ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 801 สมบัติล้ำค่า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

“ส่วนใหญ่เป็นการชื่นชมคุณชายท่าน” อาหู่พูดพร้อมหัวเราะเหอะๆ “คนหนุ่มผู้มีความสามารถ พรสวรรค์เลิศล้ำ เลื่อนจากบรรลุธรรมเป็นศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่อายุยังน้อย มาพร้อมกับพลังแข็งแกร่ง สังหารยอดฝีมือระดับเดียวกันไปมากมาย ถึงขั้นข้ามระดับสังหารยอดฝีมือที่มีระดับสูงกว่า”

“พลิกฟ้าพลิกดินบนทะเลหวงเจีย ราชวงศ์ต้าเซียนอ๋องที่มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนจำนวนมากไม่อาจทำอะไรท่านได้ กลับถูกคุณชายท่านเล่นงานจนหน้าคลุกฝุ่น”

“ยังไม่อยู่ในขั้นเทวะสำแดง กลับครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง อีกทั้งยังกระตุ้นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงนี้ได้”

“นอกจากนี้ยังได้รับความสำคัญและคำชมจากประมุขอาคเนย์ สนิทสนมกับราชากระบี่ภูผาเงาหลินฮั่นหัว”

อาหู่นับนิ้วเอ่ยว่า “มีการคาดเดาถึงความเป็นมาของท่านมากมาย บ้างว่าท่านกำเนิดจากข้างทางในโลกเบื้องล่างใบหนึ่ง บ้างว่าจริงๆ แล้วท่านเป็นลูกศิษย์ของราชันพระอาทิตย์ หนึ่งในเก้านพเคราะห์ในตำนาน จึงสามารถครองครองตราประทับตะวันได้”

“ยังมีคนบอกว่าความจริงแล้วท่านเป็นลูกศิษย์ของประมุขอาคเนย์ ปัจจุบันในที่สุดก็ออกผจญภัย”

“สรุปคือผู้คนวิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ต่างคนต่างยึดมั่นความเห็นของตัวเอง ไม่มีใครโน้มน้าวใครได้”

อาหู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ชื่อเสียงในตอนนี้ของคุณชายท่าน ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ทะเลหวงเจียอีกแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอรับฟังอย่างออกรส ยิ้มกว้างพลางลูบคางของตัวเอง “อืม ไม่เลวๆ”

เขาหันไปพูดกับเฟิงอวิ๋นเซิงว่า “อวิ๋นเซิง คราวนี้สมควรนำสมบัติล้ำค่าออกมาจึงจะถูก”

ขณะมองท่าทางได้ใจของเขา เฟิงอวิ๋นเซิงก็อดหัวเราะไม่ได้ “เหมือนกับเด็กโข่งอย่างไรอย่างนั้น”

นางส่ายหน้า เข้าไปในวังฝูงมังกร

ส่วนลึกของวังฝูงมังกร วางไว้ด้วยกรงขนาดยักษ์ ด้านในมีอสูรยักษ์ตัวหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายกระหายเลือด กลิ่นอายดุร้ายยิ่ง

อสูรร้ายตัวนี้เหมือนกวาง ทว่าไม่ใช่กวาง เหมือนหมาป่า ทว่าก็ไม่ใช่หมาป่า ด้านหลังมีหางขนาดใหญ่ที่เหมือนกับงูเหลือมอยู่ด้วย

กลับเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอได้เจอโดยบังเอิญในตอนที่เดินทางอยู่ในสถานที่อื่นบนเขตตะวันอาคเนย์ ชื่อว่าเม่าเหลียง

มันมีนิสัยดุร้ายยิ่ง กินคนเป็นอาหาร เป็นปีศาจที่โหดเหี้ยมตัวหนนึ่ง

เม่าเหลียงที่ถูกจับไว้ตัวนี้มีความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลังไม่ด้อยกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เลย

ทว่าเมื่อถูกขังอยู่ในกรง สภาวะของเม่าเหลียงตัวนี้ก็เสื่อมสลายไปมาก

ครั้นมองเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงเข้ามา ร่างของมันก็สั่นเทาเล็กน้อย

เฟิงอวิ๋นเซิงไม่มองมัน มุ่งหน้าไปที่ด้านข้างกรง ตรงนั้นมีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์อยู่ด้วย

ด้านในก้อนน้ำแข็งมีอะไรบางอย่างที่เป็นสีขาวถูกแช่เอาไว้ เหมือนกับเศษกระดูกก้อนเล็กๆ หลายชิ้น

หลังจากเฟิงอวิ๋นเซิงแก้ผนึกก่อนหนึ่งอย่างระมัดระวัง นางก็เอาเศษกระดูกออกมา

ในตอนที่มองการเคลื่อนไหวของนาง หางของตัวเม่าเหลียงก็หดสั้นโดยสัญชาตญาณ

หลังจากเฟิงอวิ๋นเซิงนำเศษกระดูกออกมาเสร็จ หญิงสาวถึงเดินออกจากวังฝูงมังกร บดกระดูกให้เป็นเศษที่เล็กกว่าเดิม จากนั้นก็นำส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งโยนเข้าไปในหม้อ

