บทที่ 36 กองทหารย่อย
การต่อสู้นองเลือดไม่เหมือนใครกำลังปะทุขึ้นในเมืองล่องนภา
ปราณดาบซัดลงมาราวพายุฝนฟ้าคะนอง คลื่นพลังแข็งแกร่งสะบัดซัดจนโลหิตกระเซ็นไปทั่ว
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงไร้ปรานีหรือความเห็นใจใด สิ่งเดียวที่แน่นอนคือหลากชีวิตที่ต้องสูญไปจากการต่อสู้เท่านั้น
“ตรงนั้น!” เยี่ยเฟิงหานตะโกนใส่ฉางเหอและคนอื่น ๆ พร้อมชี้ไปยังทิศหนึ่ง
“ทำไมข้าต้องไป?! เราควรมุ่งทำลายปราการอาร์คาน่าก่อนสิ!” ฉางเหอตอบ
ในเมื่อซุ่มโจมตีแล้ว ก็มีมนุษย์หลายกลุ่มที่แอบเข้าเมืองล่องนภาชั้นที่สามไปได้สำเร็จ ก่อนพวกเขาจะเพิ่มเกราะป้องกัน กลุ่มของเยี่ยเฟิงหานคือหนึ่งในนั้น
ด้วยนับว่าเป็นทหารที่เก่งกาจที่สุดกลุ่มหนึ่งของนิกายไร้ขอบเขต ความเร็วของพวกเขาจึงสูงมาก
แต่ก็หมายความว่าพวกเขาถูกกักอยู่ในเกราะที่เพิ่งสร้างใหม่เช่นกัน สรุปว่าถูกปักษาที่หมายเอาชีวิตล้อมอยู่รอบด้าน
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนหลายกลุ่มที่เข้ามาด้านในได้มีแต่จะหลบหนี ฉางเหอรีบทำลายปราการอาร์คาน่าก่อนเป็นอันดับแรก ปราการอาร์คาน่าทั้ง 99 แห่ง เป็นแก่นสำคัญของเกราะปกป้องเมืองล่องนภา ยิ่งทำร้ายก็ยิ่งลดความแข็งแกร่งของเกราะที่กักพวกเขาไว้ลงได้
เยี่ยเฟิงหานกลับเห็นต่าง
“เรามีเวลาไม่พอหรอก” เขาเอ่ย “ปราการอาร์คาน่าเป็นเป้าหมายที่เด่นชัดเกินไป ไปที่นั่นมีแต่จะยิ่งดึงความสนใจ”
“แล้วจะให้ไปไหนเล่า?”
“วังแสงตะวันชั่วกาล!” เยี่ยเฟิงหานตอบเสียงกล้า
“วังแสงตะวันชั่วกาล!?” ฉางเหอชะงักไป แต่ครู่หนึ่งก็ร้องขึ้นเสียงดีใจ “ใช่แล้ว ที่นั่นคงมีสมบัติมากมาย! ไปปล้นที่นั่นให้หนำใจกัน!”
แม้ว่าระหว่างสนทนาจะถูกไล่ตามอยู่ แต่เมื่อได้ยินคำฉางเหอทุกคนก็ร้องดีใจขึ้นมา จึงหันหน้าเปลี่ยนทางไปยังวังแสงตะวันชั่วกาลแทน
นับว่าเป็นความชาญฉลาดของเยี่ยเฟิงหาน
ปราการอาร์คาน่านับว่าอยู่ในจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเกราะปักษา แต่ก็หมายความว่าต้องเป็นจุดที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาที่สุด กลายเป็นจุดที่ลำบากที่สุดของเหล่ามนุษย์ ส่วนวังแสงตะวันชั่วกาลน่าจะมีคนเฝ้าน้อยกว่า
เมื่อกลุ่มเยี่ยเฟิงหานมาถึงจุดหมายใหม่ก็พบว่าแรงกดดันลดลงมาก สามารถฆ่าสังหารเข้าไปภายในได้โดยง่าย
ปกติแล้วตัววังจะมีทั้งค่ายกลและวิชาปกป้องอยู่หลากหลาย แต่หยงเยี่ยหลิวกวงได้ปรับการใช้พลังเกือบทั้งหมดให้ไปใช้ในการป้องกันเกราะเมืองชั้น 3 แล้ว ดังนั้นการป้องกันวังแสงตะวันชั่วกาลจึงหละหลวม มีเพียงทหารอารักขาเพียงไม่กี่คนคอยดูอยู่เท่านั้น และเมื่อเห็นผู้ใช้พลังชาวมนุษย์กำลังรุดหน้ามาเกือบร้อยคน พวกเขาก็แทบหมดสติเสียตรงนั้น แต่แม้จะรู้ว่าสู้ไปแล้วแพ้ สุดท้ายพวกเขาก็ยังเปิดสัญญาณเตือนอย่างซื่อสัตย์และต่อสู้จนสุดฝีมือ
