ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 35 เปลวเพลิงแห่งความรุ่งโรจน์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 35 เปลวเพลิงแห่งความรุ่งโรจน์

ค่ายกลสะเก็ดดาวทำงานต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยราวกับคลื่นยักษ์ที่ไม่อาจหยุดยั้งได้

ผู้ฝึกตนจำนวนมากปลดปล่อยการโจมตีออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อเกิดเป็นสายฝนดาบที่ตกลงจากท้องฟ้าและสร้างกระแสพลังปราณดาบอันน่าเกรงขามเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า

“อ๊า!!!”

ทหารเผ่าปักษาจำนวนนับไม่ถ้วนตกเป็นเหยื่อของฝนดาบแสนโหดเหี้ยม

“ไอ้สารเลว!” หยงเยี่ยหลิวกวงได้แต่ก่นด่าสาปแช่งเผ่ามนุษย์อย่างช่วยไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ประหลาดใจมากนัก

อย่างไรแล้วนี่ก็คือสงคราม

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแสงสว่างหรือความมืดมิดอยู่ในสนามรบ มีเพียงชัยชนะและความพ่ายแพ้เท่านั้น

ไอ้สารเลวงั้นหรือ?

ใช่ ที่จริงแล้วซูเฉินผิดข้อตกลงของพวกเขาและลอบโจมตีก่อนที่จะไปถึงยังทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง นี่เลวทรามต่ำช้ายิ่งนัก แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ทำเช่นนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ? การโยนเทพอสูรไปยังเผ่ามนุษย์ก็ไม่ได้มีเกียรตินักหรอก การทำลายค่ายกลต้นกำเนิดและแทงข้างหลังพวกเขาหลังจากที่การต่อสู้จบลงก็เช่นกัน

หยงเยี่ยกลิวกวงไม่ได้เชื่อจริง ๆ ว่าการกระทำของซูเฉินนั้นทำให้เขาชั่วร้าย หยงเยี่ยหลิวกวงเพียงระบายความโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองออกมาเท่านั้น

เขาเกลียดที่ตนทึกทักไปว่าเผ่ามนุษย์จะฉวยโอกาสช่วงเวลาเพิ่มเติมหลังจากการปะทะครั้งยิ่งใหญ่เพื่อฟื้นฟูตนเอง

เขาเกลียดที่ตัวเองคิดผิด

พวกมนุษย์ไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย

พวกเขายังเคลื่อนตัวต่อไปหลังจากที่สังหารอินทรีย์ยักษ์และเตรียมพร้อมสำหรับการลอบโจมตีเผ่าปักษา

ณ จุดนี้ เผ่ามนุษย์ได้ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวมาแล้วถึง 2 ครั้งในสงครามครั้งนี้ ที่น่าตกใจคือ พวกเขาทำสำเร็จทั้ง 2 ครั้ง!!

“เปิดเกราะป้องกัน!” หยงเยี่ยหลิวกวงออกคำสั่งทันที

เผ่าปักษาเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต และเมืองล่องนภาก็ไม่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุดอีกต่อไป ในทางกลับกัน พวกเขารักษาพลังงานไว้ให้มากพอต่อการใช้งานเกราะป้องกันเมือง ตามทฤษฎีแล้ว พวกเขาควรจะสามารถเปิดใช้เกราะป้องกันนี้ได้ทันทีที่ต้องการ

แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้หยงเยี่ยหลิวกวงจะออกคำสั่งแล้วก็ตาม

หยงเยี่ยหลิวกวงตะลึงงัน แล้วความกระวนกระวายก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ

ทันใดนั้นเอง เขามองเห็นเผ่าปักษาคนหนึ่งบินเข้ามาหาด้วยความเร็วสูงสุด ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น เผ่าปักษาคนนั้นกำลังถูกเผาไหม้ด้วยความเร็วสูงสุดของตนเอง ร่างกายของฝ่ายนั้นสั่นเครือล้มคะมำลงจากอากาศ ขณะที่เจ้าตัวตะโกนลั่น “แกนกลางหยุดผลิตพลังงาน เกราะป้องกันก็ไม่อาจใช้งานได้!”

