ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 33 การแปรเปลี่ยน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 33 การแปรเปลี่ยน

ในสนามรบ ณ ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง

สงครามขนาดมหึมาพึ่งจะสิ้นสุดลง

เหยี่ยวยักษ์สีทองผู้ฉีกทึ้งร่างมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วในที่สุด

หลังจากเวลาแทบทั้งวันของการต่อสู้และความเสียหายเกินนับไหว เผ่ามนุษย์ก็คว้าชัยชนะมาได้อีกครั้ง

ทุ่งหญ้าแห่งนี้ถูกอาบไปด้วยเลือด ทหารทุกนายล้วนเหน็ดเหนื่อยจนต้องทรุดลงนอนนิ่งบนพื้นทันทีที่เทพอสูรถูกสังหาร พวกเขาไม่สามารถพูดได้ด้วยซ้ำ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันก็สลัดท่าทีเสแสร้งทิ้งไปจนหมดและพักผ่อนอยู่ในวัง

ร่างของซูเฉินกะพริบขณะที่กลับมายังพื้นที่แห่งนี้ ตากวาดมองไปรอบ ๆ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “หืม? พวกเจ้าเสร็จแล้วหรือ?”

“ใช่ แม้จะไม่มีเจ้า เราก็สามารถสังหารเทพอสูรตัวนี้ได้” กู่ชิงลั่วกล่าวขณะที่นางมองไปยังเขาด้วยความภาคภูมิใจ

จูเซียนเหยาและกู่ชิงลั่วมีบทบาทอันใหญ่หลวงในการเอาชนะศึกครั้งนี้ ด้วยสายเลือดบริสุทธิ์กว่าครึ่งของนาง กู่ชิงลั่วมอบการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และจูเซียนเหยาก็มีราชันจักรพรรดิอสูรอีกาอยู่ภายใต้การควบคุม ดังนั้นแล้ว พวกนางแต่ละคนจึงแข็งแกร่งพอ ๆ กับราชันจักรพรรดิอสูรเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเหตุผลที่นางสามารถพูดเช่นนั้นได้อย่างภาคภูมิใจยิ่งนัก

จูเซียนเหยาเอาบ้าง “ใช่แล้วล่ะ! เจ้าทิ้งเราไว้ให้ทำงานอย่างหนักขณะที่เจ้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียว!”

ซูเฉินพูดไม่ออกและได้แต่ส่งยิ้มอันขมขื่นให้แก่หญิงสาวทั้งสอง

โชคยังดีที่หลี่ฉงซานมอบทางออกให้เขา “แล้วที่เมืองล่องนภาเป็นอย่างไรบ้างหรือ?”

“โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนตายแล้ว วิชาศักดิ์สิทธิ์ของนิกายแห่งพระแม่ยังน่ามหัศจรรย์อยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่นั่นก็ทำให้ข้ามีโอกาสสอดส่องความลับบางส่วนของพระเจ้าได้เช่นกัน…” หลังจากที่พูดสิ่งนั้นออกมา เสียงของเขาก็เริ่มแผ่วไป

“เจ้าไม่ได้ทำลายแก่นพลังงานแห่งซาร์คหรือ?” กู่ฮุยหมิงถาม

“ใช่ ข้าต้องการเมืองล่องนภา” ซูเฉิบตอบออกมาตรง ๆ

ใช่แล้ว ซูเฉินเอาต้องการเมืองล่องนภามาเป็นของตนเอง

นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ได้ทำลายแก่นพลังงานแห่งซาร์ค และยังเป็นเหตุผลที่เขารักษาสัญญานี้กับเผ่าปักษาไว้

เขาต้องการเมืองล่องนภา!

ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีกแล้ว พลังของเมืองล่องนภานั้นไม่อาจดูหมิ่นได้ หากมีมัน เผ่าพันธุ์มนุษย์จะสามารถต่อสู้กับเทพอสูรบรรพกาลได้ง่ายยิ่งขึ้น และอาจสามารถท้าทายพระเจ้าได้เสียด้วยซ้ำ

เมื่อซูเฉินค้นพบว่าเขามีเวลาเพียง 10 ปีในการเตรียมพร้อมรับการมาของพระเจ้า เพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น แรงจูงใจในการสิ้นสุดสงครามนี้ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น

เขาจำเป็นต้องได้รับเมืองล่องนภามาอย่างแน่นอน

และต้องขอบคุณการเยี่ยมเยียนเผ่าปักษาครั้งล่าสุดของเขา ในที่สุดซูเฉินก็เข้าใจว่าสิ่งใดคือทางเลือกสุดท้ายของเมืองล่องนภา

การระเบิดตัวเอง!

