ตอนที่ 773 ข้ามาที่แดนสวรรค์ เพื่อสังหารเทพ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ติ๊งต๊องรีบหันหน้ากลับไปพร้อมส่งสายตาให้อภัยอย่างถือตัว “ไอ้โง่นี่ช่างทำให้หมดสนุกเสียนี่กระไร!” 

 

 

ว่าตามจริงแล้ว แค่มันเห็นหน้าตี้เสียก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมา 

 

 

ตั้งแต่ยุคบรรพกาล เจ้าคนน่ารังเกียจนี้ก็เอาแต่พัวพันพี่สาวตัวน้อยทั้งวัน พี่สาวก็ปฏิเสธมันไปอย่างชัดเจนแล้วแท้ๆมิใช่หรือ? แต่ต่อให้ตีให้ตายก็ยังไม่เลิก สุดท้ายยังเป็นเหตุให้พี่สาวตัวน้อยต้องรับทัณฑ์สวรรค์ครั้งสุดท้ายนั่น จนพบกับจุดจบที่น่าอนาถใจ 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าไอ้โง่ผู้นี้จะมีชะตาชีวิตยืนยาว มันไม่ต้องจำศีลบ้างเลย ก็ยังมีชีวิตมาหลายปีขนาดนี้ 

 

 

สุดท้ายยังตามพัวพันมาจนถึงตอนนี้อีก 

 

 

แค่ประโยคเดียวของติ๊งต๊องก็ทำเอาตี้เสียโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ 

 

 

พระองค์คือผู้ปกครองแดนสวรรค์ กลับมาถูกไก่ตัวหนึ่งดูถูกเอาได้? 

 

 

เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงไม่น้อย ในแดนสวรรค์ไปจนถึงตลอดหกภพภูมิ มิว่าผู้ใดล้วนต้องให้ความเคารพเทียนตี้อย่างสูงสุด วันๆมีแต่หวาดกลัวว่าจะกระทำเรื่องใดที่ไม่เป็นการให้ความเคารพ เจ้าตัวนี้กลับขวัญกล้าและบังอาจนัก ถึงกับต่อปากต่อคำกับเทียนตี้อยู่ตลอดเวลา 

 

 

ติ๊งต๊องย่อมไม่สนใจหรอกว่าตี้เสียจะมีโทสะถึงเพียงไหน 

 

 

สำหรับมันแล้ว ตี้เสียผู้นี้ก็คือตัวไร้ยางอายที่มารังแกพี่สาวตัวน้อย มันย่อมต้องระบายโทสะให้พี่สาวด้วยตนเอง 

 

 

ดังนั้นแม้ว่าเปลวเพลิงสีดำของตี้เสียจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน สำหรับมันแล้วก็แค่ลมตดเท่านั้น 

 

 

มันใช้เปลงเพลิงสีทองพิสุทธิ์ของมันกลืนกินเปลวเพลิงสีดำที่ชั่วร้ายของตี้เสีย ทำให้ป้ายยี่ห้อของมันกลายเป็นเพียงแค่เศษขยะ 

 

 

เพราะการมาของติ๊งต๊อง ทำให้การฆ่าฟันของทั้งสองฝ่ายหยุดลงครู่หนึ่ง 

 

 

ตอนนี้เมื่อเปลวเพลิงสีดำของตี้เสียใช้การไม่ได้อีกต่อไป ไท่ซานอ๋องที่เสียมือไปแล้วข้างหนึ่งก็ฮึกเหิมขึ้นมาเป็นคนแรก 

 

 

“พี่น้องทั้งหลาย บุก ฆ่ามันอย่าให้เหลือแม้แต่กระดอง” 

 

 

เขากู่ร้องเสียงสูง ไม่รู้ว่าไปหาฆ้อนยักษ์มาจากที่ใดอีกด้ามหนึ่งส่งเสียงตะโกนออกไปเป็นคนแรก 

