บทที่ 2109 เป่ยโต่วและชีซิงในสมัยนั้น
คบเพลิงในมือของหนูน้อย เมื่ออยู่ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดมาดูคล้ายจะมอดดับลงได้ทุกเมื่อ
หนูน้อยกวัดแกว่งคบเพลิง ก้าวถอยหลังไป ถอยไปจนถึงตัวของเด็กชาย ถึงได้มองเห็นหน้าตาของเด็กชาย
ดวงตาคู่โตนั้นดูมีชีวิตชีวามาก ผิวขาวเนียน แต่น่าเสียดายที่ตรงหางตาถูกข่วนจนเป็นแผล เพียงแต่ โชคดีที่ไม่ได้ข่วนโดนลูกตา ประกอบกับอากาศหนาวเย็น น่าจะไม่มีอันตรายอะไร
“พวกเราเดินเข้าไปที่ถ้ำกัน มีคุณตาของฉันอยู่…”
หนูน้อยเอ่ยพลางมองเด็กชาย
“ฉัน…ฉันเดินไม่ไหวแล้ว…” เด็กชายส่ายหน้า คิดจะลุกขึ้นมา แต่กลับไม่เป็นผล
หนูน้อยย่อตัวลงทันที มือข้างหนึ่งคว้าแขนของเด็กชายไว้ มืออีกข้างถือคบเพลิงกวัดแกว่งใส่หมาป่าที่พร้อมจะโผเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ
“อู๋โยว”
ทันใดนั้น ชายชราก็ย่างเท้าเดินออกมาจากด้านในถ้ำ มองหนูน้อยอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
“คุณตารีบช่วยพวกเราทีค่ะ!”
พอมองเห็นชายชรา หนูน้อยก็มีท่าทางตื่นเต้น
ชายชราไม่พูดมากอีก รีบสาวเท้าเข้าไปอยู่ข้างกายหนูน้อย
มองเห็นหมาป่าคำรามเสียงต่ำๆ แล้วกระโจนเข้าใส่ชายชรา
‘ฟิ้ว!’
เห็นชายชราตวัดขาออกไปทีหนึ่ง เตะหมาป่ากระเด็นออกไปกว่าสิบเมตร ฟุบอยู่บนพื้น และเงียบสนิทไปแล้ว
“กลับเถอะ”
ชายชรายื่นมือไปอุ้มเด็กหญิงเข้าสู่อ้อมแขน
“คุณตา มีเขาด้วย…” หนูน้อยชี้ไปที่เด็กชาย
ชายชราเหลือบมองเด็กชายแวบหนึ่ง จากนั้นก็อุ้มเด็กชายขึ้นมาด้วย และพาเข้าไปในถ้ำ
….
“นายชื่ออะไรน่ะ” หนูน้อยมองเด็กชายตัวน้อยพลางเอ่ยถาม
พอเด็กชายได้ยินก็ส่ายหน้า
“นายมาอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง พ่อแม่ของนายล่ะ” หนูน้อยยังคงถามต่อ
เด็กชายจมลงสู่ความเงียบงัน คล้ายจะไม่อยากจะตอบคำถามนี้
“คุณปู่…ผมขอไปกับพวกคุณด้วยได้ไหม ผมไม่มีบ้าน…”
ผ่านไปเนิ่นนาน เด็กชายที่เงียบมาโดยตลอด จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
“คุณตา…”
หนูน้อยจ้องมองชายชรา พลางเขย่าแขนของชายชราไม่หยุด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชราก็หลับตาลง แล้วตอบเสียงเรียบๆ ว่า “อืม”
ในเวลานี้ เยี่ยหวันหวั่นมองไปที่เด็กชายคนนั้น เด็กชายคนนี้…หรือว่าจะเป็นผู้นำคนปัจจุบันของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์
รอยแผลเส้นหนึ่งตรงหางตานั้น ดูเหมือนจะบ่งบอกตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว
เยี่ยหวันหวั่นไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ที่แท้ตัวเองกับผู้นำคนปัจจุบันของกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์ ยังมีความเกี่ยวข้องกันแบบนี้ด้วย
