ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 34 ความลับแห่งพระเจ้า

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 34 ความลับแห่งพระเจ้า

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า

ป่าไม้หนาทึบถูกปกคลุมไปด้วยซากศพและเปียกโชกไปด้วยเลือด

หยงเยี่ยหลิวกวงยืนอยู่ลำพังบนภูเขาที่นำไปสู่นิกายแห่งพระแม่ มองไปยังกองศพที่กระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่ง เขารู้สึกปวดหัวใจยิ่งนัก

“ฝ่าบาท!” กูเทียนเยวี่ยเอามือทาบหน้าอกขณะที่เดินโซเซไปหาหยงเยี่ยหลิวกวง “พิธีศพของโยวเมิ่งกำลังจะเริ่มแล้ว”

หยงเยี่ยหลิวกวงเดินเข้าไปในโถงแห่งพิธีกรรมในอารามนิกายแห่งพระแม่เงียบ ๆ

ร่างของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนนอนอยู่บนแท่นด้านหน้าสุดในโถง หญิงสาวคนหนึ่งผู้สวมใส่มงกุฎดอกไม้นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้านางและกำลังพึมพำบทสวดอย่างแผ่วเบา

ชื่อของนางคือชื่อซวงหัว นางคือหนึ่งในนักบวชระดับสูงของนิกายแห่งพระแม่และเป็นศิษย์ส่วนตัวของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน

หยงเยี่ยหลิวกวงเดินไปยังร่างของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนช้า ๆ และมองนางด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยขณะที่เขากล่าวอย่างอ่อนโยน “หลายปีที่ผ่านมาเจ้าทุกข์ทรมานมามากมาย ตอนนี้ดวงวิญญาณของเจ้าก็ได้กลับไปยังสวรรค์ในที่สุด รอข้าที่นั่นนะ เมื่อข้าทำหน้าที่ของข้าเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะไปตามหาเจ้า”

ชื่อซวงหัวถามอย่างใจเย็น “ฝ่าบาทไม่รู้สึกว่ามันสายไปสักหน่อยที่จะพูดคำเหล่านั้นหรอกหรือ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ใช่ มันสายไปแล้ว แต่ข้าก็ไม่เสียดายในเส้นทางที่ข้าเลือก หัวเหลียนเหมี่ยนได้ทำการเสียสละให้แก่อนาคตของเผ่าปักษา และข้าก็จะทำเช่นกัน”

ชื่อซวงหัวเงยหน้าขึ้นเพื่อมองไปยังหยงเยี่ยหลิวกวง “แต่ถ้าเผ่าปักษาแพ้ศึกที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ล่ะ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงมองค้อนขณะที่เขากล่าวช้า ๆ “เจ้าเคลือบแคลงในตัวข้าหรือ?”

ชื่อซวงหัวปฏิเสธที่จะถอยหลังขณะที่นางจ้องมองใบหน้าหยงเยี่ยหลิวกวงต่อไป “ข้าคือผู้นำคนใหม่ของนิกายแห่งพระแม่ ซึ่งทำให้ข้ามีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามกับการตัดสินใจของฝ่าบาท! นี่รวมไปถึงการไว้ชีวิตซูเฉินและการละทิ้งสมบัติของนิกายแห่งพระแม่ของท่านด้วย!”

หยงเยี่ยหลิวกวงหน้าบูดบึ้ง

เขารู้ว่าชื่อซวงหัวจะไม่สนับสนุนเขาอย่างไร้เงื่อนไขเหมือนอย่างโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่านางพูดเช่นนี้กับเขาตรง ๆ ก็ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเลย

แน่นอนว่านี่คล้ายคลึงกับการร่วมมือที่เขาตกลงไว้กับซูเฉิน ซึ่งทำให้อิทธิพลของนิกายแห่งพระแม่อ่อนแอลงมหาศาล

เมื่อตอนที่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนยังมีชีวิตอยู่ นางได้ปกป้องเขาไว้จากคำวิจารณ์ทางศาสนาทั้งหมด ตอนนี้ผลข้างเคียงของการตัดสินใจครั้งนั้นเริ่มย้อนกลับมาทำร้ายเขาแล้ว

หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หยงเยี่ยหลิวกวงก็ตอบ “ชื่อซวงหัว ความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์เราแขวนอยู่บนคำถามเดียวที่ว่าเราจะเดินหน้าหรือถอยหลังเท่านั้น เผ่ามนุษย์กำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันโดยไร้ซึ่งขีดจำกัด เมื่อไปจนถึงศักยภาพขั้นสูงสุดแล้ว พวกเขาจะไม่ไว้ชีวิตเราแน่”

“งั้นเจ้าก็ไม่ควรไว้ชีวิตซูเฉินตั้งแต่แรก”

“แต่หากไม่มีเขา เมืองล่องนภาก็จะไม่ได้รับอิสระในการเคลื่อนไหวกลับคืนมา”

“แม้จะไม่มีอิสระในการเคลื่อนไหวของเมืองล่องนภา เราก็สามารถรักษาชายแดนไว้ได้”

งั้นนางก็ยังมีแนวคิดอนุรักษนิยมแบบหัวโบราณอยู่งั้นหรือ?

เห็นได้ชัดว่านางเชื่อว่าหากเขาสังหารแค่สังหารซูเฉินไป ทุกสิ่งก็จะกลับไปสู่ ‘ปกติ’ แม้ว่าเมืองล่องนภาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ พละกำลังของมันก็จะทำให้พวกเขาปลอดภัย

แต่ไม่ดีนัก หญิงสาว เจ้ายังอ่อนวัยนัก

มีอีกหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้

หรืออย่างน้อย เจ้าก็ยังไม่ได้รู้เรื่องเหล่านั้น

หลังจากที่หยุดคิดไปสักพัก หยงเยี่ยหลิวกวงก็ตอบกลับไป “มีหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นหนังสือในห้องอาจารย์ของเจ้า แถวที่ 2 จากชั้นบนสุด เล่มที่ 3 จากทางซ้าย เปิดมันออกแล้วเจ้าจะพบกับคำตอบที่เจ้าตามหา เราจะคุยกันได้ก็ต่อเมื่อเจ้ามีคำตอบเหล่านั้น”

ชื่อซวงหัวตะลึงงัน

นางไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ หยงเยี่ยหลิวกวงจึงพูดถึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา แต่ในเมื่อเขาว่าอย่างนั้น นางก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ

ความคิดของนางแล่นไปไกลกระทั่งขณะที่นางกำลังดำเนินการพิธีฝังศพ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่อาจหยั่งรู้ถึงสิ่งที่จะอยู่ในหนังสือเล่มนั้นได้

เวลาต่อมา พิธีกรรมก็สิ้นสุดลง

ถัดไปคือเวลาที่ผู้นำใหม่ของนิกายแห่งพระแม่จะได้เข้ารับตำแหน่ง

พิธีกรรมกินระยะเวลายาวนานและมีพิธีกรรมย่อยต่าง ๆ มากมายทำให้ชื่อซวงหัวหงุดหงิดใจไม่น้อย

นางใฝ่ฝันถึงพิธีบรมราชาภิเษกของตนมาหลายต่อหลายครั้งในอดีต แต่พิธีกรรมของจริงนั้นช่างรีบร้อนและเรียบง่ายจนมันทิ้งให้นางรู้สึกว่างเปล่าแต่เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศกและความเจ็บปวด

เมื่อทุกอย่างจบลงก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว

ชื่อซวงหัวกลับไปยังที่อยู่อาศัยของผู้นำของนิกายแห่งพระแม่ก็พบว่ามันได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ตรงกับความพึงพอใจของนาง ร่องรอยชีวิตของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเริ่มหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ชื่อซวงหัวมองไปยังห้องที่ทั้งคุ้นเคยและแตกต่างเบื้องหน้านาง ขณะที่คำพูดของหยงเยี่ยหลิวกวงยังคงสะท้อนไปมาในความคิดของนาง

นางลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังห้องฝึกตนลับด้านหลัง

รูปแบบของห้องฝึกตนลับนี้เป็นเพียงแห่งเดียวที่ถูกรักษาไว้ ที่จริงแล้ว มีกฎโบราณข้อหนึ่งที่ระบุว่าห้ามผู้นำคนใหม่ของนิกายแห่งพระแม่คนใดแตะต้องห้องนี้

