ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 37 ยักษ์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 37 ยักษ์

เคร้ง!

จังหวะที่ฉางเหอคิดว่าต้องตายแน่แล้ว มือโลหะข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า สกัดหอกที่กำลังพุ่งเข้ามาไว้

หอกพยายามสลัดตนให้หลุด แต่ไม่อาจทำได้ สุดท้ายจึงสลายหายไป

ฉางเหอจึงเห็นว่ามีรูปปั้นโลหะขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

หุ่นเชิดยักษ์!

นี่คือหุ่นเชิดยักษ์ที่ซูเฉินมอบให้เยี่ยเฟิงหาน โดยเขาเลือกนำมันออกมาใช้ตอนนี้เพื่อรักษาฉางเหอไว้

เมื่อหอกหายไป เจ้าของหอกก็ปรากฏตัว

ผู้อาวุโสปักษาคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดข้าหลวงอันวิจิตรบรรจงปรบมือยามมองภาพตรงหน้า

“หุ่นเชิดยักษ์? ซูเฉินคงร่ำรวยไม่น้อยจึงมอบให้เจ้าตัวหนึ่งได้ แต่มีแค่ 4 ตัวกระมัง?” ปักษาชราว่า

“ผิดแล้ว ตอนนี้อาจารย์มี 50 ตัว” เยี่ยเฟิงหานตอบเสียงเย็น

“50 ตัว?” ปักษาชราได้ยินแล้วตกใจ แต่ครู่ต่อมานัยน์ตาก็เป็นประกาย “เช่นนั้นเจ้าคงเป็นศิษย์ซูเฉินกระมัง?”

“ใช่แล้ว!” ฉางเหอประกาศอย่างภาคภูมิ “เป็นศิษย์คนเดียวด้วย”

“หุบปากน่า!” เยี่ยเฟิงหานเอ่ย

ผู้อาวุโสจึงเทความสนใจไปทางเยี่ยเฟิงหาน “เยี่ยมเลย! เยี่ยมยอด! หากข้าจับเจ้าเป็น ๆ มาได้ ก็บีบให้ซูเฉินถอยได้!”

นับว่าเป็นไปได้ยากกับการจับศิษย์ซูเฉินแล้วจะบีบให้เขาถอยไปได้ ทว่าผู้อาวุโสปักษาก็ยึดความคิดนี้ราวกับเป็นหนทางรอด แม้จะรู้ว่ามีโอกาสน้อย แต่ก็ไม่ทิ้งโอกาสลองดูสักครา

เขาตะโกนลั่นทันควัน “คลื่นเหมันต์!”

อุณหภูมิในห้องลดลงกะทันหัน คลื่นน้ำแข็งไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้น ห่อหุ้มทั้งห้องไว้ด้วยน้ำแข็ง มีเพียงปืนใหญ่สังหารปีศาจที่เรืองแสงต้านคลื่นเหมันต์ไว้

ฉางเหอสะบัดท่าดัชนีพุ่งออกไป

หุ่นเชิดยักษ์รุดหน้ากระโจนออกไปพร้อมกับท่าหมัด น้ำแข็งปริแตกเกือบทันที เห็นได้ชัดว่าไม่อาจยั้งหุ่นเชิดยักษ์ไว้ได้สักนิด

ผู้อาวุโสปักษาไม่คิดใช้น้ำแข็งผนึกหุ่นเชิดยักษ์ไว้อย่างเดียวอยู่แล้ว ทว่าปักษาเองก็มีหุ่นเชิดยักษ์เช่นกัน จึงรู้ว่าควรรับมืออย่างไร ผู้อาวุโสเริ่มสลัดริ้วแสงใส่หุ่นเชิดที่กำลังพุ่งเข้ามา

แสงต่างหากที่เป็นการโจมตีหลัก น้ำแข็งเป็นเพียงการโจมตีเสริมเท่านั้น

การโจมตีจากปักษาชรากระหน่ำใส่หุ่นเชิดยักษ์ เติมเต็มฟ้าไปด้วยแสงระยับที่พุ่งเข้าใส่เจ้าหุ่นเป็นระลอก

หุ่นเชิดยักษ์ฝืนรับการโจมตีเหล่านั้นไว้แล้วกระแทกหมัดออกมาต่อ

ในขณะที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะมีความคล่องตัวมากกว่า หุ่นเชิดยักษ์ก็มีความแกร่งมากกว่าเช่นกัน ร่างกายของพวกมันแข็งเหมือนกับพื้นในถ้ำว่านไหล ป้องกันจากพลังต้นกำเนิด ลดแรงโจมตีจากวิชาอาร์คาน่าหรือวิชาต้นกำเนิดได้

ความคงทนอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ทำให้ทำลายพวกมันได้ยากนัก ยามประมือกัน กระทั่งด่านมหาราชันยังโค่นมันได้ไม่ง่าย

แต่การโจมตีอันเรียบง่ายเช่นนี้คือจุดอ่อนใหญ่สุดของมัน

หุ่นเชิดยักษ์ปกติแล้วเก่งกาจการต่อสู้ระยะประชิด ทั้งยังมีวิชาต้นกำเนิด แต่ความสามารถในการต่อสู้ระยะไกลนั้นต่ำเตี้ยนัก

กลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดยักษ์จึงเป็นการไม่ปล่อยให้มันเข้าประชิดตัวเกินไป

แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ

หุ่นเชิดยักษ์มีแกนพลังงานแห่งซาร์คคอยให้พลังงาน แม้ตัวแกนพลังนี้จะด้อยกว่ารุ่นดั้งเดิมมาก แต่ใช้มันให้พลังหุ่นเชิดยักษ์ก็ทำให้มันใช้พลังได้นานกว่าผู้ใช้พลังหน้าไหน ยกเว้นว่าผู้เชี่ยวชาญคนไหนจะพกหินพลังและยามาเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างด่านมหาราชันกับหุ่นเชิดยักษ์จึงมักจบลงที่ทางตัน

แต่หุ่นเชิดยักษ์มีความสามารถในเรื่องการชิงลงมือก่อนด้อยกว่า การเล็งโจมตีเป้าหมายเพียงเป้าเดียวนับว่าไร้ประสิทธิภาพกว่ามาก

ด้วยเหตุนี้หุ่นเชิดยักษ์จึงมักถูกนำมาใช้ในสงคราม ไม่ใช่การประลองตัวต่อตัว กระทั่งด่านผลาญจิตวิญญาณยังแทบไม่เกรงกลัวหุ่นเชิดยักษ์ หากเอาชนะไม่ได้ หนีไปก็สิ้นเรื่อง

พายุแสงปะทะร่างหุ่นเชิดยักษ์ แต่การโจมตีเช่นนี้สำหรับมันแล้วไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

เห็นดังนั้น ฉางเหอก็หัวเราะคิก

วิชาอาร์คาน่าระดับ 10 ทำอะไรหุ่นเชิดยักษ์แทบไม่ได้ ดังนั้นจึงนับว่ากำชัยไว้ได้เป็นมั่นเหมาะ ยิ่งมีทั้งเยี่ยเฟิงหานและฉางเหออยู่ด้วยเช่นนี้

ฉางเหอเอ่ย “เฟิงหาน เราเองก็ไปด้วยเถอะ”

“เจ้าเงียบปากแล้วอยู่รอนิ่ง ๆ เสีย!” เยี่ยเฟิงหานตวัดสายตามอง

ด่านสู่พิสดารพันคนจึงจะรับมือด่านมหาราชันสักคนได้ คิดหรือว่าด่านผลาญจิตวิญญาณกับด่านสู่พิสดารอย่างละคนจะทำอะไรได้? คิดหรือว่ามีหุ่นเชิดแล้วอีกฝ่ายจะไร้หนทางสู้?

ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 10 อย่างไรก็หาจังหวะลงมือได้ง่ายอยู่แล้ว

“เจ้าหลบด้านหลังแล้วคงเกราะไว้ จับตาดูเวลาเขาเคลื่อนกายหมายจะลงมือกับเราก่อนด้วย” เยี่ยเฟิงหานเตือน

ได้ยินคำเตือนแล้ว ฉางเหอก็ได้สติแล้วนิ่งเงียบไป มองดูภาพการต่อสู้ดำเนินต่อ

เมื่อเห็นว่าทั้งสองยังรั้งอยู่ ผู้อาวุโสจึงหัวเราะ “ไอ้หนูเช่นพวกเจ้าฉลาดไม่น้อย แต่คิดหรือว่าเท่านี้จะมากพอ?”

ว่าแล้วร่างเขาก็กะพริบ ปรากฏอีกทีข้างกายเยี่ยเฟิงหาน

เยี่ยเฟิงหานดูไม่ตกใจ กลับหัวเราะออกมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องทำเช่นนี้”

ผู้อาวุโสเอื้อมมือคว้าเยี่ยเฟิงหานแต่จับได้เพียงธาตุอากาศ

โป๊ะ!

เยี่ยเฟิงหานร่างกายสลายกลายเป็นฟอง

ปักษาชราชะงัก “บุปผาในกระจก?”

