ตอนที่ 774 สามีภรรยาร่วมต่อยตี

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ไอมารรอบกายของพระองค์ยังคงพุ่งพล่าน ในสายพระเนตรมีแต่ความไม่ยินยอม 

 

 

ทั้งหมดนี้คือเลือดเนื้อจากความพยายามของพระองค์ เดิมทีวันนี้สมควรเป็นวันที่พระองค์จะได้สมความปรารถนาทุกประการ วันดีที่สมควรจะได้ครอบครองจู่ฮว๋าย ทำไมสุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้? 

 

 

เส้นเลือดสีดำบนร่างของพระองค์ปูดโปนขึ้นมาอย่างน่าสะพรึงกลัว 

 

 

“เทียนตี้ พวกเราถอยก่อนเถอะ” ฮว๋ายยู่ยืนอยู่ข้างกายพระองค์ มือข้างหนึ่งประคองทรวงอกเอาไว้ มืออีกข้างก็สัมผัสลงไปบนท่อนพระกรของพระองค์อย่างระมัดระวัง 

 

 

เป็นเพราะว่าตี้เสียลงมือทำลายบุตรของนางกับมือ ทั้งยังคะนึงหาแต่จู่ฮว๋ายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นความรักที่นางมีต่อเขาจึงเพิ่มความเคียดแค้นอีกส่วนหนึ่ง 

 

 

แต่ว่าเมื่อครู่นี้ ขณะที่เหล่าภูติผีปีศาจเข่นฆ่าเข้ามา เขากลับไม่ลืมที่จะพานางถอยมาด้วยกัน 

 

 

ฮว๋ายยู่จึงเชื่อว่า ในใจของเขาที่สุดแล้วยังมีนางอยู่บ้าง 

 

 

พอคิดได้เช่นนี้ ในใจจึงมิได้เกลียดชังเขาถึงเพียงนั้นอีกแล้ว 

 

 

ก่อนหน้านี้นางเคยยอมลงไปเกิดบนโลกพร้อมกับเขาถึงห้าพันปี ฝ่าฝันความทุกข์ยากจนสามารถลืมตาอ้าปากได้ร่วมกับเขา แต่แม้กระทั่งยามที่เขาตกยากที่สุดที่นางเคยได้เห็นมา ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับวันนี้ 

 

 

“ที่นี่คือดินแดนของเรา เราจะถอยได้อย่างไร?” ตี้เสียพระเนตรแดงก่ำแล้ว พระองค์สะบัดมือของฮว๋ายยู่ทิ้งไปอย่างแรง จนฮว๋ายยู่ถึงกับล้มลงไปบนพื้น 

 

 

เดิมที่ร่างกายของฮว๋ายยู่ก็ไม่มีพละกำลังอยู่แล้ว พอถูกเขาสะบัดทิ้งเช่นนี้ คนก็กองลงไปบนพื้น เส้นผมรุ่ยร่าย เสื้อผ้าขาดวิ่น บนร่างยังมีบาดแผลเลือดไหล ดูไปแล้วทั้งอเน็จอนาถและน่าสงสารอย่างที่สุด แต่ว่าตี้เสียกลับมิได้เห็นใจนางแม้แต่น้อย 

 

 

พอทอดพระเนตรเห็นว่าเปลวเพลิงสีทองของติ๊งต๊องกำลังโหมเข้ามา อีกทั้งเหล่าสัตว์อสูรก็พากันส่งเสียงกู่ร้องดังกึกก้อง พวกมันกำลังคิดถึงความเจ็บช้ำที่ถูกเหยียดหยามในยามที่ถูกกักขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบเทพมารทั้งเก้าชั้น ดังนั้นจึงทุบทำลายทุกสิ่งไปทั่ว อย่างไม่ต้องการให้เหลือแม้แต่กระเบื้องที่สมบูรณ์สักแผ่น 

 

 

จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ตรงกลางด้วยกัน ทั้งๆที่พวกนางยืนอยู่บนแดนสวรรค์ของพระองค์ แต่กลับดูราวกับว่าพวกเขาทั้งสองต่างหากที่เป็นเจ้าของสถานที่ จนผู้คนทั้งหลายแทบจะอยากคุกเข่าลงไปกราบไหว้ 

 

 

ตี้เสียทรงกำหมัดเอาไว้แน่น ทรงคิดไปถึงเมื่อหลายหมื่นปีก่อนคนทั้งสองก็รักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ จนพระองค์ไม่มีโอกาสจะแทรกแซงได้แม้แต่นิดเดียว ความโกรธแค้นในพระทัยแทบจะเผาผลาญพระองค์ให้มอดไหม้อยู่แล้ว 

 

 

พระองค์ปิดพระเนตรลง พระหัตถ์ยังคงกำเป็นหมัดแน่นมิได้คลาย ทรงสูดลมเข้าไปในพระอุระจนลึก แต่เส้นเลือดสีดำบนพระวงกายกลับยิ่งปูดโปนจนใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว 

 

 

ในเมื่อหมดสิ้นหนทางแล้ว เช่นนั้น….ก็หยกศิลาล้วนแหลกลาญเถอะ 

 

 

หากพระองค์จะต้องลงนรก ก็จะต้องลากคนทั้งหมดไปร่วมกลบฝังด้วยกัน! 

 

 

ไม่ไกลออกไป ดวงตาหงส์ทั้งสองข้างของจีเฉวียนที่เยือกเย็นดุจน้ำแข็งในฤดูหนาว ในที่สุดก็สะท้อนระลอกคลื่นเบาบางออกมา 

 

 

เขาปล่อยมือจากตู๋กูซิงหลัน สะกิดปลายเท้า ก็พุ่งเข้าไปถึงเบื้องหน้าของตี้เสียในชั่วพริบตา 

 

 

ปลายนิ้วที่เรียวยาวแตะลงบนกลางหน้าผากของตี้เสีย ตรงนั้นเดิมทีคือตราประทับสุริยะที่ส่องสว่างเจิดจ้า แต่ว่าในตอนนี้มันกลับทึบแสง เพราะถูกสีดำเข้มครอบคลุมไว้จนหมดสิ้น 

 

 

ขณะที่ปลายนิ้วสัมผัสลงเบาๆที่หว่างคิ้วของพระองค์ ตี้เสียก็ถอยวูบไปด้านหลัง 

 

 

จีเฉวียนกลับไม่ปล่อยให้เขามีทางรอด พิณจันทราในมือเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มหนึ่งด้วยความรวดเร็วในชั่วพริบตา 

 

 

กระบี่สีเงินยวง ทอประกายแสงราวแสงจันทร์ 

 

 

ดวงหน้าของจีเฉวียนสงบเยือกเย็น ไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว ก็แทงกระบี่เข้าไปในระหว่างหน้าผากของตี้เสีย 

 

 

พริบตานั้น พลังทั้งหมดในร่างของเขาก็ระเบิดออกมาด้วยปริมาณที่สามารถจะทำให้ทั่วทั้งแดนสวรรค์สั่นสะท้านสะเทือน 

 

 

แม้แต่เหล่าทวยเทพที่อยู่ในแดนสวรรค์ ก็ยังรู้สึกได้ว่าอยู่ๆก็มีขุมพลังบางอย่างพุ่งขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าและทะลวงขึ้นไปเข้าสู่ในหัวใจ ทำให้พวกเขาไม่อาจต้านทาน จำต้องคุกเข่าลงไปกราบไหว้ 

 

 

ฮว๋ายยู่เองก็ตกตะลึงไปแล้ว นอกจากตัวตี้เสียแล้ว นางก็คือคนที่อยู่ใกล้จีเฉวียนมากที่สุด ตอนนี้เมื่อถูกพลังในร่างของจีเฉวียนบีบคั้นลงมา นางก็รู้สึกได้กระทั่งว่าทั่วทั้งร่าง แม้แต่รูขุมขนก็ยังเกิดความเจ็บปวด 

 

 

