บทที่ 2179 ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แล้ว
เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยว่า “ที่รัก ฉันจะบอกคุณเลยนะ บนเกาะนี้เต็มไปมารร้ายโฉดชั่ว ดุร้ายสารเลวทั้งนั้น แถมยังรวมหัวกันมารังแกฉันด้วย ทำให้ฉันตกใจกลัวแทบตายแล้ว ที่รักคุณเกือบจะไม่ได้เจอฉันอีกแล้วนะ!”
ในเวลานี้ เหล่าขาใหญ่ด้านข้างที่ตกตะลึงเพราะการพลิกสีหน้าในชั่วพริบตาของเยี่ยหวันหวั่นพอฟังมาถึงตรงนี้ ก็แทบจะตะลึงงันไปเลย และเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
นี่…นางมารคนนี้ว่ายังไงนะ?!
ขาใหญ่คนหนึ่งที่เพิ่งแพ้พนันแล้วเสียของมีค่าชิ้นสุดท้ายในตัวไปทนไม่ไหวแล้วจึงโพล่งออกมาว่า “จะบอกให้นะผู้นำไป๋ พวกเรารวมหัวกันรังแกเธองั้นเหรอ ฉันว่าสมองเธอเลอะเลือนไปแล้วนะ เป็นเธอไม่ใช่เหรอที่รังแกพวกเรายกกลุ่มน่ะ”
ซือเยี่ยหานเงียบงัน
เยี่ยหวันหวั่นก็พูดอะไรไม่ออก
เยี่ยหวันหวั่นที่ถูกแฉถลึงตาใส่ขาใหญ่คนนั้นแวบหนึ่งเป็นการตักเตือน จากนั้นก็พูดกับซือเยี่ยหานด้วยท่าทางอ่อนแอน่าสงสารว่า “จริงๆ นะ! พวกเขารังแกฉันจริงๆ! ไอ้สารเลวเหอเปียวหัวหน้ากลุ่มคลื่นสงบคนนั้น คุณรู้ไหมว่าเขาเลวแค่ไหน เขาบังคับให้ฉันไปเดิมพันด้วย ถ้าฉันแพ้จะต้องไปนอนกับเขา!”
พอสิ้นเสียงของเยี่ยหวันหวั่น สีหน้าของซือเยี่ยหานก็มืดทะมึนลงทันที “กลุ่มคลื่นสงบ…”
จากนั้น ความพิโรธของซือเยี่ยหานยังไม่ทันระเบิดออกมา น้ำเสียงจ๋องๆ ของหัวหน้าพรรคสี่สมุทรก็แว่วมาจากด้านข้างว่า “เอ่อ แต่ว่า…ผลลัพธ์ในตอนจบ เธอเดิมพันว่าเขาไม่กล้ากินขี้ นอกเสียจากเขาอยากจะเอาชนะเธอก็ต้องไปกินขี้ซะ สุดท้ายเขาเลยทำได้แค่ยอมรับความพ่ายแพ้ ยกตราพยัคฆ์ขาวประจำกลุ่มให้เธอไป หลายวันมานี้โมโหจนโรคความดันสูงกับโรคหัวใจกำเริบตั้งหลายครั้ง…”
จากนั้น บรรดาขาใหญ่ผู้รักความยุติธรรมคนอื่นๆ ก็ทนมองไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หนึ่งในนั้นจึงยกผ้าที่คลุมโต๊ะไว้ขึ้นมา เผยให้เห็นสมบัติสารพัดของเยี่ยหวันหวั่น แล้วเอ่ยตำหนิด้วยความหม่นหมอง “คุณดูเอาเองเถอะ ทั้งหมดเป็นของที่เธอปล้นไปจากพวกเรา แถมเธอยังขายตั๋วขึ้นเรือราคาแพงลิ่วให้พวกเราด้วย พวกขายเก็งกำไรยังสู้เธอไม่ได้เลย…”
เยี่ยหวันหวั่นโดนเปิดโปงอีกครั้ง…
พวกนายพูดให้น้อยๆ หน่อยจะตายรึไง
เยี่ยหวันหวั่นรีบพูดไปว่า “ที่รัก พวกเขาใส่ร้ายฉัน! ฉันเปล่านะ! ฉันไม่ได้ทำ! คุณต้องเชื่อฉันนะ!”
ซือเยี่ยหานตอบสั้นๆ “อืม”
บรรดาขาใหญ่ถึงกับพูดไม่ออกแล้ว
เวรเอ้ย
นายแห่งอาชูร่าหลอกง่ายขนาดนี้เชียวเหรอ
นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย!