แทบจะเป็นในชั่วพริบตาเดียว กลิ่นหอมในหม้อเข้มข้นยิ่งขึ้น ทำให้ทุกคนที่รับประทานจนเกือบอิ่มแล้วน้ำลายสอ

กระดูกที่เหลือ เฟิงอวิ๋นเซิงใช้ไม้เสียบเอาไว้ จากนั้นก็ก่อกองไฟอีกกอง แล้วย่างมีนไว้ด้านบน

ตัวเม่าเหลียงที่ซุ่มโจมตีพวกเยี่ยนจ้าวเกอในตอนแรก แท้จริงแล้วพวกมันมีทั้งหมดสองตัว ตัวหนึ่งถูกเยี่ยนจ้าวเกอเชือดทิ้งคาที่ อีกตัวหนึ่งถูกจับมาขังไว้

ตรงข้อกระดูกบนร่างของตัวเม่าเหลียงมีกระดูกอ่อนชิ้นเล็กๆ อยู่จำนวนหนึ่ง หากนำมาปรุง จะให้รสชาติดีที่สุด

เยี่ยนจ้าวเกอรับกระดูกเสียบไม้ที่ย่างเสร็จแล้วมากัดกระดูกอ่อนชิ้นหนึ่ง จุ๊ปากชมเชย “ตั้งแต่เดินทางมา สิ่งนี้อร่อยที่สุด”

เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่รังเกียจที่ฝีมือการปรุงของข้าหยาบไปบ้างก็ประเสริฐ”

นางรักการกินและตะกละ แต่ว่าเป็นเพราะเคยออกผจญภัยคนเดียวในตอนอายุยังน้อย เวลาที่ตนทำกับข้าว จึงมักจะใช้วิธีการที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “รสชาติดีก็ใช้ได้แล้ว สนใจวิธีไปไย”

หญิงสาวหยิบกระดูกเสียบไม้มารับประทานด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงใจ “อาหารยิ่งประณีตยิ่งดี เนื้อยิ่งเล็กยิ่งอร่อย รอมีเวลาว่าง ข้าจะค่อยๆ ศึกษาพร้อมไปเรียนกับผู้เชี่ยวชาญ”

“อยากพัฒนาตัวเองย่อมประเสริฐ” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าหงึกหงัก

ทุกคนต่างสนุกสนาน หมู่เกาะยักษ์ปรากฏขึ้นตรงจุดตัดของทะเลและขอบฟ้าแล้ว

หมู่เกาะเกินกว่าคำว่าใหญ่โต ยึดสายตาไปจนหมด เหมือนกับแนวชายฝั่งทวีป

หมู่เกาะมากมายของหมู่เกาะอาทิตย์ตก หากบอกว่าเป็นดินแดนขนาดเล็กหลายผืน ก็ไม่เกินจริงเท่าไรนัก

พวกเยี่ยนจ้าวเกอขึ้นชายฝั่ง พ่านพ่านร่างเริ่มหดเล็กลง จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในอ้อมอกของเฟิงอวิ๋นเซิง แล้วหาวอย่างเกียจคร้าน

“นายหญิงเคยอยู่ที่นี่ แต่ว่าเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว” เสี่ยวอ้ายเดินไปพลางพูดไปพลาง

เยี่ยนจ้าวเกอถาม “เจ้าเคยบอกว่า ท่านแม่บางครั้งจะกลับไปสถานที่ก่อนหน้าใช่หรือไม่?”

เสี่ยวอ้ายพยักหน้า “มีสองครั้ง แต่ว่าจะกลับมายังที่นี่หรือไม่ ข้าก็ไม่กล้ายืนยัน”

ชายหนุ่มก้าวเดินออกไปก่อน “ลองดูก่อนค่อยว่ากัน”

เกาะนี้มีชื่อว่าดินแดนวาฬ บนชายฝั่งมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง ชื่อว่าเมืองตกวาฬ

ขุมกำลังที่กุมความเจริญของที่นี่ คือตระกูลหนึ่ง ถูกเรียกว่าตระกูลเซี่ยแห่งเมืองตกวาฬ ประมุขตระกูลเซี่ยเลี่ยงเป็นยอดฝีมือที่เลื่อนจากบรรลุธรรมเป็นศักดิ์สิทธิ์

ทว่าที่ตระกูลเซี่ยปกครองเมืองตกวาฬและเขตแดนรอบๆ ได้ สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งคือด้านหลังพวกเขาอาศัยพรรคลมหายใจวาฬซึ่งเป็นผู้ปกครองดินแดนวาฬ