ดูเหมือนว่ามีการคาดการณ์ล่วงหน้าเล็กน้อยในการตัดสินใจครั้งนี้

ชื่อซวงหัวก้าวเข้าไปในห้องและเดินไปยังชั้นหนังสือ

หนังสือส่วนมากเกี่ยวกับวิชาอาร์คาน่า นอกจากนี้ก็ยังมีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายแห่งพระแม่อีกนิดหน่อย

ชื่อซวงหัวรีบหาหนังสือที่หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวถึงความลับแห่งชายแดนตะวันตก

ชื่อซวงหัวพยายามดึงหนังสือเล่มดังกล่าวออกมาจากชั้นวางแต่ก็ไม่อาจขยับมันได้

นางออกแรงมากขึ้นอีกนิด แต่แล้วทันใดนั้นเอง กำแพงข้างกายนางก็เริ่มแตกร้าวและส่งเสียงขณะที่ทางเดินมืดทึบปรากฏขึ้นตรงหน้า

ชื่อซวงหัวมองเข้าไปในความมืดมิดด้วยความตะลึงงัน นางมองเห็นห้องที่มีแสงสลัว ๆ อยู่ข้างใน

ห้องแสงสลัวนี้ถูกจัดไว้อย่างเรียบง่ายเพราะมันว่างเปล่าโดยสมบูรณ์

แต่พริบตาที่ทางเดินนั้นเปิดออก ชื่อซวงหัวก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานที่อาบร่างกายของนาง

เห็นได้ชัดว่าห้องนี้ถูกติดตั้งด้วยค่ายกลต้นกำเนิดที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด

ความรู้ในหลักการพื้นฐานของค่ายกลต้นกำเนิดของชื่อซวงหัวนั้นลึกซึ้งทีเดียว นางจึงสามารถระบุได้ทันทีว่ากระแสเวลาภายในห้องแห่งนี้ถูกผนึกไว้โดยค่ายกลต้นกำเนิด

เมื่อเส้นทางลับถูกเปิดออกเท่านั้นที่ค่ายกลจะหยุดทำงาน และมันจะเปิดใช้งานใหม่อีกครั้งด้วยตัวเองทันทีที่ประตูถูกเปิดออก

ความยากลำบากของการสร้างค่ายกลต้นกำเนิดที่พึ่งพาเวลานั้นไม่ยากเกินจินตนาการ และถึงอย่างนั้น ค่ายกลที่ซับซ้อนถึงเพียงนี้ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องดูแลสิ่งเพียงสิ่งเดียว

รัดเกล้าหยก

รัดเกล้าหยกโบราณ กระทั่งด้วยผลกำบังของค่ายกล รัศมีโบราณที่แผ่ขจายออกมาจากมันก็ไม่อาจผิดพลาดได้

แต่ที่จริงแล้วรัดเกล้าชิ้นนี้คืออะไรกันแน่ และทำไมมันถึงต้องได้รับการป้องกันหนาแน่นถึงเพียงนี้?

ชื่อซวงหัวเดินไปยังรัดเกล้า หยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง บนรัดเกล้ามีจารึกคำอยู่ว่า คำสั่งเสียของเฟยเซ่อจือเมิ่ง

เฟยเซ่อจือเมิ่งหรือ?

ชื่อซวงหัวตกตะลึงไปในทันที เฟยเซ่อจือเมิ่งคือผู้ก่อตั้งอาณาจักรของพวกเขา!

รัดเกล้าชิ้นนี้ถูกสืบทอดต่อกันมาจากเฟยเซ่อจือเมิ่งอย่างนั้นหรือ?

นางอ่านจารึกบนรัดเกล้าต่อไป ยิ่งอ่านต่อไปความตกตะลึงของนางก็มีแต่จะมากขึ้นและมากขึ้นเท่านั้น

“นี่… นี่ไม่ใช่ความจริงแน่ ๆ” นางพึมพำกับตัวเองและยังคงตะลึงงัน

“ทั้งหมดนี่คือความจริง” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง

ชื่อซวงหัวหมุนตัวไปด้วยความตกใจ แล้วก็พบกับหยงเยี่ยหลิวกวงที่ยืนขนาบข้างนาง

เขาเข้ามาตอนไหนกัน? นางไม่ทันสังเกตเห็นเขาแม้แต่น้อย

ชื่อซวงหัวขวัญหายอย่างหนัก แต่นางก็ยังรักษาท่าทางสงบเสงี่ยมเอาไว้ได้ “ฝ่าบาท! แม้ว่าท่านจะเป็นผู้ปกครองเผ่าปักษา ท่านก็ไม่สามารถเข้าออกโถงภายในนิกายแห่งพระแม่ได้ตามใจชอบ!”