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะได้รับผลสะท้อนจากไท่ซานอ๋อง ยมราชองค์อื่นๆต่างก็ระเบิดพลัง ชักอาวุธประจำกายออกมา กระโดดเข้าสู่สนามรบ 

 

 

แม้แต่ฉู่เจียงและเสินฟางก็มิได้นิ่งเฉย บุกเข้าไปพร้อมๆกัน 

 

 

เพียงไม่นาน สถานการณ์ฆ่าฟันก็พลิกกลับ 

 

 

ก่อนหน้านี้เพราะเพลิงสีดำของตี้เสีย เป็นเหตุให้เผ่าภูติตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ตอนนี้เมื่อมีติ๊งต๊องที่ร่อนลงมาจากฟากฟ้า สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนไปแล้ว 

 

 

กลายเป็นว่ากองทัพจักรพรรดิสวรรค์และเหล่าเทพไม่อาจต้านทานเปลวเพลิงสีทองของติ๊งต๊องได้เลย 

 

 

ที่ใดที่เปลวเพลิงสีทองของมันผ่านเข้าไป แม้แต่พระราชวังสวรรค์ก็ยังต้องกลายเป็นกองเพลิงและเถ้าถ่าน 

 

 

สิ่งก่อสร้างในแดนสวรรค์ล้วนทำมาจากทรัพยาการล้ำค่าที่หายากที่สุด ไม่เพียงแต่ว่าวัตถุใดในโลกเบื้องล่างก็ไม่อาจเทียบได้ แม้แต่น้ำหรือไฟก็ไม่อาจกล้ำกลายมาโดยตลอด แต่แม้ว่าวัตถุธาตุเหล่านั้นจะยอดเยี่ยมเพียงไร ก็ยังไม่อาจต้านทานเปลวเพลิงสีทองของติ๊งต๊องได้เลย 

 

 

เมื่อได้แรงหนุนจากติ๊งต๊อง เหล่าเทพและกองทัพจักรพรรดิ์ในแดนสวรรค์ย่อมถูกไล่ล่าฆ่าฟัน จนไม่อาจต้านทาน ได้แต่ถอยกรูดตลอดเวลา 

 

 

แม้ว่าตี้เสียจะแข็งแกร่งกว่านี้ แต่ยามนี้ก็ยังต้องล่าถอยเช่นกัน 

 

 

ยามที่พระองค์ล่าถอยไป ยังคงฉุดคิดถึงฮว๋ายยู่ขึ้นมาได้ คว้านางถอยไปด้วยกัน 

 

 

แต่ว่าช่างนาเสียดายที่แม้จะถอยไปแต่ก็ยังไม่ทันจะได้ยืนหยัดตั้งมั่น ก็เห็นว่าที่ประตูสวรรค์ทิศใต้อยู่ๆก็มีไอปีศาจที่แข็งแกร่งบุกเข้ามา 

 

 

เป็นจิ้งจอกเก้าหางสีแดงขนาดใหญ่สองตัวเหยียบย่างลงงมาบนหมู่เมฆ 

 

 

ตี้เสียขมวดพระขนง เพียงครู่เดียว จิ้งจอกเก้าหางสองตัวนั้นก็พุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน แปลงร่างกลับเป็นสตรีโฉมสคราญและหนุ่มน้อยที่งดงามตรงเบื้องหน้านาง 

 

 

คือซูจี๋และซูเยานั่นเอง 

 

 

“อาหลัน เพราะมีเรื่องติดพันเล็กน้อย จึงทำให้มาช้าไปบ้าง เจ้ายังปลอดภัยดีใช่หรือไม่?” ซูเยาพอได้เห็นตู๋กูซิงหลัน ดวงตาจิ้งจอกทั้งสองข้างก็เป็นประกายขึ้นมา ทั้งยังสุกสกาวยิ่งกว่าดวงดาวเสียอีก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า ส่งยิ้มให้กับเขา “ทุกอย่างยังไปด้วยดี” 