ในหมู่เกาะอาทิตย์ตก พรรคลมหายใจวาฬเป็นสำนักยิ่งใหญ่ที่กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก ตำแหน่งเทียบเท่ากับหอกระบี่ทะเลเหนือ และเกาะมนุษย์สำริดที่อยู่บนทะเลหวงเจีย

เมืองตกวาฬที่ตระกูลเซี่ยครองอยู่ ไม่ได้เป็นแค่ป้อมปราการแห่งหนึ่งเท่านั้น

รอบเมืองตกวาฬมีอาณาเขตกว้างใหญ่ อีกทั้งยังมีป้อมปราการน้อยใหญ่อยู่มากมาย ถึงแม้ว่าจะใหญ่สู้เมืองตกวาฬไม่ได้ แต่ก็นับเป็นอาณาเขตของตระกูลเซี่ยอยู่ดี

ในขณะเดียวกันป้อมปราการยังหันหน้าเข้าหาทะเล ผลผลิตจากน่านน้ำอันไพศาลซึ่งอยู่ใกล้ๆ และธุรกิจการเดินเรือทำให้ตระกูลเซี่ยเจริญก้าวหน้า

เซี่ยเลี่ยงซึ่งเป็นเจ้าเมืองตกวาฬ ความจริงเป็นผู้ปกครองประเทศหนึ่ง

เมื่อเข้ามาในเมืองตกวาฬ เยี่ยนจ้าวเกอก็เดินตามเสี่ยวอ้ายอยู่ในเมือง รอจนเห็นสถานที่ที่เสวี่ยชูฉิงผู้เป็นมารดาเคยอยู่ กลับเห็นที่นั่นถูกทำลายแล้วสร้างทับด้วยสิ่งก่อสร้างอย่างอื่นไปแล้ว

ขณะมองหอสุราที่โอ่โถง มีผู้คนขวักไขว่ เยี่ยนจ้าวเกอก็นวดขมับตัวเอง “ดูแล้ว ต่อให้ท่านแม่กลับมาเมืองตกวาฬ ก็ต้องหาที่อื่นอยู่”

อาหู่กะพริบตาปริบๆ “คุณชาย ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ในเมื่อมาแล้ว ก็เข้าไปนั่งพักเสียหน่อย จะได้สืบหาข่าวไปด้วย ดูว่าท่านแม่ได้กลับมาหรือไม่”

คนสนิทร่างกำยำถาม “ไปถามเซี่ยเลี่ยงโดยตรงเลยดีหรือไม่ขอรับ”

“ยังไม่ต้อง เรื่องที่เกี่ยวกับท่านแม่ คนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี” เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่รู้เลยว่านางไปตอแยใครเข้า”

ทุกคนเดินเข้าไปด้านในอาคารสูงเกือบเก้าชั้น ภายในคึกคักยิ่ง มีแขกเต็มแน่นทุกที่นั่ง

แม้จะมีที่นั่ง ก็เป็นตำแหน่งที่คนอื่นจับจองไว้ก่อนแล้ว

อาหู่เข้าไปจัดการ เยี่ยนจ้าวเกอไม่กล่าวมากความ

ต่อมาก็มีคนรับใช้มาต้อนรับ นำพวกเยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัว

คนที่อยู่ที่นี่ มีระดับพลังฝึกปรือไม่สูงนัก เยี่ยนจ้าวเกอมองรอบๆ ถึงขั้นเจอจอมยุทธ์ระดับหลอมกายที่หลอมปราณจิตรายังไม่ได้ ยังไม่เลื่อนเป็นขั้นปรมาจารย์อยู่ด้วย

ครึ่งปีกว่าๆ มานี้ ขณะที่เดินทางไปทั่วเขตตะวันอาคเนย์ เยี่ยนจ้าวเกอได้เจอจอมยุทธ์ธรรมดาๆ หรือคนทั่วไปที่ไม่ฝึกฝนวรยุทธ์โดยสิ้นเชิงเช่นนี้เป็นจำนวนมาก

ทีแรกที่ชายหนุ่มพบเจอกับพวกหลินฮั่นหัว คังผิง และหลัวจื้อเทาทั้งวันทั้งคืนในตอนที่เพิ่งฝ่าฟันบนโลกซ้อนโลกใหม่ๆ ถึงขั้นรู้สึกอยู่ในช่วงเวลาอีกช่วงหนึ่ง ต่อมาเมื่อเจอบ่อยๆ เข้า จึงค่อยๆ เริ่มชินไปเอง

พลังฝึกปรือในปัจจุบันของเขา ทำให้ตัวเขาหูดียิ่ง การพูดคุยของจอมยุทธ์ที่มีระดับค่อนข้างต่ำเหล่านี้ ต่อให้กดเสียงเบาขนาดไหน ก็ได้ยินอย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับว่าเยี่ยนจ้าวเกออยากฟังหรือไม่อยากฟังเท่านั้น

มิคาดเพิ่งนั่งลง ก็ได้ยินชื่อของตัวเองลอยมาทันที

………………..