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่ได้สนใจนางสักนิด เขาเดินเนิบนาบเข้าไปในห้องมืดขณะที่มองไปยังผนังที่ดูเยียบเย็น

“ข้าไม่ได้มาที่นี่นานเท่าไหร่แล้วนะ? สัก 800 ปี? หรือ 1,000 ปี? มันนานจนข้าจำไม่ได้อีกแล้วละ” หยงเยี่ยหลิวกวงถอนหายใจด้วยความเศร้าสร้อยขณะที่ส่ายหัวไปมา แล้วเขาก็มองไปยังรัดเกล้าหยก “แต่แม้ว่าข้าจะลืมครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ ข้าก็จะไม่มีวันลืมว่าข้าได้เห็นอะไรในวันนั้น”

ชื่อซวงหัวถามด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “งั้นสิ่งที่เขียนอยู่บนนี้ก็เป็นเรื่องจริงหรือ เทพเจ้า… เหล่าเทพเจ้า…?”

หยงเยี่ยหลิวกวงพยักหน้าเบา ๆ “ใช่แล้ว มันคือเรื่องจริงทั้งหมด เทพเจ้าคือเจ้าของที่แท้จริงของโลกใบนี้ และยังเป็นผู้ปกครองและเจ้านายด้วย พวกเขาทิ้งทวีปนี้ไว้เมื่อหลายแสนปีก่อน แต่พวกเขาก็จะกลับมาในสักวันหนึ่ง”

“และพระแม่ก็คือหนึ่งในนั้นหรือ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงพยักหน้าเงียบ ๆ

“หากเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมเราต้องบูชาพระแม่ด้วยล่ะ?” ชื่อซวงหัวถามอย่างกระโชกโฮกฮาก

“เพราะแท้จริงแล้วพวกเราคือทายาทของนาง… ว่ากันว่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะส่วนมากคือทายาทของเทพเจ้าทั้งหลาย” หยงเยี่ยหลิวกวงอธิบาย

ชื่อซวงหัวตะลึงงัน “อะไรนะ? งั้นเผ่ามนุษย์ เผ่าคนเถื่อน เผ่าท้องสมุทร และชาวอาร์คาน่าก็…”

“ใช่แล้ว พวกเขาล้วนมีเทพเจ้าของตัวเอง ผู้เป็นบรรพชนของพวกเขาเองด้วย!” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบ

“หากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทำไมพวกเขาไม่ปฏิบัติต่อเราดี ๆ แทนที่จะพยายามทำให้เราเป็นทาสล่ะ?”

“ถ้าเจ้ามีลูกกองเท่าภูเขา เจ้าก็จะไม่ใส่ใจพวกเขาสักคนเหมือนกัน” หยงเยี่ยหลิวกวงอธิบายอย่างใจเย็น “เจ้าแห่งแดนฝันลวงตามีภูตแดนฝันนับล้านตัวอยู่ใต้การปกครอง เผ่าปักษาคือลูกหลานของพระแม่ แต่นางจะห่วงใยอย่างลึกซึ้งกับพวกเราทั้งหลายล้านได้ยังไง? ที่สำคัญกว่านั้น เทพเจ้าไม่ได้มองพวกเราเป็นลูก ไม่มีระยะเวลายาวนานของการเอาใจใส่และเลี้ยงดูพวกเรา ในสายตาของพระนาง เราเหมือนกับโรงงานมากกว่าสิ่งอื่นใด พวกเราไม่ใช่ลูกของพระแม่ หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตน่าสังเวชที่นางสร้างขึ้นมาเมื่อผสมพลังสายเลือดของตนเข้ากับเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ ก็เท่านั้นเอง”

ชื่อซวงหัวเริ่มสั่นเทิ้มไปทั้งตัวขณะที่นางเอ่ยถาม “งั้นพวกเขาก็สามารถสร้างพวกเราเพียงเพื่อให้เป็นทาสได้อย่างนั้นหรือ?”