“ไม่ใช่ …วิชาสรรพสิ่งลวงตาต่างหาก!” เยี่ยเฟิงหานและฉางเหอปรากฏกายขึ้นใหม่ฝั่งตรงกันข้าม

วิชาสรรพสิ่งลวงตาของซูเฉินมีผลเฉกเช่นบุปผาในกระจก เมื่อใช้กับหุ่นเชิดยักษ์จึงทำให้หลบการโจมตีเกือบทั้งหมดได้

ปักษาชราทำไม่สำเร็จ พร้อมกันนั้นในมือหุ่นเชิดยักษ์ก็ปรากฏหอกเล่มหนึ่ง ปาเข้าใส่ปักษาชรา

นับเป็นหนึ่งในการโจมตีระยะไกลที่หุ่นเชิดยักษ์มี พลังโจมตีเทียบเท่าได้กับหอกสายฟ้าขั้น 8 ทีเดียว

ผู้อาวุโสปักษาเพียงแต่ยกมือขึ้นโบก ก็เกิดม่านแสงขึ้นบนฟ้า ดูดกลืนหอกหนักที่กำลังพุ่งเข้ามาไว้ได้

แต่พริบตาต่อมา หุ่นเชิดยักษ์ก็พุ่งเข้ามาอีกครา มันพุ่งไปข้างหน้า ในขณะที่ส่งหมัดเหล็กพุ่งเข้าหาปักษาชรา

การโจมตีที่ดูธรรมดาครั้งนี้แท้จริงแล้วกลับทรงพลังมากกว่าวิชาของหุ่นเชิดยักษ์เสียอีก ปักษาชราไม่อาจรั้งรอ มีแต่ต้องเคลื่อนกายหนีไปอีกครั้ง

จากนั้นจึงปรากฏกายขึ้นใหม่ ทว่าวิหคทองสามขาก็พุ่งเข้าโจมตีเสียได้

แม้ปักษาชราจะเคลื่อนพลังทั้งหมดในร่างเพื่อรับการโจมตี แต่แรงพลังก็ยังซัดเขาจนเซ

บัดซบ เขาถูกเจ้าเด็กนั่นโจมตีโดนจริงหรือ?

ไม่ไกลกันนัก ฉางเหอถามขึ้น “ไหนเจ้าบอกว่าไม่ให้โจมตีไง?”

เยี่ยเฟิงหานตอบเสียงเคร่ง “หากมีจังหวะก็โจมตีได้”

ฉางเหอถาม “แล้วจังหวะนี่มันตอนไหนกัน?”

เยี่ยเฟิงหานตอบ “ก็เมื่อครู่นี้”

ฉางเหอถาม “เช่นนั้นจังหวะต่อไปจะมาเมื่อไหร่?”

เยี่ยเฟิงหานกลอกตา “แล้วข้าจะรู้ไหม?!”

หุ่นเชิดยักษ์หมุนกายทันทีและโจมตีต่อไป

ปักษานับว่าตัวเล็กดั่งยุงตัวหนึ่งเมื่อเทียบขนาดกับหุ่นเชิดยักษ์

น่าเสียดายที่หุ่นเชิดตัวนี้ไม่สามารถทำอะไรยุงได้ เจ้ายุงใช้ความคล่องแคล่วหลบการโจมตีของหุ่น และหาจังหวะจับตัวเยี่ยเฟิงหาน กระนั้นเยี่ยเฟิงหานเองก็ไหลลื่นไม่น้อย มีหนทางหลบหนีมากมาย นอกจากวิชาสรรพสิ่งลวงตาแล้วยังมีร่างแยกเลือดกับวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายอีก ซูเฉินพัฒนาวิชาใด เยี่ยเฟิงหานล้วนเรียนรู้มาหมดสิ้น สลับกันใช้ไป เปิดใช้เกราะไว้ตลอดเพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสปักษาสบโอกาส

ผู้อาวุโสจึงไม่อาจทำอะไรได้

ดังนั้นการต่อสู้จึงถึงทางตัน

แต่กระนั้นก็เป็นทางตันที่จะถูกทำลายในอีกไม่นาน

ผู้อาวุโสลองหาจังหวะอีกหลายครั้ง สุดท้ายแล้ว หลังจากที่เยี่ยเฟิงหานหลบการโจมตีไปได้อีกหลายหน ผู้อาวุโสจึงเอ่ยขึ้น “มีวิชาเท่านี้เองหรือ? ใช้สลับกันไปมาอยู่ตลอดเช่นนี้”

เยี่ยเฟิงหานตอบ “หากท่านจับข้าไม่ได้ เท่านี้ก็พอแล้ว”

ผู้อาวุโสปักษาพลันขำ “คิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้หรือ? ขออภัยที่ต้องทำให้ผิดหวัง!”

เขากระโจนเข้ามาอีก เอื้อมคว้าเยี่ยเฟิงหาน ในตอนที่กำลังเอื้อมคว้าศีรษะเยี่ยเฟิงหานได้ เขากลับพุ่งไปอีกทางแล้วเหวี่ยงมือออกไป

ตูม!