 

 

นางย่อมคิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่นางถูกจับมาบนสวรรค์คนหนึ่ง จะชักนำให้เหล่าญาติสนิทมิตรสหายพากับบุกขึ้นมาเข่นฆ่า  

 

 

นี่ทำให้ตู๋กูซิงหลันเกิดความรู้สึกซาบซึ้งที่นางได้รับการดูแลทนุถนอมเอาไว้ในฝ่ามือ 

 

 

ซูจี๋มองดูนางแวบหนึ่ง พอได้เห็นรอยยิ้มแช่มชื่นของตู๋กูซิงหลัน ก็ต้องคิดถึงยามที่อยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ ที่ตนเคยได้ยินนางเอ่ยความตั้งใจราวปฏิญานเอาไว้ว่า สักวันหนึ่งจะต้องบุกขึ้นมาเข่นฆ่าบนแดนสวรรค์ให้จงได้ 

 

 

ตอนนั้นตนเพียงแต่นึกขำในความคิดอันอาจหาญของนาง คิดไม่ถึงว่าเพียงช่วงเวลาสั้นๆ นางก็สามารถทำสำเร็จได้แล้วจริงๆ 

 

 

ที่จริงตั้งแรกเริ่ม ในใจของตนก็ได้บ่มเพราะเมล็ดแห่งความหวัง ที่ขอให้นางสมปรารถนามาโดยตลอด 

 

 

คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันค่อยหันสายตากลับมาที่ร่างของซูจี๋บ้าง 

 

 

“บุญคุณความแค้นในกาลก่อน ก็ชำระมันในหมดสิ้นเสียในวันนี้เถอะ อย่าได้เกรงใจอีกเลย พี่สาวต๋าจี๋” 

 

 

ว่าแล้ว นางก็หันไปมองดูเหล่าเทพให้แดนสวรรค์แวบหนึ่ง 

 

 

แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แห่งการฆ่าฟัน แต่นางก็คอยสังเกตดูอยู่เสมอ ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ยังไม่เห็นเงาร่างของตี้ซินเลย 

 

 

มิว่าจะอย่างไร ครั้งก่อนที่มายังแดนสวรรค์ ตี้ซินก็ได้ช่วยเหลือนางเอาไว้มากมาย ตู๋กูซิงหลันย่อมจดจำน้ำใจของเขาได้ 

 

 

ส่วนเรื่องระหว่างเขาและพี่สาวต๋าจี๋นั้น ตู๋กูซิงหลันรู้สึกอยู่เสมอว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องที่ยังพูดจาไม่เข้าใจกันอยู่ ในเมื่อวันนี้ซูจี๋ขึ้นมาบนแดนสวรรค์ด้วยตนเองแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็อยากจะให้พวกเขาได้ใช้โอกาสนี้ พูดคุยกันอย่างจริงใจ 

 

 

“มิว่าจะอย่างไร เขาก็สมควรยังอยู่ในแดนสวรรค์ รอให้สงครามนี้สิ้นสุดลง พวกท่านก็พูดคุยกันดีๆเถอะนะ?” 

 

 

“ข้ามีความเชื่อมั่นว่า เขามิใช่คนชั่วร้าย” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพูดออกมาถึงเพียงนี้ ซูจี๋ก็รู้แล้วว่า ‘เขา’ ที่นางหมายถึงนั้นเป็นใครกัน  

 

 

นางไม่ได้พบหน้าเขามาเป็นพันปีแล้ว 

 

 

ครั้งก่อนที่ไล่ตามเขามาถึงแดนสวรรค์ ทำให้นางต่างจ่ายค่าตอบแทบด้วยการเกือบต้องสูญเสียครอบครัว ทั่งเผ่าพันธุ์เกือบสาบสูญ เมื่อกลับมายืนบนแดนสวรรค์อีกครั้ง มองดูแดนสวรรค์ที่เคยวิจิตรงดงาม ตอนนี้เหลือแต่เพียงซากปรักหักพังไปหมด ในใจของนางต้องเกิดรสชาติที่อธิบายไม่ถูก 