หากจุดลอยต่าง ๆ สามารถระเบิดตัวเองได้ เมืองล่องนภาก็จะต้องทำได้ด้วยอย่างแน่นอน หากหยงเยี่ยหลิวกวงเห็นว่าเผ่าปักษาไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้ ก็มีแนวโน้มสูงทีเดียวเขาจะออกคำสั่งดังกล่าวและลากมนุษย์ไปสู่โลกหลังความตายกับเขาด้วย

ด้วยข้อมูลนี้ในมือ ตอนนี้ซูเฉินก็สามารถคำนึงถึงมันได้ในการวางแผนการสำหรับศึกครั้งสุดท้าย

หลังจากที่พิจารณาร่วมกับผู้นำเผ่ามนุษย์คนอื่น ๆ ชายหนุ่มก็กลับไปยังห้องฝึกตนของตัวเอง

ทันทีที่เขาเปิดประตูห้อง แสงสีทองสว่างจ้าก็พุ่งเข้ามาแยงตา ขณะที่อักขระศักดิ์สิทธิ์ส่องแสงระยิบระยับลอยอยู่กลางอากาศ

“โอ้ ดูเหมือนพวกเจ้าบางตัวจะก่อตัวสำเร็จแล้วสินะ” ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกด้วยความพึงพอใจ

โดยปกติแล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสในการสร้างอักขระศักดิ์สิทธิ์สูญเปล่า ดังนั้นจึงสร้างการเตรียมการที่เหมาะสมภายในห้องลับ และใช้วิธีการที่ใกล้เคียงกับของเทพจันทราในการสร้างอักขระศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ แต่แทนที่จะถวายพวกมันเป็นของเซ่นไหว้ ซูเฉินเลือกที่จะเก็บพวกมันไว้ใช้เอง

หลังจากที่เก็บอักขระศักดิ์สิทธิ์ใหม่เหล่านี้ไว้แล้ว ซูเฉินก็เริ่มฝึกตนด้วยพวกมันทันที เพราะเขาอยู่ในห้องลับของตัวเองอยู่แล้ว

พลังงานอมตะภายในร่างกายซูเฉินค่อย ๆ หมุนเวียนไปอย่างเชื่องช้า ทำให้เกิดความตึงเครียดมหาศาลทั้งร่างกาย เนื่องจากความเข้มข้นตามธรรมชาติของมัน

ในตอนนั้นเอง อักขระศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในกล่องข้างกายก็เริ่มเรืองแสง ราวกับกำลังตอบโต้การเคลื่อนไหวของพลังงานอมตะภายในร่างกายของซูเฉิน แล้วพวกมันทั้งหมดก็ลอยขึ้นไปในอากาศและปลดปล่อยแรงกดดันที่ทรงพลังออกมา

แรงกดดันนี้เข้มข้นจนกระทั่งห้องลับของซูเฉินซึ่งถูกสร้างขึ้นจากแก่นโลหะ หินเมฆทมิฬ และกระทั่งค่ายกลต้นกำเนิดระดับตำนาน ก็ดูเหมือนจะไม่อาจกักเก็บมันไว้ทั้งหมดได้

วังไร้ขอบเขตเริ่มส่งเสียงเบา ๆ ขณะที่เกราะป้องกันเริ่มปกคลุมมันในทันใด ศิษย์นิกายต่างคิดว่าพวกตนกำลังถูกลอบโจมตีและกระจัดกระจายไปคว้าอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ในมือ

ในตอนนั้น ซูเฉินยังคงต้านทานแรงกดดันมหาศาลที่ถูกอักขระศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยออกมา

อักขระที่เห็นนี้ดูจะถูกกระตุ้นโดยบางสิ่งขณะที่พวกมันกดดันเขาต่อไป แทบจะดูเหมือนว่าพวกมันต้องการพุ่งเข้ามาในร่างกายและกำจัดเขาเสีย

ไม่ ไม่ใช่เขา พวกมันต้องการทำลายพลังงานในร่างกายของเขาต่างหาก!

ซูเฉินสัมผัสได้ว่าอักขระศักดิ์สิทธิ์ ‘เกลียด’ พลังงานอมตะ!