“ให้แม่นยำยิ่งกว่านั้น พวกเขาทำไปเพื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ เราคือแหล่งกำเนิดความศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบคำถาม

ชื่อซวงหัวก้มหัวลงและมองไปยังรัดเกล้าหยกด้วยความสำนึกผิดขณะที่นางพึมพำ “ในตอนแรก กฎแห่งพลังและพลังงานนั้นอุดมสมบูรณ์ กระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดก่อเกิดขึ้นในตอนนั้น พวกเขาครอบครองความศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดและใช้กฎแห่งพลังในการเติมเต็มพรของพวกตนแล้วเปลี่ยนโลกทั้งใบ แต่กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ก็มากเกินกว่าที่โลกจะแบกรับไหว มันจึงสลายกฎแห่งพลัง ทำให้กลายเป็นเรื่องหายากและลำบากยิ่งนักที่จะควบคุมได้ ขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์เบาบางลง ความศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดก็อ่อนแอลงเช่นกัน เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดปฏิเสธที่จะยอมรับโชคชะตาเช่นนั้นและสร้างเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอยิ่งกว่าจากลูกหลานของพวกตน จากผู้ที่พวกเขาสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อบำรุงรักษาตัวเอง…”

ยิ่งชื่อซวงหัวอ่านไปมากเท่าไร ร่างกายของนางก็ยิ่งสั่นไหวแรงขึ้นเท่านั้น

นางหันไปยังหยงเยี่ยหลิวกวง “งั้นเราก็ถูกสร้างขึ้นโดยพระแม่เพียงเพื่อเป็นทรัพยากรพลังศักดิ์สิทธิ์ให้นางงั้นหรือ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงพยักหน้า “นั่นอาจเป็นเหตุผลเดียวในตอนแรกเริ่ม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะมีแรงจูงใจอื่นด้วย”

“แรงจูงใจอื่นหรือ?”

“ต่อจากการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากลูกหลานของพวกเขา คือการเร่งความเร็วการทำลายกฎแห่งพลังลง ทำให้สามารถใช้มันได้ยากยิ่งกว่าเดิม ในอีกฝั่งหนึ่ง การสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ยากขึ้นเช่นกัน ส่วนที่ผู้คนหลักร้อยเคยจัดหาได้ ในตอนนี้จำเป็นต้องใช้หลักพันหรือกระทั่งหลักหมื่นเลยทีเดียว ขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาได้รับเริ่มเบาบางลง พวกเขาก็เปลี่ยนจากการใช้กฎแห่งพลังมาใช้พลังต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียวเพราะพลังงานนี้บริสุทธิ์ยิ่งกว่า โดยไร้ซึ่งการช่วยเหลือของกฎแห่งพลังแล้ว การควบคุมพลังต้นกำเนิดของพวกเขาก็แม่นยำน้อยลงมากและพลังทำลายล้างของพวกมันก็เพิ่มสูงขึ้น”

ชื่อซวงหัวกล่าวอย่างเยือกเย็น “งั้นพวกเขาก็ทำลายแดนพลังต้นกำเนิดอย่างรวดเร็วด้วยน่ะสิ”

“ถูกเผง” หยงเยี่ยหลิวกวงพยักหน้า “เทพเจ้าต่อสู้กันเองอยู่เสมอด้วยการใช้พลังงานสิ้นเปลืองและสุรุ่ยสุร่าย นี่คือเหตุผลที่โลกรอบตัวเรากำลังพังทลายลง กฎแห่งพลังและพลังต้นกำเนิดกำลังเริ่มรั่วไหล หลังจากนั้นก็คือ…”

“การบุกรุกของเทพอสูรบรรพกาล” ชื่อซวงหัวกล่าว

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็หัวเราะออกมา “ตรงข้ามกันเลยล่ะ เทพอสูรบรรพกาลไม่ใช่ผู้บุกรุก เทพเจ้าต่างหาก”