ทันทีที่เผ่าปักษาคนนั้นรายงานจบ เขาก็หมดสติไป

หัวใจของหยงเยี่ยหลิวกวงสั่นสะท้าน ความเป็นไปได้ที่เขาหวาดกลัวที่สุดกำลังเกิดขึ้นจริงแล้ว

เขากลับหลังหันและส่งเสียงลั่นไปยังชื่อซวงหัว “เจ้าจัดการนิกายแห่งพระแม่และเตรียมพร้อมโจมตีกลับ ข้าจะไปที่แกนกลาง ซูเฉินจะต้องอยู่ที่นั่นแน่!”

ขณะที่หยงเยี่ยหลิวกวงออกโผบิน เขาก็ดึงเอากล่องสื่อสารของตนออกมา “เทียนเยวี่ย ฝั่งเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

เสียงของเทียนเยวี่ยตอบกลับออกมาจากกล่อง “ฝ่าบาท ตอนนี้เผ่ามนุษย์เข้าบุกรุกอย่างเต็มกำลัง แกนกลางก็ส่งพลังงานให้พวกเราไม่ได้ เกราะป้องกันไม่ขยับเลย!”

“แต่พวกเรายังบินอยู่ใช่ไหม? นี่หมายความว่าพลังงานที่มาจากแกนกลางยังไม่ได้หยุดนิ่งโดยสมบูรณ์! ส่งคำสั่งของข้าต่อไป หยุดบินและโยกย้ายพลังงานทั้งหมดไปยังระบบป้องกันภัย” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวด้วยความรีบร้อน

“แต่นั่นยังไม่พอที่จะสนับสนุนการป้องกันของเราทั้งหมด”

“เราทำได้โดยไม่ต้องมีแนวแรกและแนวที่ 2 กลับไปยังแนวที่ 3” หยงเยี่ยหลิวกวงออกคำสั่ง ในตอนนี้ เขาไม่มีกระทั่งเวลาจะให้ตัดสินใจเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็คือเหตุผลที่เขาออกคำสั่งโดยตรงให้ถอยกลับมาจาก 2 แนวแรก การป้องกันของเมืองล่องนภานั้นไม่ได้ลึกเป็นพิเศษ พวกเขาจึงมีชั้นการป้องกันเพียง 3 ชั้น พูดอีกอย่างคือ พวกเขามีแนวป้องกันชั้นสุดท้ายอยู่แล้ว

และเผ่าปักษายังต้องคิดหาวิธีการขับไล่ผู้บุกรุกเผ่ามนุษย์แสนชั่วร้ายออกไปอีกด้วย

กูเทียนเยวี่ยตอบ “ท่านรู้ว่าหากเราโยกย้ายพลังงานจากการระบบการเคลื่อนไหวไปยังการป้องกัน เราจะไม่สามารถจากไปได้ใช่ไหม?”

หยงเยี่ยหลิวกวงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบอย่างเด็ดขาด “พวกเราจะไม่หนี”

คำพูดอันแสนเรียบง่ายนี้เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและมุ่งมั่นอย่างไร้ที่สิ้นสุด

กูเทียนเยวี่ยได้แต่ถอนหายใจ “เข้าใจแล้ว พวกเราจะสู้เพื่อฝ่าบาทจนถึงหยดสุดท้าย!”

แล้วเมืองล่องนภาก็หยุดชะงักลง

เมื่อหยุดทุกการเคลื่อนไหว เกราะป้องกันรอบพื้นที่ชั้นในสุดของเมืองล่องนภาก็เริ่มส่องประกายวิบวับขณะที่มันปรากฏตัวขึ้น

เกราะป้องกันโปร่งใสขนาดเล็กนี้หยุดการเดินหน้าของกองทัพเผ่ามนุษย์ไว้ได้โดยสมบูรณ์ ในเวลาเดียวกัน ปืนใหญ่ทลายสุริยันก็เริ่มเล็งเป้าหมายและยิงใส่เหล่ามนุษย์จากข้างหลังเกราะป้องกัน

แม้ว่าเมืองล่องนภาจะทอดทิ้งชั้นป้องกัน 2 ชั้นนอกไปแล้ว ชั้นที่ 3 และการป้องกันชั้นสุดท้ายก็เพียงพอที่จะกีดขวางกองทัพมนุษย์เอาไว้ได้

ศึกที่แท้จริงจะเกิดขึ้นที่นี่

ค่ายกลสะเก็ดดาวของเผ่ามนุษย์และปืนใหญ่ทลายสุริยันของเผ่าปักษายังคงโจมตีใส่กัน ขณะที่วิชาอาร์คาน่าและทักษะต้นกำเนิดมากมายพุ่งตัดผ่านกันบนท้องฟ้า รังสีแสงสว่างจ้ากระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง

หยาดเลือดที่สาดกระเซ็นก็ทำให้ลำแสงเหล่านั้นเปรอะเปื้อน

ในตอนนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงมาถึงยังพื้นที่แกนกลางของเมืองล่องนภาแล้ว

ทันทีที่เขามาถึง เขาก็พบว่าไม่มีเผ่าปักษาอยู่ในพื้นที่แม้แต่คนเดียว

หยงเยี่ยหลิวกวงแสดงสำหน้าบูดบึ้งเมื่อเห็นดังนั้นและก้าวเข้าไปข้างใน

เขาไม่เชื่อว่ากองทหารของเขาจะหลบหนีหรือละทิ้งหน้าที่ไป มีอีกเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น ทหารทั้งหมดข้างในถูกสังหาร

แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับ นั่นก็ดูเป็นไปได้มากที่สุด

ยิ่งหยงเยี่ยหลิวกวงก้าวต่อไป มันก็มีแต่จะชัดเจนขึ้นเท่านั้น

กลิ่นคล้ายเหล็กของโลหิตเข้าทิ่มแทงประสาทสัมผัสของเขา แม้จะไม่ได้เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เขาก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยากเลยว่ามันเป็นภาพที่โหดร้ายเพียงไร

หยงเยี่ยหลิวกวงเดินอ้อมมุมหนึ่งไปและเข้าไปในห้องเปิดขนาดมหึมา ภาพที่เขาเห็นเป็นอย่างที่เขาหวาดกลัวจริง ๆ

กองภูเขาซากศพ

ศพชาวเผ่าปักษาหลายพันศพกองกันอยู่ในมุมห้อง กองนั้นพะเนินสูงจนแทบจะแตะเพดานห้อง

และบนยอดภูเขาซากศพคือชายผู้หนึ่ง

ซูเฉิน

เขากำลังนั่งเท้าคางราวกับว่ากำลังตั้งใจครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่

เมื่อซูเฉินเห็นหยงเยี่ยหลิวกวงและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเข้ามา ดวงตาของชายหนุ่มก็เปล่งประกายขณะที่เปิดปากพูด “ในที่สุดเจ้าก็มา”

หยงเยี่ยหลิวกวงเมินเขาและจดจ่ออยู่กับกองศพในห้องแทน

หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เขาก็เอ่ยขึ้น “ข้าแต่งตั้งผู้เฝ้ายามไว้ที่นี่ 3,214 คน พร้อมด้วยช่างฝีมือและช่างโลหะอีก 456 คน พวกเขาตายหมดแล้วหรือ?”

ซูเฉินยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “พวกเขาทุกคนล้วนจงรักภักดีต่อเจ้า ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น”

“สารเลว!” แม่ทัพคนหนึ่งข้างกายหยงเยี่ยหลิวกวงตะโกนลั่นด้วยความโกรธแค้นต่อท่าทางไม่สนใจใยดีของซูเฉิน

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ตอบอย่างใจเย็น “พวกเขาทุกคนล้วนเป็นเด็กดี”

ซูเฉินพยักหน้าหงึก ๆ “ข้าเห็นด้วย พวกเขาซื่อสัตย์ต่อเผ่าปักษาอย่างถึงที่สุด กระทั่งช่างฝีมือเหล่านั้นก็มีหลักการเป็นของตัวเอง ข้าบอกให้พวกเขาหยุดแกนพลังงานแห่งซาร์คจากการส่งพลังงานไปให้เมือง แต่พวกเขาก็ปฏิเสธ ข้าไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วแกนพลังงานแห่งซาร์คทำงานยังไง และข้าก็ไม่อาจทำลายมันได้ลง ดังนั้นแล้ว ข้าจึงไม่มีตัวเลือกนอกจากนั่งดูมันส่งพลังงานให้เจ้าต่อไปที่นี่… ไม่อย่างนั้น เจ้าคงไม่สามารถเปิดใช้งานการป้องกันชั้นที่ 3 ได้หรอก”

หยงเยี่ยหลิวกวงฟังซูเฉินด้วยความสงบนิ่ง “งั้นเจ้าก็ไม่ได้อยากทำลายแค่เผ่าปักษา แต่เจ้ายังต้องการเอาเมืองล่องนภาไปด้วยสินะ?”