นางรู้มาตลอดว่า บุรุษผู้นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคิดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของเขาจะน่าสะพรึงกลัวจนถึงขั้นนี้ 

 

 

ใช่แล้ว นางได้แต่ใช้คำว่า ‘น่าสะพรึงกลัว’ สองคำมาอธิบายคนผู้นี้เท่านั้น 

 

 

พลังที่ระเบิดออกมานั้น แม้แต่เทพในแดนสวรรค์ก็ยังรู้สึกได้ว่าสูงส่งจนผู้คนต้องตื่นตระหนก เพียงแค่แรงกดดันที่แผ่ออกมาในยามนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งหมดกลายเป็นเถ้าถ่านได้แล้ว 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้แต่ตี้เสียก็ยังคงต้องตกตะลึงไปเช่นกัน 

 

 

ในชั่วขณะนั้นเอง กระบี่ของจีเฉวียนก็สามารถแทงเข้าไปในหน้าผากของเขาได้ครึ่งนิ้ว 

 

 

ตี้เสียคือเทพที่คงอยู่มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ร่างกายของเขาก็คืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด ย่อมไม่มีทางที่จะได้รับบาดเจ็บได้โดยง่ายแม้แต่น้อย 

 

 

แต่ว่าในยามนี้ จีเฉวียนกลับกำลังขยับยอดกระบี่ที่อยู่ในมือ และแทงเข้าไปในระหว่างหน้าผากของเขา 

 

 

ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ รูปโฉมที่งดงามไร้ที่เปรียบของเขา ยังมิได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อย 

 

 

เขาจดจ้องไปที่ตี้เสีย เอ่ยออกมาเพียงสองคำอย่างเย็นชา “เจ้าตายไปคน ก็นับว่าคุ้มแล้ว” 

 

 

นับตั้งแต่ที่เห็นเส้นเลือดสีดำบนร่างของตี้เสียปูดโปนขึ้นมา จีเฉวียนมองเพียงแวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด 

 

 

หากใช้ร่างเทพของเขาเป็นค่าตอบแทน แล้วสามารถทำลายทุกผู้ทุกนามบนแดนสวรรค์ให้กลายเป็นผุยผง ความตั้งใจนี้ก็เหมือนกับตอนที่กองทัพจักรพรรดิสวรรค์ของเขาใช้ศิลาวิญญาณ สร้างเป็นกำแพง เพื่อจัดการกับตนและซิงซิงที่ยังติดอยู่ในเจดีย์กำราบเทพมาร คิดจะใช้พลังของศิลาวิญญาณระบิดพวกตนให้กลายเป็นจุล 

 

 

เพียงแต่ว่าค่าตอบแทนในครั้งนี้ ก็คือตัวของตี้เสียเอง 

 

 

เพราะตัวเขายังแข็งแกร่งยิ่งกว่าศิลาวิญญาณทั้งหมดในโลกหล้ามารวมกันอีก …..ผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นไม่อาจคาดคะเนได้เลย 

 

 

เมื่อหมื่นปีก่อน จีเฉวียนเคยเห็นผู้คนในเผ่าภูติ สรรพชีวิตในใต้หล้า จิตวิญญาณนับพันนับหมื่นดวงต้องดับสูญไปในวันเดียว วันนี้หากว่าจะเกิดเหตุแบบนั้นซ้ำขึ้นอีกครั้ง จีเฉวียนย่อมไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อีกอย่างแน่นอน 

 

 

 

 

 

อย่าว่าแต่….ในโลกนี้ยังมีซิงซิง ผู้ที่เขารักที่สุดในโลกอยู่ 

 

 

ที่เขาต้องการคือให้ใต้หล้าสงบสุข หกภพภูมิปลอดภัย และยิ่งต้องการให้นางได้อยู่อย่างไร้ข้อกังวลไปชั่วชีวิต ประสพแต่ความรุ่งเรืองไปตลอดกาล 

 

 

เขาไหนเลยจะยอมให้ทุกสิ่งที่ตนวางแผนเอาไว้อย่างงดงาม ถูกตี้เสียทำลายไปได้กัน 

 