เทพเจ้าคือผู้บุกรุกที่แท้จริง

ระหว่างช่วงเวลาหนึ่งในสงคราม พวกเขาบังเอิญเปิดท่อไปสู่ทะเลพลังต้นกำเนิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่นั่นพวกเขาค้นพบสิ่งแวดล้อมที่เปี่ยมไปด้วยพลังต้นกำเนิด

สำหรับพลังต้นกำเนิดและเพื่อการเอาชีวิตรอด เทพเจ้าสังหารทุกสิ่งที่ขวางหน้าเพื่อตรงมายังทะเลพลังต้นกำเนิด

แล้วพวกเขาก็ไม่เคยกลับมาอีก เทพอสูรบรรพกาลและเทพอสูรทั้งหลายปรากฏขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้แล้วยุคใหม่ในประวัติศาสตร์ก็เริ่มต้นขึ้น

“หากเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมพวกเรายังเชื่อในพระแม่อีกล่ะ?” ชื่อซวงหัวยังไม่อาจปล่อยความสงสัยของนางไปได้

หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าว “เพราะพระแม่ต้องการพวกเรา และพวกเราก็ต้องการนาง การบูชาของเรามอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้นางเล็กน้อย และนางก็มอบการชี้นำและการปกป้องให้แก่เราในช่วงเวลาคับขัน ความสัมพันธ์นี้เป็นการได้ประโยชน์ร่วมกันและเป็นความจำเป็น แต่พระแม่ก็ไม่อาจกลับมาได้เพราะเมื่อนางกลับมา พวกเราทั้งหมดจะกลายเป็นทาส!”

“นั่นคือเหตุผลที่ท่านต้องการพยายามทำให้นิกายแห่งพระแม่อ่อนแอลงหรือ?”

“ใช่แล้วล่ะ” หยงเยี่ยหลิวกวงถอนหายใจ “ประสิทธิภาพของสนธิสัญญานิรันดร์กาลเริ่มเสื่อมสลายแล้ว และเทพเจ้าก็จะกลับมาในไม่ช้า หากเราไม่สามารถสั่งสมความแข็งแกร่งให้มากพอก่อนที่นั่นจะเกิดขึ้น เราจะกลายเป็นทาสอีกครั้ง ยืนอยู่ข้าง ๆ และมองอย่างเกียจคร้านนั้นไม่มีประโยชน์ มีเพียงการพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญเท่านั้นที่เผ่าปักษาจะมีโอกาส!”

“ว่าแต่สนธิสัญญานิรันดร์กาลคืออะไรหรือ? และเฟยเซ่อจือเฟิ่งรู้เรื่องในอนาคตได้ยังไงกัน? สิ่งเหล่านี้ที่ท่านกำลังบอกไม่ได้จารึกอยู่บนรัดเกล้าหยกเลย แล้วท่านรู้ได้ยังไง?” ชื่อซวงหัวไม่ยอมถอย

ตอนที่หยงเยี่ยหลิวกวงกำลังจะตอบนั้นเอง ห้องทั้งห้องก็สั่นไหวในทันใดด้วยระเบิดลูกยักษ์

“เกิดอะไรขึ้น?” ทั้งหยงเยี่ยหลิวกวงและชื่อซวงหัวต่างก็ตกตะลึง

สัญญาณเตือนภัยเริ่มส่งเสียงร้อง

สัญญาณเตือนภัยนั้นหมายความว่าศัตรูกำลังบุกรุก!

ทั้งหยงเยี่ยหลิวกวงและชื่อซวงหัวต่างตะลึงงัน พวกเขารีบรุดออกจากห้องลับ ทันทีที่ทั้งสองกลับมาถึงโถงหลักของนิกายแห่งพระแม่ กูเทียนเยวี่ยผู้แทบจะหายใจไม่ทันก็พุ่งตรงเข้ามาหา

“เกิดอะไรขึ้นกัน?” หยงเยี่ยหลิวกวงถามด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

“การลอบโจมตี!” กูเทียนเยวี่ยแผดเสียงด้วยความตื่นตระหนก “พวกมนุษย์! พวกนั้นไม่ได้รอพวกเราที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง! พวกมนุษย์อยู่ที่นี่!”