“เมืองนี้มีค่ามากทีเดียวละ ข้าหวังว่าจะมอบชีวิตใหม่ให้แก่มันด้วยเจ้านายคนใหม่” ซูเฉินตอบอย่างเยือกเย็น

หยงเยี่ยหลิวกวงพยักหน้า “มันมีค่ามากทีเดียว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไร้เทียมทาน”

“แล้วมันก็สามารถจัดการกับศัตรูที่ทรงพลังยิ่งกว่าบางส่วนได้ อย่างเทพอสูรหรือเทพเจ้าน่ะ”

“เทพเจ้าหรือ?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น แสงส่องประกายก็แวบเข้ามาในดวงตาของหยงเยี่ยหลิวกวง “งั้นเจ้าก็รู้เกี่ยวกับพวกเขา และต้องการจัดการพวกเขางั้นหรือ?”

“ใช่” ซูเฉินกล่าวพร้อมพยักหน้าก่อนที่จะถามคำถามด้วยความสนใจ “เจ้าก็เรียกพวกเขาว่าเทพเจ้าหรือ? หรือว่าจะเป็น…”

หยงเยี่ยหลิวกวงกำลังจะตอบคำถามนั้น เมื่อหนึ่งในแม่ทัพเผ่าปักษาข้าง ๆ ไม่อาจห้ามตัวเองไว้ได้อีกต่อไป เขาวิ่งออกมาข้างหน้าพร้อมแผดเสียงอย่างป่าเถื่อน “ตายซะซูเฉิน! ดาบสายฟ้าพิฆาตแห่งสวรรค์!”

ดาบขนาดยักษ์ทำขึ้นจากสายฟ้าฟาดเข้าใส่ซูเฉิน

ชายหนุ่มยกมือขึ้นอย่างใจเย็นและจับดาบสายฟ้าไว้ด้วยฝ่ามือเปล่า สายฟ้าวิ่งไปตามแขนและแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย มันแทบจะดูราวกับว่าซูเฉินกำลังเล่นกับสายฟ้าเลยทีเดียว ในบางแง่มุม นั่นก็เป็นเรื่องจริงเมื่อมันปรับเปลี่ยนรูปร่างเป็นสัตว์หลากหลายชนิดภายใต้การควบคุมของเขา

ต่อมา เขาก็หยุดลงที่รูปร่างของนก ลูบหัวนกตัวน้อยเบา ๆ ขณะที่เอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าเผ่าปักษาบูชาพระแม่เสียอีก ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะเฉลิมฉลองการกลับมาของนางหรอกหรือ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงดูเหมือนไม่ทันสังเกตเห็นการโจมตีจากแม่ทัพของตนขณะที่ตอบกลับมา “การบูชาเทพเจ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่หากพวกนั้นเข้ามาใกล้เกินไป ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะมากเกินกว่าที่เราจะรับมือได้”

แม่ทัพที่พึ่งจะโจมตีออกไปเมื่อครู่นี้ส่งเสียงคำราม ขณะที่เขาปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าอันทรงพลังออกมาอีกครั้ง

แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง ซูเฉินก็สะบัดมือ วิหคสายฟ้าบินออกไปข้างหน้าและปะทะเข้ากับหน้าอกของแม่ทัพคนนั้น แม้ว่าเขาจะปล่อยเกราะป้องกันออกมาปกป้องตนเอง นกน้อยก็ยังระเบิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นบนหน้าอกของแม่ทัพอารมณ์ร้อนราวกับว่าเกราะป้องกันนั้นไม่เคยมีอยู่จริง

ซูเฉินหัวเราะ “ใครจะคิดว่าศัตรูตลอดกาลสองฝ่ายจะมีเป้าหมายขั้นสูงสุดเหมือนกันอยู่ในใจล่ะ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงหัวเราะอย่างเยือกเย็นเป็นคำตอบ “แต่เจ้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเราแค่เพราะอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ?”

ซูเฉินพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง “ใช่ พวกเราไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกเราไม่มีวันเข้าใจกันได้ แม้ว่าจะเป็นพันธมิตรกัน เราก็จะสงสัยในความจริงใจและมีแต่จะถ่วงรั้งกันไว้เท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงดีกว่ามากหากพวกเราเพียงแค่กำจัดเจ้า เอาเมืองล่องนภามาเป็นของเราเอง และใช้ทรัพยากรของเจ้าเพื่อบำรุงรักษากองทัพ ระยะเวลา 10 ปีก็เพียงพอแล้วที่นิกายไร้ขอบเขตจะสร้างผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณหลายหมื่นคน ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินหลายพันคน และผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันหลายร้อยคน”

“10 ปี” หยงเยี่ยหลิวกวงหรี่ตาลงเล็กน้อย “งั้นพวกเราก็มีเวลาเพียง 10 ปีก่อนที่ปราการจะลงมาหรือ?”

“ใช่แล้ว!”

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

“ชายแก่ในแดนฝันนั่นบอกมาอย่างนั้น”

“เจ้าแห่งแดนฝันลวงตา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความสงสัยทั้งหมดของหยงเยี่ยหลิวกวงก็หายวับไป “เจ้าแห่งแดนฝันลวงตาคือเทพเจ้าเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโลกใบนี้ ภาพลวงตาของเขาสามารถลงมาโลกนี้ได้โดยตรงและเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากที่นี่ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถสังหารใครได้จริง ๆ แต่เมื่อไม่มีปราการแล้ว ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไป เจ้าแห่งแดนฝันลวงตาจะเป็นเทพเจ้าที่น่าเกรงขามที่สุดที่เราจะต้องเผชิญ เราต้องสังหารเขาก่อน!”

“เจ้าพูดเหมือนง่ายงั้นล่ะ ยังไงเขาก็เป็นเทพเจ้า ข้าไม่คิดว่าเราจะสังหารเขาได้ง่าย ๆ หรอกนะ” ซูเฉินกล่าวพร้อมส่ายหัวไปมา

หยงเยี่ยหลิวกวงโบกมือ แล้วเหล่าแม่ทัพข้างหลังเขาก็พุ่งเข้าไปหาซูเฉินอย่างพร้อมเพรียงกัน

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ยังคงพูดคุยกับซูเฉินต่อไป “งั้นทำไมเจ้าถึงต้องต่อสู้ทั้งที่ไม่มีแม้แต่ความมั่นใจที่จะชนะด้วยล่ะ?”

ซูเฉินโต้กลับ “เจ้าต้องมั่นใจในชัยชนะก่อนที่จะต่อสู้ศึกสงครามด้วยหรือ? ถ้างั้นคนของเจ้ากำลังทำอะไรกันล่ะ? พวกเขาคิดว่าจะสังหารข้าได้งั้นหรือ?”

ซูเฉินค่อย ๆ ยกมือขึ้น สุเมรุสูญปรากฏขึ้นรอบกายแม่ทัพและปรมาจารย์อาร์คาน่าจำนวนสิบกว่าคนของหยงเยี่ยหลิวกวง มันหยุดพวกเขาลงทันที ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็แทบไม่สามารถหมุนเวียนพลังงานในร่างกายได้อีกต่อไป เพราะซูเฉินจำกัดทั่วทั้งพื้นที่นี้ไว้ ทำให้พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้แม้แต่น้อย เขาตัดแหล่งที่มาของความแข็งแกร่งออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของทั้งฝ่ายนั้นมากเกินไป

ในขณะที่ความแข็งแกร่งของซูเฉินเพิ่มสูงขึ้น ช่องว่างนี้ก็มีแต่จะใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้ มันคือช่องว่างขนาดกว้างใหญ่อันน่าสะพรึงกลัว

หยงเยี่ยหลิวกวงตรวจสอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร้สีหน้าท่าทาง “ความแข็งแกร่งของเจ้าประทับใจข้า ซูเฉิน แต่เจ้าพูดถุูก วีรบุรุษที่แท้จริงไม่ต่อสู้เพียงเพราะพวกเขารู้ว่าจะชนะหรอก แม้เจ้าจะรู้ว่าต้องพ่ายแพ้ เจ้าก็จะสู้จนถึงที่สุด และพวกเราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

เขาก้าวเดินออกมาข้างหน้าอย่างกล้าหาญ “พวกเรามาใช้การต่อสู้นี้เป็นเปลวเพลิงแห่งความรุ่งโรจน์สุดท้ายของเผ่าปักษากันเถอะ!”