เพียงแต่ เยี่ยหวันหวั่นกลับไม่เข้าใจเลยว่า ทั้งที่มีความเกี่ยวข้องกันแบบนี้ ทำไมหลังจากที่เด็กชายคนนี้โตขึ้นมา ถึงได้มาตามล่าตัวเองล่ะ
ในระหว่างนั้น สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ความจริงที่อยู่แค่เอื้อม กลับทำให้เยี่ยหวันหวั่นปวดหัวเหมือนจะระเบิด ดูเหมือนว่าปัญหาจะอยู่ที่ตัวเอง คล้ายว่าจะไม่อยากนึกถึงความจริงใดๆ เลย
ฉากเปลี่ยนไปในทันใด
หนูน้อยเติบโตเป็นเด็กสาว ผอมเพรียวงามสง่าแล้ว
ในย่านสลัมแห่งหนึ่ง ณ รัฐอิสระ
เด็กสาวเดินอยู่บนถนน จู่ๆ ก็ถูกเดินชนทีหนึ่ง
ไม่ไกล เด็กหนุ่มที่ค่อนข้างซอมซ่อคนหนึ่ง แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เด็กสาว กลอกตาใส่ พร้อมกับทำสีหน้ายั่วยุ
แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็วิ่งหายไปแล้ว
เด็กสาวมีสีหน้าเย็นชา ไล่ตามเด็กหนุ่มไป จนไปถึงตรอกเปลี่ยวเส้นหนึ่ง
“ฉันขโมยเงินของผู้หญิงคนหนึ่งมาได้ ฮ่าๆๆ!”
เด็กหนุ่มมองเด็กชายด้านข้างที่ท่าทางค่อนข้างขี้อาย เอ่ยพลางหัวเราะฮ่าๆ
“เป่ยโต่ว...อันตรายมากนะ…” หลังจากเด็กชายเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็เปิดปากเอ่ย
“กลัวอะไรกัน วางใจเถอะ ติดตามฉันมีเนื้อกินแน่ น่าเสียดายที่แม่ฉันสุขภาพไม่ดี พานายกลับไปที่บ้านไม่ได้ แต่นายวางใจเถอะ ถ้าฉันมีน้ำแกงซดสักคำ ก็จะมีเนื้อให้นายกินด้วย…” เด็กหนุ่มตบๆ อก
——————————————————————
บทที่ 2110 พ่อนายอาจจะตายไปแล้ว
เด็กชายที่อยู่ข้างๆ เป่ยโต่วเหนียมอายมาก มองดูเป่ยโต่วอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าให้ “ขอบใจนะ…”
“ฮึ่ม นี่นายดูถูกฉันอยู่นะ มีอะไรต้องขอบใจกัน พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ พี่น้องที่ดี ต้องสัตย์ซื่อจริงใจ ฮ่าๆๆ!”
เป่ยโต่วหัวเราะเสียงดังลั่น
“เป่ยโต่ว พ่อของนายล่ะ”
เด็กชายขี้อายเงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็ถามออกมา
พอถามจบ เป่ยโต่วที่หัวเราะเสียงดังลั่น กลับเงียบลง
ผ่านไปพักใหญ่ เป่ยโต่วถึงพูดขึ้นมา “แม่ฉันบอกว่า พ่อฉันไปยังที่ที่ไกลแสนไกลแล้ว กลับมาที่บ้านไม่ได้อีกนานแสนนาน”
“เรื่องนั้น…เกิดขึ้นประมาณช่วงไหนเหรอ” เด็กชายขี้อายถาม
“ประมาณช่วงฤดูหนาว”
เด็กชายขี้อายเงียบไปแล้ว
“ฮ่าๆ เจ้าโง่ นั่นเป็นแค่นิทานหลอกคนอื่นทั้งนั้น พ่อฉันน่าจะหนีตามเมียน้อยไปแล้ว หรือไม่ก็คงตายแล้ว แม่ฉันไม่อยากให้ฉันเสียใจถึงได้พูดแบบนั้น” น้ำเสียงของเป่ยโต่ว เจือความอ้างว้างเล็กน้อย
“อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้ นายน่ะน่าเวทนากว่าฉันซะอีก อย่างน้อยฉันก็ยังมีแม่นะ แต่พ่อแม่นายตายหมดแล้ว เฮ้อ” เป่ยโต่วเอ่ยพลางจ้องหน้าเด็กชายขี้อาย
“อื้ม...” เด็กชายขี้อายเอ่ยเสียงแผ่ว
“เลิกพูดเรื่องน่าเบื่อพวกนั้นเถอะ ฉันว่ามาดูกันเถอะว่ายัยโง่คนนั้นมีเงินอยู่เท่าไร!”