เยี่ยเฟิงหานสะบัดมือคราหนึ่ง ระลอกปราณดาบก็สะบัดพลิ้ว กุดศีรษะทหารปักษาหลายคนทันที
“นี่ ให้ข้าจัดการเองสิ!” ฉางเหอร้องเสียงไม่พอใจ
“วันนี้ข้าไม่มีเวลาเล่นกับเจ้า” เยี่ยเฟิงหานตอบเสียงเย็นชาก่อนมอบคำสั่งต่อ “ทุกคน บุกเข้าไปแล้วเผาวังเลย ก่อเรื่องให้เกิดความวุ่นวายให้มากที่สุด ยิ่งมากยิ่งดี”
ฉางเหอบ่นเสียงไม่ยินดี “ถามจริงเถอะ? เช่นนั้นไม่ใช่ว่าไปตายกันหรือ? ข้าว่าแอบเข้าไปปล้นยังจะดีกว่า ก่อเรื่องไปไม่น่าจะส่งผลดี”
เยี่ยเฟิงหานจ้องเขาเขม็ง “จะปล้นไปข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่าลืมว่าเรากำลังอยู่กลางสงคราม ไม่ควรสนใจแต่ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว เราเข้ามาถึงที่นี่ได้ แต่จะปล่อยให้คนอื่นต้องรับมือเรื่องอันตรายอย่างเดียวงั้นหรือ? จะให้พวกเขาตายเพื่อผลประโยชน์เรางั้นหรือ?”
ฉางเหอถึงกับพูดไม่ออก
คนอื่นก็ก้มหน้าลงต่ำไม่พูดจาเช่นกัน
ในช่วงเวลาเช่นนี้นับว่าหาความถูกต้องได้ยาก ไม่ใช่ว่าผู้นำทุกคนจะมีความชอบธรรมอยู่ในใจ กระทั่งศิษย์นิกายไร้ขอบเขตที่ยังมีแววใสซื่อก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้จึงสามารถทดสอบลักษณะนิสัยของผู้นำได้
ในเมื่อเยี่ยเฟิงหานตัดสินใจแล้ว คนที่เหลือจึงไร้ทางเลือกมีแต่ต้องทำตาม
เมื่อเยี่ยเฟิงหานเห็นว่าคนทั้งหมดดูเซื่องซึมไปจึงเอ่ยเพิ่มขึ้นว่า “ซานจื่อ เฉิงไห่ หลงเจา พาลูกน้องไปปล้นทุกสิ่งที่เจอเถอะ”
“รับทราบ!” ทุกคนต่างพากันตื่นเต้น
ฉางเหอหัวเราะ “ต้องแบบนี้สิ ห่วงคนอื่นได้แต่ก็ต้องห่วงตัวเองด้วย”
พูดจบก็หมุนตัวไป พร้อมบุกเข้าวังแสงตะวันชั่วกาลในพลัน
ทว่าเยี่ยเฟิงหานคว้าคอเขาไว้ทันใด “เจ้ามากับข้า”
“หา? อะไรกัน?” ฉางเหอเริ่มสับฝีเท้าตามเยี่ยเฟิงหานให้ทันระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าสู่โถงทางเดินภายใน ระหว่างทางพบนางรับใช้ปักษาที่กรีดร้องตกใจกลัวอยู่บ้าง เยี่ยเฟิงหานไม่สนพวกนางสักนิด
“นี่ บอกหน่อยสิว่าจะไปไหนกัน!” ฉางเหอยังไม่หยุดพูด
ตอนนี้พวกเขาจุดไฟแล้ว แต่ยังเกิดความวุ่นวายไม่มากพอให้เยี่ยเฟิงหานพอใจ ฉางเหอแอบหวังอยู่ในใจว่าให้ไฟลามไปช้าสักหน่อย เขาจะได้มีโอกาสค้นของให้มากขึ้นอีกสักนิด ดังนั้นจึงไม่ยินดีที่เยี่ยเฟิงหานลากเขามาอย่างไร้เหตุผล
“เราจะไปที่แก่นกัน” เยี่ยเฟิงหานตอบในที่สุด
“เจ้าหมายถึงคลังเก็บสมบัติในวังหรือ?” ฉางเหอตาเป็นประกาย
ซูเฉินเคยมายังคลังเก็บสมบัติแห่งนี้มาก่อน ดังนั้นจึงทำสัญลักษณ์ไว้ในแผนที่โดยเฉพาะ ฉางเหอจำมันได้แม่น แต่ไม่คิดว่าตนจะมีโอกาสได้มาปล้นด้วยตนเอง
เกินคาดที่เยี่ยเฟิงหานดับฝันเขาไปอีกครั้ง “เราไม่ได้จะไปที่นั่น”
“หา? เช่นนั้นจะไปไหน?”