 

 

นางรักตี้ซินเพียงไร ก็เกลียดชังเขาถึงเพียงนั้น 

 

 

แต่พอขึ้นมาบนแดนสวรรค์แล้ว ใจของนางก็เกิดความรู้สึกอยากจะล่าถอยขึ้นมา ทั้งๆที่เดิมทีนางเคยสาบานเอาไว้ว่า หากได้พบกับเขาอีกครั้ง จะต้องเป็นวันที่นางจะแทงเขาด้วยตนเอง 

 

 

แต่ว่าคำพูดที่ตู๋กูซิงหลันนำกลับมาบอก ทำให้นางเกิดความลังเลขึ้นมา “ความคนึงหายาวนาน มิเคยร้างรา” 

 

 

แล้วทำไมตอนนั้น? 

 

 

ทั้งๆที่นางไม่ควรจะเชื่อถือเขาอีก แต่ช่วงที่ผ่านมากลับเอาแต่คิดถึงเรื่องในตอนนั้นอยู่ตลอดเวลา 

 

 

สายตาที่เขาเคยมองดูนาง ก็เป็นเช่นเดียวกับดวงตาของหมิงอ๋องที่มองดูตู๋กูซิงหลัน 

 

 

อบอุ่น อ่อนโยน แทบจะอยากนำทุกสิ่งที่ดีที่สุดในโลกมาไว้ในมือของนาง 

 

 

ซูจี๋เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ค่อยพยายามดึงจิตใจที่ฟุ้งซ่านให้สงบนิ่งลง 

 

 

“ข้ามาที่แดนสวรรค์ เพื่อสังหารเทพ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถอยออกไปด้านข้าง พลางทำท่าเชื้อเชิญ “เชิญเลย ตามสะดวก” 

 

 

เหล่าเทพที่สง่างาม แท้จริงไม่มีดีเลยสักคน จะดับสูญก็ดับสูญไปเถอะ 

 

 

ซูจี๋ไม่พูดอะไร มุ่งสู่สนามรบในทันที 

 

 

ซูเยาย่อมต้องติดตามไปอย่างใกล้ชิด 

 

 

เหล่าเทพที่เดิมทีก็พ่ายแพ้จนเสียกระบวนอยู่แล้ว ยามนี้จึงยิ่งเหมือนโดนลูกเห็บท่ามกลางหิมะ 

 

 

ซูจี๋และซูเยาต่างก็เป็นจิ้งจอกเก้าหางที่แข็งแกร่งที่สุด ถือเป็นสุดยอดในเผ่าปีศาจ ครั้งนี้พอเปิดฉากลงมือ ก็เรียกเลือดอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

กลิ่นคาวเลือดในอากาศยิ่งทีก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สิบสัตว์อสูรยักษ์ สิบยมราช ทัพภูติผีจำนวนนับไม่ถ้วน ติ๊งต๊อง ยังมีซูจี๋ซูเยาสองพี่น้อง กองกำลังที่พรั่งพร้อมเช่นนี้เมื่อถาโถมลงไป แม้แต่พวกชาวสวรรค์ที่สูงส่ง ก็ยังต้องกลายเป็นตัวน่าหัวเราะ 

 

 

พวกที่พวกเขาเคยดูถูก กำลังเหยียบย่ำอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาขึ้นไปเรื่อยๆ 

 

 

ทั้งหมดฉีกทึ้งเนื้อหนังที่หน้าด้านของทวยเทพ โยนพวกมันลงสู่ขุมนรกที่ไร้ขอบเขต 

 

 

ตี้เสียมองดูสถานการณ์ตรงหน้า แดนสวรรค์ที่เขาก่อร่างสร้างขึ้นมาอย่างยากเย็น จะต้องถูกทำลายลงไปอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ? 

 

 

……………………