ทั้งเยี่ยเฟิงหานและฉางเหอถูกการโจมตีดุดันส่งร่างกระเด็น

ถูกมองวิชาออกหรือ?

ทั้งคู่อึ้งไป

“เจอตัวแล้ว!” ผู้อาวุโสหัวร่อ

เยี่ยเฟิงหานรีบใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย แต่แปลกใจที่พื้นที่โดยรอบเหมือนจำกัดไม่ให้เขาใช้วิชาได้ ทำให้ไม่อาจเคลื่อนกายไปที่ใด

“คิดจะหนีหรือ?” ผู้อาวุโสคำรามขู่

แม้ไม่เชี่ยวชาญวิชาพลังสูญนัก แต่อย่างไรก็เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 10 การผนึกพื้นที่ในระยะสั้น ๆ ไม่นับเป็นปัญหา ที่สำคัญศัตรูเองก็ไม่เชี่ยวชาญวิชาพลังสูญเช่นกัน หากเป็นซูเฉิน ก็นับว่าคงกลายเป็นวิชาน่าขันไปแล้ว

แต่ตอนนี้เยี่ยเฟิงหานกลับไม่อาจหนีไปไหนได้

ปักษาชราออกแรงเล็กน้อยก็ทำลายเกราะลงง่าย ๆ

และในตอนที่กำลังจะจับตัวเยี่ยเฟิงหานได้จริง ๆ สักที ก็เห็นว่าหุ่นเชิดยักษ์กำลังพุ่งเข้ามาจากหางตา

ผู้อาวุโสทำเพียงโบกมือ รูปปั้นโลหะพลันขยับเคลื่อน พุ่งเข้าปะทะกับเจ้าหุ่นเชิดยักษ์

เขามีวิชาที่เทียบขั้นกับวิชาอาร์คาน่าระดับตำนานได้อยู่ด้วย แต่กลับเลือกใช้มันในจังหวะนี้

รูปปั้นโลหะสกัดหุ่นเชิดยักษ์ไว้ได้ ส่งผลให้ผู้อาวุโสลงมือจับตัวเยี่ยเฟิงหานต่อได้

ในตอนที่กำลังจะแตะถูกตัวเยี่ยเฟิงหาน เขากลับเห็นว่าเยี่ยเฟิงหานมีสีหน้านิ่งสงบนัก

นี่มัน…

ปักษาชราเคยผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน นับว่ามีประสบการณ์สูง

ดังนั้นเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนี้จึงรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ทันใดนั้นร่างเยี่ยเฟิงหานก็เปล่งแสงสีขาวจ้าออกมา

แสงสีขาวนี้ราวกับจะทะลุทะลวงไปทั่วร่าง ทรมานเขาให้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

เป็นไปได้ยังไงกัน?

นี่มันวิชาอะไรกันแน่?

เหตุใดเขาจึงใช้วิชาอาร์คาน่าไม่ได้เล่า?

แล้วทำไมถึงควบคุมอีกฝ่ายไม่ได้?

ผู้อาวุโสตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายอยู่แค่ด่านผลาญจิตวิญญาณแน่หรือ?

แล้วเหตุใดตรงหน้าเขาจึงเหมือนกับมีดวงอาทิตย์กำลังกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกดวงเลยเล่า?

แท้จริงแล้วยังมีอย่างอื่นอยู่อีก

เพราะการเคลื่อนไหวของหุ่นเชิดเองก็พลันเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

มันกระโจนขึ้นฟ้าราวกับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ปล่อยวิชาทรงพลังมากมายออกมาทำลายเกราะเขาแทบจะในพริบตา

ทำไมกัน?

เหตุใดจู่ ๆ หุ่นเชิดยักษ์จึงได้คล่องแคล่วว่องไวเช่นนี้?

อีกฝ่ายเพียงแต่เสแสร้งไปเท่านั้น!

มนุษย์ทั้งสองคนทำทีเป็นเสียท่า หุ่นเชิดก็เช่นกัน!

ปักษาชราคิดอยากถอย แต่พบว่าไม่อาจทำได้

เยี่ยเฟิงหานกำลังบุกเข้ามาแล้ว นับว่าไม่เปิดโอกาสให้เขาหนีเลยทีเดียว

แสงสีขาวบนร่างเขากำลังเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

ปักษาชราไม่อาจหลบหนีไปไหนได้จนกว่ามันจะหายไปทั้งหมด

เขาจึงไร้ทางเลือก ได้แต่มองหุ่นเชิดยักษ์ส่งหมัดหนักหน่วงเล็งมายังศีรษะตน

สิ่งที่ได้ยินก่อนสิ้นใจคือ “เจ้ารอสบโอกาส ข้ากับมันก็เช่นกัน…”