“ไปปืนใหญ่สังหารปีศาจของปักษา” เยี่ยเฟิงหานตอบเสียงเรียบ
ฉางเหอได้ยินคำตอบก็ใจสั่นนิด ๆ
เป็นตอนนั้นที่เขานึกถึงความทรงพลังจนน่ากลัวของปืนใหญ่สังหารปีศาจที่ตั้งอยู่ในวังแสงตะวันชั่วกาลขึ้นมาได้
มันส่งพลังหาสิ่งใดเปรียบ กระทั่งเทพอสูรยังรับการโจมตีจากมันได้ยาก
หากเยี่ยเฟิงหานอยากไปสถานที่เช่นนั้น เป้าหมายต้องเป็นการใช้ปืนใหญ่ไม่ผิดแน่
ตอนนั้นเองที่ฉางเหอรู้ว่าตนไร้ทางเลือก มีแต่ต้องตามไปอย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น
คลังสมบัติหลวงอยู่ใกล้กับปืนใหญ่สังหารปีศาจมาก ฉางเหอเห็นประตูคลังกำลังโบกมือทักทายยั่วเขาอยู่ใกล้ ๆ ด้วยซ้ำ
ฉางเหอเจ็บปวดใจนักเมื่อเห็นประตูคลังสมบัติหลวงหายไป
คลังเหล่านี้มีสมบัติอยู่นับไม่ถ้วนเป็นแน่ อาจมีสมบัติประเภทที่นิกายไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ!
แต่ก็ต้องละทิ้งมันไปเช่นนี้!
น้ำตาเขาปริ่มจะไหล ฉางเหอจึงระบายความโกรธทั้งหมดกับศัตรูตรงหน้าแทน
“บุก!”
ฝ่ามือคลื่นระห่ำของเขารุดหน้าออก สังหารปักษาไปสอง พลังหมัดยังไม่ลดถอย กระแทกเข้ากับประตูเหล็กกล้าอีกครา
บานประตูระเบิดออกมาทันที เผยให้เห็นปืนใหญ่ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ในห้องกว้างหลังประตู
ปืนใหญ่สังหารปีศาจ!
ปืนใหญ่สังหารปีศาจมีปักษากลุ่มหนึ่งรักษาการอยู่ นับว่าเตรียมตัวรับมือกับผู้บุกรุกทั้งสองแล้ว ทันทีที่ประตูระเบิดออก ปักษาคนหนึ่งก็ใช้ดาบส่งสัญญาณ “ยิง!”
ฟ้าว ๆ!
ลูกศรคมกริบนับร้อยกรีดผ่านอากาศมาทางเยี่ยเฟิงหานและฉางเหอ
ปักษาเหล่านี้ล้วนเป็นมือธนูชั้นยอด ศรที่ยิงออกมาคือศรฝังเกราะ ที่สร้างขึ้นจากแก่นโลหะและหินแสงทมิฬ แต่ละดอกมีค่ายกลเล็ก ๆ ฝังอยู่ ช่วยเพิ่มพลังทะลวงมหาศาล อีกทั้งหัวศรยังจุ่มด้วยน้ำลายอสรพิษฝันผวาที่มีพิษร้ายแรง ศรเหล่านี้อาจโค่นล้มได้แม้กระทั่งด่านสู่พิสดารด้วยซ้ำ
ศรนับร้อยนี้ใช้หินพลังนับหมื่นก้อนนับหมื่น ทำเอาฉางเหอตกตะลึงไม่น้อย
เยี่ยเฟิงหานนัยน์ตาวูบวาบเมื่อใช้ลักษณ์เจ็ดสายเลือด
วิหคทองสามขาเหินขึ้นฟ้า แผ่พลังงานความร้อนหนาแน่นออกจากร่าง ราวกับตะวันดวงที่สองก็ไม่ปาน
ศรหลอมละลายไปในพลันด้วยไม่อาจทนพลังแห่ง ‘ตะวัน’ ได้ แม้ลักษณ์วิหคทองคำของเยี่ยเฟิงหานจะยังไม่ได้สำเร็จขั้นสูง ศรทั้งหลายจึงไม่ได้ละลายหายไปจนหมด แต่ก็ทรงพลังพอจะทำลายค่ายกลบนตัวศรได้ น้ำลายอสรพิษฝันผวาถูกเผาไหม้ไป ความเร็วลดลงมากจนเหลือเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น
“ยังไม่ลงมืออีก!” เยี่ยเฟิงหานร้องขึ้น
“โอ๊ะ!” ฉางเหอหลุดออกจากภวังค์แล้วสร้างเกราะในที่สุด
มันเป็นเกราะที่ดูเรียบง่ายไม่โดดเด่นเลย
เกราะที่ดูเรียบง่ายนี้กลับสามารถหยุดศรฝังเกราะได้โดยง่าย ลูกศรที่สามารถทะลวงขุนเขาทำได้เพียงพุ่งกระทบเกราะที่ดูธรรมดาสามัญเสียงดัง พลังทำลายล้างถูกหยุดยั้งไว้ทั้งหมด
อีกทั้งลักษณะพิเศษของลักษณ์วิหคทองคำไม่ใช่เกราะป้องกัน แต่เป็นการโจมตีต่างหาก!