ยิ่งไปกว่านั้น อักขระศักดิ์สิทธิ์หลายตัวยังถูกสร้างขึ้นจากศึกอันนองเลือด แต่ปริมาณของพลังงานอมตะที่ซูเฉินครอบครองนั้นยังจำกัดอยู่มาก อักขระศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างชัดเจน

ดังนั้นแล้ว พลังศักดิ์สิทธิ์จึงกดดันพลังงานอมตะไว้ไม่น้อย แต่ซูเฉินก็อยู่ข้างพลังงานอมตะของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด และเขาจะไม่อนุญาตให้อักขระศักดิ์สิทธิ์บุกรุกเข้ามาในร่างกายได้ง่ายดายนัก

แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหมดที่ซูเฉินทำได้มีเพียงแค่หมุนเวียนพลังงานของตนและต้านทานแรงกดดันต่อไปเท่านั้น

แต่แรงกดดันจากอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็มีแต่จะหนักหนาขึ้น พวกมันยังพยายามบุกรุกเข้ามาในร่างกายของซูเฉินและสวาปามพลังงานข้างในอย่างไม่หยุดหย่อน

สวาปาม!

สวาปาม!

สวาปาม!

ในไม่ช้า ซูเฉินก็เริ่มสัมผัสได้ถึงจิตใจที่กำลังชี้นำเหล่าอักขระศักดิ์สิทธิ์

หนึ่งในอักขระศักดิ์สิทธิ์พังการกักขังออกมาและพุ่งตรงเข้าไปร่างกายของชายหนุ่ม

“บ้าฉิบ!” ซูเฉินรู้ตัวว่าตนได้เผชิญเข้ากับปัญหาใหญ่แล้ว

อักขระศักดิ์สิทธิ์นี้ผสานตัวมันเข้ากับพลังงานอมตะในร่างของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งสองสิ่งก็เริ่มต่อสู้กันเอง

หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ อักขระศักดิ์สิทธิ์นี้จะไม่มีโอกาสเลยสักนิด อย่างไรแล้ว มันก็กำลังต่อสู้กับซูเฉินในร่างกายของเขาเอง

แต่พริบตาต่อมา อักขระศักดิ์สิทธิ์อีก 2 ตัวก็บินตามเข้าไปในร่างกายของชายหนุ่ม

อักขระศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ถูกฟื้นฟูใหม่ และพลังงานอมตะในร่างของเขาก็ถูกบังคับให้ต้องถอยหนี

ซูเฉินโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะทำได้

ในตอนนั้นเอง กู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาก็เคาะประตูห้อง “สามี สัญญาณเตือนภัยของนิกายไร้ขอบเขตและเกราะป้องกันต่างก็เริ่มทำงาน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

เมื่อซูเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็ทั้งดีใจและคำรามลั่น “เปิดใช้ค่ายกลเหมันต์ลึกลับไร้ขอบเขตแล้วเอาหุ่นเชิดทั้งหมดมาที่นี่! เร็ว!”

กู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยามองหน้ากัน ต่างคนต่างก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรู้สึกตัวและบินออกไปทำตามคำสั่งของซูเฉิน

อึดใจต่อมา นิกายไร้ขอบเขตก็ส่งเสียงดังกึกก้อง ขณะที่อีกหนึ่งค่ายกลแสนทรงพลังถูกเปิดใช้งาน

ค่ายกลเหมันต์ลึกลับไร้ขอบเขต

ค่ายกลนี้เป็นที่กล่าวขานกันว่าทรงพลังจนมันสามารถชะลอเวลาลงได้เมื่อถูกเปิดใช้งาน แน่นอนว่าคำกล่าวนี้ย่อมเกินจริง

แต่เมื่อค่ายกลที่ว่าถูกใช้งาน มันจะลดความหนาแน่นของพลังงานโดยรอบลงอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการโจมตีด้วยพลังงานต้นกำเนิดทั้งหมดที่ถูกปล่อยภายในอาณาเขตของค่ายกลจะถูกทำให้อ่อนแอลงราว ๆ 80 ส่วน ข้อเสียเดียวของค่ายกลนี้คือมันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างมิตรและศัตรู ซึ่งหมายความว่าทุกคนภายในค่ายกลจะได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงของการใช้งานค่ายกลนี้จึงเพื่อเป็นการถ่วงเวลาเท่านั้น ในการต่อสู้จริงมันมีแต่จะบ่อนทำลายนิกายไร้ขอบเขตเท่านั้น

แต่ ณ ตอนนี้ซูเฉินกำลังจะใช้ค่ายกลนี้เพื่อกีดกันอักขระศักดิ์สิทธิ์ออกไป

แม้ว่าอักขระพวกนั้นจะถูกสร้างขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่ามันจะปลอดภัยจากผลกระทบของค่ายกลนี้

แต่เมื่อต่อกรกับพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ในระดับของกฎแห่งพลัง ค่ายกลเหมันต์ลึกลับไร้ขอบเขตก็สามารถทำให้มันอ่อนแอลงได้เพียงราว ๆ 20 ส่วนเท่านั้น

แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว!