ใบหน้าเป่ยโต่วเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ใช้มือน้อยๆ ที่มอมแมมหยิบกระเป๋าเงินออกมา
“เชี่ยเอ้ย!”
ทั้งสองจ้องมองธนบัตรเป็นฟ่อนในกระเป๋าเงิน ด้วยสองตาลุกวาว
“ให้นาย!”
เป่ยโต่วหยิบออกมากว่าครึ่ง แล้วยื่นให้เด็กชายขี้อาย
“ไม่เอา…นี่เป็นของนาย ฉันไม่เอาหรอก” เด็กชายขี้อายส่ายหน้า
“ทำเป็นพวกยัยแก่จู้จี้ไปได้ ให้นายนายก็รับไว้สิ ยังเหลือพวกนี้อยู่ ฉันจะเอาไปซื้อยาให้แม่ฉัน ช่วงนี้แม่ฉันไอตลอดเลย ฉันซื้อยาแก้หวัดให้ตั้งเยอะแยะแต่ก็ไม่เห็นดีขึ้นเลย” เป่ยโต่วเอ่ย
“เอาไปรักษาคุณน้าเถอะ” เด็กชายขี้อายตอบ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปวิ่งราวอีกก็ได้ ฉันมีฝีมือด้านนี้ นายไม่มีฝีมือแบบนี้ นายเอาไปเยอะหน่อย” เป่ยโต่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เด็กชายขี้อายลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยขอบใจเป่ยโต่ว แต่ก็หยิบไปแค่ไม่กี่ใบ ส่วนที่เหลืออยู่ ไม่ว่ายังไงก็ไม่หยิบไปอีก
“ขอบใจนะ…” เด็กชายขี้อายจ้องมองเป่ยโต่ว
“ขอบใจอะไรกัน ต่อไปรอนายมีเงิน แล้วถ้าฉันไม่มีเงิน นายก็เอามาให้ฉันยืมมากๆ หน่อยแล้วกัน ถึงฉันจะรับประกันไม่ได้ก็เถอะว่ามีคืนไหม…” เป่ยโต่วคิดๆ ดูแล้วก็เอ่ยออกมา
“เป่ยโต่ว พ่อนายแซ่อะไรเหรอ…” จู่ๆ เด็กชายขี้อายก็ถามขึ้นมา
พอได้ยินคำถามนี้ เป่ยโต่วก็ผงะไปแวบหนึ่ง “ฉันแซ่เป่ย แล้วพ่อฉันจะแซ่ตงเหรอไง พ่อฉันก็ต้องแซ่เป่ยแหงอยู่แล้ว!”
“โอ้…ให้ฉันคิดก่อนนะ พ่อนายน่าจะไม่ได้หนีไปกับเมียน้อยหรอก ไม่อย่างนั้น นายก็น่าจะใช้แซ่ตามแม่สิ” เด็กชายขี้อายเอ่ยวิเคราะห์
“อืม ที่นายพูดมาก็มีเหตุผล” เป่ยโต่วพยักหน้า “ถ้างั้นพ่อของฉันเขา…”
“งั้นก็อาจจะตายไปแล้ว” เด็กชายขี้อายเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะมั่นใจมาก
เวลานี้ เป่ยโต่วจ้องมองเด็กชายขี้อายด้วยสีหน้าเลื่อนลอย “ฉันรู้สึกว่า น่าจะเอาเงินที่ฉันให้นายคืนมาซะ”
“ของที่ส่งให้แล้ว จะมาเอาคืนได้ยังไงล่ะ”
เด็กชายขี้อายยังไม่ทันได้ตอบ น้ำเสียงเสนาะหูเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังของเด็กทั้งสอง
เป่ยโต่วและเด็กชายขี้อายหันกลับไปพร้อมกันตามสัญชาตญาณ
สาวน้อยหุ่นเพรียวบาง สีหน้าเย็นชา ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยืนอยู่ข้างหลังเด็กทั้งสองแล้ว
“เหวอ ยัยผู้หญิงโง่!”
พอมองเห็นเด็กสาว เป่ยโต่วก็สะดุ้งโหยง แล้วถอยกรูดไปด้านหลังทันที
………………………………………..