เยี่ยเฟิงหานพลิกมือ “ไป!”
วิหคทองสามขากรีดเสียงยาวก่อนพุ่งออกไป
แม่ทัพปักษาชี้มันแล้วตะโกนสั่งลั่น “หยุดมันไว้!”
ทหารปักษาจึงซัดวิชาอาร์คาน่าเข้าใส่มัน แต่มีหรือจะยับยั้งเพลิงระห่ำของวิหคทองสามขาได้?
มันพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างไม่ลดละ ราวกับลูกไฟที่อัดแน่นไปด้วยพลัง ยามมันระเบิดออกก็ระเบิดร่างปักษาทั้งหลายเป็นชิ้น ๆ
“โอ้” ฉางเหอผิวปากยาวก่อนเอ่ยคำ “พลังสูงส่งไม่ใช่เล่น ไม่เห็นรู้ว่ามันแกร่งเช่นนี้”
“ท่านเจ้านิกายมอบเลือดจากสายเลือดวิหคทองคำให้ข้าขวดหนึ่งจึงช่วยเพิ่มกำลังให้มันมากขึ้น” เยี่ยเฟิงหานตอบตามตรง
คือเหตุผลเบื้องหลังการที่เยี่ยเฟิงหานจู่ ๆ ก็ทรงพลังขึ้นนั่นเอง
ลักษณ์ที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นไม่ได้ถูกแยกออกจากระบบสายเลือดอย่างสมบูรณ์
คนไร้สายเลือดยังสามารถใช้พลังลักษณ์ได้
แต่การมีสายเลือดจะช่วยทำให้พลังลักษณ์มีมากขึ้นกว่าเก่า
จริง ๆ แล้วซูเฉินไม่เคยคิดจะทำลายตระกูลสายเลือดชั้นสูงจนสิ้น เป้าหมายเขาเพียงต้องการทำลายข้อจำกัดเรื่องการต้องมีสายเลือดในการบำเพ็ญตนเท่านั้น การมีพลังจากสายเลือดคอยสนับสนุนเป็นเรี่ยวแรงให้เผ่ามนุษย์อย่างไรก็เป็นเรื่องดี
ใช่แล้ว นี่คือจุดที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะอยู่ในอนาคต
การบำเพ็ญตนจะกลายเป็นหนทางหลักในการเพิ่มพลังให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้น แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ยังต้องมีอยู่เช่นกัน
ขณะที่เยี่ยเฟิงหานจัดการทหารปักษา ฉางเหอก็รุดเข้าไปคุมปืนใหญ่สังหารปีศาจ!
“ฮ่า ๆ! ปืนใหญ่สังหารปีศาจเป็นของเราแล้ว ได้ใช้มันกับปักษาเมื่อไหร่สนุกแน่!” ฉางเหอหัวเราะลั่น
ใช่แล้ว การยิงปืนใหญ่สังหารปีศาจใส่ปักษาภายในเมืองจะช่วยเร่งการทำลายแนวป้องกันของปักษาอย่างแน่นอน เป็นแรงหนุนสำคัญแน่!
แต่เมื่อฉางเหอกำลังกระโจนใส่ปืนใหญ่สังหารปีศาจ เยี่ยเฟิงหานกลับตะโกนขึ้น “ระวัง!”
หอกเล่มหนึ่งพลันปรากฏจากที่ใดไม่ทราบ เล็งมายังฉางเหอ
ฉับพลันฉางเหอพบว่าตนไม่อาจถอยหลบได้
แรงกดดันระลอกหนึ่งปกคลุมร่างทำให้เขาไม่อาจขยับได้
มีแค่คนเดียวที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ คือปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10
“จบกัน!” ฉางเหอร้องขึ้นด้วยสีหน้าทั้งสิ้นหวังและเสียใจ