ซูเฉินรู้สึกได้ว่าแรงกดดันบนตัวเขาลดลงไปเล็กน้อย

เขาทำหน้าตาบูดบึ้ง “เจ้าอยากจะกินข้าหรือ? ข้าจะกินเจ้าก่อนน่ะสิ!”

ชายหนุ่มหมุนเวียนพลังงานอมตะในร่างกายอย่างฉุนเฉียวเพื่อตอบโต้อักขระศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนแอลงภายในร่าง แต่ซูเฉินก็สัมผัสได้ว่าขณะที่ตนกัดกร่อนพลังของอักขระศักดิ์สิทธิ์นั้น พวกมันก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ประกายสีทองของพวกมันกลับค่อย ๆ ถูกแปรเปลี่ยนเป็นรัศมีสีขาวจางที่เป็นเอกลักษณ์ของพลังอมตะแทน

อักขระกำลังถูกเปลี่ยนงั้นหรือ?

ซูเฉินยินดียิ่งนัก

ดูเหมือนว่าพลังศักดิ์สิทธิ์และพลังงานอมตะจะเป็นทั้งศัตรูและผู้ร่วมต้นกำเนิดเดียวกัน เมื่อไรก็ตามที่เผชิญหน้า พวกมันจะปะทะกันและผู้ชนะจะดูดซึมอีกฝ่ายเข้าไปอย่างสมบูรณ์

เมื่อนึกได้ดังนั้น ซูเฉินก็ได้แต่เงยหน้าปล่อยเสียงหัวเราะดังสนั่น

แต่ทันใดนั้นเอง พลังศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนก็บินเข้าไปในร่างกายของเขา

มีอักขระจำนวนมากเกินกว่าที่จะจัดการได้ ร่างกายของซูเฉินเริ่มพังทลายลงจากแรงกดดันมหาศาล กระทั่งความช่วยเหลือจากค่ายกลเหมันต์ลึกลับไร้ขอบเขตก็ต่อเวลาให้เขาได้อีกเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ในชั่วพริบตานั้นเอง จูเซียนเหยาก็กลับมา “สามี นี่หุ่นเชิดที่เจ้าต้องการ!”

นางโยนหุ่นเชิดจำนวนมากไปที่ประตูราวกับว่าพวกมันเป็นหุ่นของเล่น

ปัง!

ประตูเข้ามายังห้องลับกระเด็นเปิดออก

ทั้งหมดที่จูเซียนเหยาเห็นมีเพียงแค่แสงสีทองและอักขระหลายสิบตัวบินตรงไปยังหุ่นเชิดเบื้องล่าง

เนื่องจากเขาไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้ ซูเฉินจึงได้ขอหุ่นเชิดจำนวนหนึ่งมาเพื่อให้พวกมันสามารถแบ่งเบาแรงกดดันออกไปบ้าง ไม่นานต่อมา ประตูห้องลับก็กระแทกปิดลงอีกครั้ง

จูเซียนเหยามองดูต่อไปขณะที่หุ่นเชิดภายในห้องเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกมันป่วยไข้ขึ้นมากะทันหัน

ไม่ ไม่ใช่แค่หุ่นเชิด ทั้งวังไร้ขอบเขตกำลังสั่นไหว

“สวรรค์! เกิดอะไรขึ้น!?” กู่ชิงลั่วร้องออกมาด้วยความตกใจ นางพึ่งจะกลับมาจากการเปิดใช้งานค่ายกล

ไม่ใช่แค่นางคนเดียว หลี่ฉงซาน ตู่ชิงซี่ และคนอื่น ๆ ต่างก็รีบรุดเข้ามา

กระทั่งค่ายกลเหมันต์ลึกลับไร้ขอบเขตก็ไม่อาจกดการสั่นสะเทือนแสนรุนแรงนี้ลงได้ ขณะที่นิกายไร้ขอบเขตถูกเหวี่ยงไปมาด้วยแรงสั่นสะเทือนครั้งแล้วครั้งเล่า ศิษย์ที่อ่อนแอบางคนไม่อาจรักษาสมดุลได้และเริ่มส่ายไปส่ายมาราวกับว่าพวกเขากำลังเมาสุรา

ศิษย์ทั้งหลายบนทางลาดหันเหนือจ้องมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยความริษยา เหล่าผู้บังคับบัญชาของพวกเขารู้วิธีจัดงานสังสรรค์ดีจริง ๆ

ภายในวังไร้ขอบเขต ทั้งโครงสร้างของวังยังคงสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง

สิ่งนี้ดำเนินต่อไปอีกกว่าหนึ่งก้านธูปก่อนที่มันจะหยุดนิ่งลงในที่สุด

ความเงียบสงัดนี้คงที่อยู่ได้ประมาณครึ่งก้านธูป

ในตอนนี้ กู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาไม่อาจอดทนที่จะไม่เรียกซูเฉินได้ และพวกนางก็เรียกไปหลายครั้งแล้ว

ไม่นานต่อมา ประตูห้องก็แง้มเปิดออก

ทุกคนรีบรุดเข้าไปในห้องลับทันที แล้วก็ต้องพบกับความว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องนี้แม้แต่คนเดียว

“เกิด… เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงไม่มีใครอยู่ข้างในล่ะ?” จูเซียนเหยาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจและเป็นกังวลขึ้นมาทันที

“เดี๋ยวก่อน!” ด้วยสายเลือดมังกรสุริยะของนาง กู่ชิงลั่วสามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดแปลกไป

ขณะที่กู่ชิงลั่วตรวจสอบภายในห้อง นางก็กล่าวอย่างระมัดระวัง “สามีของเราอยู่ที่นี่ ข้าสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขา”

ทุกคนต่างตกตะลึง

แต่ทำไมพวกเรามองไม่เห็นเขาล่ะ? เขาปิดบังตัวเองหรือ? ซูเฉินสนใจการเล่นพิเรนทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

แต่กู่ชิงลั่วก็ส่ายหน้าไปมา “นี่ไม่ใช่การปิดบังตัวตน”

ทุกคนล้วนงงงวยกับคำพูดของกู่ชิงลั่ว แต่ไม่นานต่อมา อากาศเบื้องหน้าพวกเขาก็เริ่มส่องประกายระยิบระยับจาง ๆ ราวกับว่าดวงดาวได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา

ทั้งหมดล้วนตะลึงงัน แต่กู่ชิงลั่วดูจะรู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด “ถอยไป! ถอยไปเดี๋ยวนี้!”

ทุกคนรีบวิ่งเบียดเสียดกันออกไปจากห้อง แสงประกายนั้นสว่างจ้าขึ้นจนมันค่อย ๆ ก่อตัวเป็นร่างของซูเฉิน

ในตอนแรก ร่างนี้เป็นเพียงแค่เงาของแสงเท่านั้น แต่ในท้ายที่สุด แสงนั้นก็รวมตัวกันเป็นซูเฉิน

“ซูเฉิน!” จูเซียนเหยากระโดดออกมาข้างหน้าเพื่อกอดเขาด้วยความดีใจ แต่นางก็คว้าไว้ได้แค่อากาศและความว่างเปล่าเท่านั้น

แล้วนางก็ค้นพบว่ามือของนางทะลุผ่านร่างซูเฉินไป

จูเซียนเหยาโบกมือไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังผ่านร่างของซูเฉินอยู่หลายครั้ง มันดูเหมือนว่าเขาเป็นแค่เพียงภาพฉายชั่วคราวเท่านั้นเอง

ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก ในทางกลับกัน ซูเฉินมองไปยังพวกเขาด้วยความประหลาดใจแล้วจึงกลับมามองตนเองก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เขาอ้าปากและพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดออกมาจากปากแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเอง จูเซียนเหยาก็รู้สึกว่ามือของนางกำลังถูกผลักออกมาจากร่างของสามี

นางเอื้อมมือไปข้างหน้าและพยายามจับตัวซูเฉินอีกครั้ง

คราวนี้ นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทางกายแล้ว เนื้อมนุษย์

“ซูเฉิน!” นางตะโกนลั่นด้วยความดีใจ

“ขอโทษที! มีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าไม่ได้ตั้งใจให้พวกเจ้าต้องเป็นห่วง” ซูเฉินกล่าวพร้อมหัวเราะเล็กน้อย เสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนใจอันโดดเด่น

หลี่ฉงซานหรี่ตาลงด้วยอย่างน่าสงสัยขณะที่เขาออกความเห็น “ดูเหมือนเจ้าจะพัฒนาขึ้นอีกแล้วนะ

“ใช่ ข้าค้นพบบางสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจน่ะ” ซูเฉินกล่าวด้วยความจริงจังไม่น้อยในคราวนี้

หลี่ฉงซานไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่นิด เขากลับทำเพียงแค่ถอนหายใจ “เจ้าไม่รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเจ้าพัฒนาขึ้นเร็วไปหน่อยหรือ? ด้วยอัตราเร็วนี้ เจ้าคงจะสามารถท้าทายเทพอสูรด้วยตัวคนเดียวได้ในอีกไม่ช้า!”