 

ที่ด้านหลังของจีเฉวียน ตู๋กูซิงหลันมองเห็นแต่เพียงเงาหลังของเขาเท่านั้น 

 

 

เขาสวมใส่ชุดสีดำอมทอง แม้ว่าตอนนี้จะเป็นคืนมืดมิดที่ถูกหมอกสีดำอำพรางไปทั่ว เขาก็ยังดูโดดเด่นบาดตาอยู่ดี 

 

 

นางชื่นชอบมองดูเส้มผมที่ยาวสลวยของเขาเริงระบำ เสื้อผ้าพริ้วไหวในสายลม มาโดยตลอด วันนี้เมื่อได้เห็นเขาถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายดุจแสงจันทร์ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าตนเองตกหลุมรักเขาอย่างล้ำลึกแล้ว 

 

 

“พวกเจ้าดูสิ เฉวียนเฉวียนของบ้านข้าหล่อเหล่าถึงเพียงไหน” นางประกบสิบนิ้วเข้าหากัน กุมอยู่บนอก มองดูด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่ารอบกายเขานั้นมีฟองสีชมพูลอยอยู่เต็มไปหมด 

 

 

สิบยมราช “……” 

 

 

สองพี่น้องตระกูลซู “…..” 

 

 

หวายอิงและเหล่าสัตว์อสูร “…..” 

 

 

ติ๊งต๊อง “พี่สาวตัวน้อย ท่านไม่คิดว่ากะ กะต๊ากหล่อเหลาบ้างหรือ?” 

 

 

ติ๊งต๊องเป็นพวกมั่นใจในตัวเองอย่างเปี่ยมล้น มันรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ว่าจะตลอดบนหรือล่างแม้แต่เส้นขนก็ยังน่าดูกว่าจีเฉวียนมากนนัก! 

 

 

แต่ว่าสายตาของตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้มองมาที่มันเลยสักนิดเดียว “เทียบกันไม่ได้หรอก!” 

 

 

ติ๊งต๊อง “กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก แทงใจดำ!” 

 

 

วิญญาณทมิฬ “….” มันอยากจะต่อยไอ้ตัวออเซาะนั่นสักหมัด ทำไงดี? 

 

 

………. 

 

 

อีกด้านหนึ่ง กระบี่แสงจันทร์แทงเข้าไปในหว่างคิ้ว ตี้เสียก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวในกายของจีเฉวียนกำลังทะลวงเข้าไปในร่างกายของพระองค์อย่างบ้าคลั่ง นั่นเป็นความรู้สึกที่เหมือนดั่งถูกดาบนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงร่างกาย 

 

 

พลังนั้นกำลังจะหลอมละลายพระองค์! 

 

 

จีเฉวียนไม่แม้แต่จะกระพริบตา ยังคงจ้องมองดูเขาด้วยความเยือกเย็น “วุ่นวายมากพอแล้ว จบสิ้นกันเสียที” 

 

 

ว่าแล้ว กระบี่แสงจันทร์ก็แทงลึกเข้าไป พริบตานั้น ตี้เสียก็เหมือนกับแจกันที่แตกร้าวทั้งใบ 

 

 

เส้นเลือดสีดำบนร่างระเบิดออก แววตาของเขาปรากฏความหวาดกลัวอย่างที่สุดออกมา 

 

 

ในตอนนั้นเองตู๋กูซิงหลันที่ถือคทาสีดำเอาไว้ในมือก็เหาะมาถึงข้างกายจีเฉวียน นางดึงดูดพลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของตี้เสียเข้าไปในคทา 

 

 

มือข้างหนึ่งของนางก็กุมมือจีเฉวียนเอาไว้ ดวงตาดอกท้อหันไปมองที่ตี้เสียแวบหนึ่ง “รู้จักคำศัพท์ใหม่นี้หรือไม่ เรียกว่า ‘สามีภรรยาร่วมต่อยตี’” 

 

 

……………..