใครสักคนที่อยู่ในขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญจริง ๆ ไป ข้าไม่เข้าใจ?”

เจ้าแห่งพรตเต๋าส่ายหัวและพูดว่า “ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญสามารถลงไปได้ก็จริง แต่เขาจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ทันทีหากเขาลงไป แต่ถ้าหากเป็นร่างแยก อำนาจที่เจ้าปลดปล่อยได้มันจะไม่ถึงกับระดับของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญ ซึ่งมันทำให้สวรรค์อนุญาตให้เจ้าลงไปได้ เอาล่ะจงเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ ข้าจะส่งเจ้าลงไปในทันทีเมื่อเจ้าเตรียมตัวเสร็จ”

ศิษย์ของเจ้าแห่งพรตเต๋าได้แต่พยักหน้าและตอบกลับ “รับทราบ!”

จากนั้นเขาจัดการแบ่งวิญญาณของตนเองออกไปเสี้ยวหนึ่ง ซึ่งมันดวงวิญญาณที่ถูกแบ่งออกไปมันก็ค่อย ๆ กลายร่างเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างอะไรจากเขาเลยแม้แต่น้อย

เจ้าแห่งพรตเต๋าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาจัดการส่งร่างแยกของศิษย์ตนเองลงไปยังโลกเบื้องล่างทันที จากนั้นเขาหันไปพูดกับศิษย์ของเขาเองว่า “ตัวเจ้าเองตอนนี้จงไปปิดด่านบ่มเพาะก่อน!”