ขาใหญ่พวกนี้ไม่คาดคิดเลยว่า นายแห่งอาชูร่าที่ลือกันว่าเหี้ยมโหดจะถูกนางมารร้ายคนนี้หลอกตุ๋นจนเปื่อยได้ ปวดตับสะเทือนหัวใจจริงๆ
“นายแห่งอาชูร่า ผมขอกล่อมให้คุณตาสว่างซะเถอะ อย่าถูกใครบางคนหลอกเอาได้!”
“ใช่แล้วๆ มองดูคนข้างตัวให้ดีๆ สิ นี่…ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แล้ว!”
“ไป๋เฟิงคนนี้ ทำได้ทุกอย่าง!”
“เกินไปแล้ว แม้แต่นายแห่งอาชูร่าก็ยังหลอกได้!”
….
เยี่ยหวันหวั่นกัดฟันด้วยความโมโห เจ้าเฮงซวยพวกนี้ เธอต้องเล่นพวกเขาให้ตายซะ
อย่างไรก็ตาม ซือเยี่ยหานคล้ายจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนรอบข้างพวกนั้นเลย แต่กลับหลุบตามองเท้าที่สวมรองเท้าหญ้าสานของเยี่ยหวันหวั่นแวบหนึ่ง แล้วมุ่นคิ้วนิดๆ “ทำไมใส่ของแบบนี้”
เยี่ยหวันหวั่นตอบแบบไม่คิดอะไร “โอ้ รองเท้าเก่ามันคุณภาพไม่ดี ไม่ทันระวังทำพัง เลยโยนทิ้งไปแล้ว…”
ขาใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างสอดปากเข้ามา “ไม่ใช่ว่าเธอเตะจนพังในระหว่างที่ตีกับคนอื่นอยู่รึไง ไม่ผิดแน่ เพระคนที่เธอเตะในครั้งนั้นก็คือฉัน!”
เยี่ยหวันหวั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ หักข้อมือแล้ว แม่งเอ้ย! จะบีบเธอให้ลงมือจนได้สินะ!
จากนั้น ตอนที่เยี่ยหวันหวั่นใกล้จะเสียการควบคุมแล้วลงมือทุบตีคน จู่ๆ ซือเยี่ยหานก็หยิบอะไรบางอย่างมาจากมือของหลินเชวียที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อเปิดกระเป๋าออก สิ่งที่อยู่ด้านในดูเหมือนจะเป็นเดรสชุดหนึ่ง แถมยังมีรองเท้าส้นเตี้ยสีชมพูใหม่เอี่ยมคู่หนึ่งด้วย
ซือเยี่ยหานหยิบรองเท้าออกมาแล้วย่อตัวลง “เปลี่ยนสิ”
——————————————————————
บทที่ 2180 เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
พอซือเยี่ยหานพูดจบ จากนั้นก็ให้หญิงสาวเกาะบ่าตัวเองไว้ ช่วยถอดรองเท้าหญ้าสานผุๆ ให้เธอ แล้วช่วยสวมรองเท้าคู่ใหม่ให้ด้วยตัวเอง
หลังจากเปลี่ยนรองเท้าแล้ว เท้าก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มสบาย เยี่ยหวันหวั่นจึงเอ่ยขึ้นว่า “เอ่อ…ทำไมคุณพกของแบบนี้มาด้วยล่ะ…”
หลินเชวียที่อยู่ด้านหลังบ่นอุบ “ใช่แค่นี้ซะที่ไหน ยังมีเสื้อผ้าสะอาด สกินแคร์ เครื่องสำอาง มันฝรั่งแผ่น ล่าเถียว ลูกกวาด…”
เยี่ยหวันหวั่นจ้องเสื้อผ้าและของใช้อย่างอื่นที่อยู่ในกระเป๋าอีกใบ ตื้นตันจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ซือเยี่ยหานเอ่ยเรียบๆ ว่า “รีบร้อนมา เลยเลือกมาส่งๆ ชุดหนึ่ง อาจจะไม่ใช่แบบที่เธอชอบ ถ้าเธอไม่อยากใส่…”
เยี่ยหวันหวั่นรีบตอบ “จะเป็นไปได้ยังไง! ขอแค่เป็นของที่คุณเตรียมให้ก็ชอบทั้งนั้น! ฉันจะใส่ๆ!”
ระหว่างที่ฉ้อฉลตบทรัพย์ในช่วงหลายวันมานี้ เยี่ยหวันหวั่นได้ห้องส่วนตัวมาห้องหนึ่ง จึงรีบพาซือเยี่ยหานเข้าไปอยู่ด้วยกันตามลำพัง
สุดท้าย ก็ทิ้งหลินเชวียไว้ข้างนอกคนเดียว คอยฟังขาใหญ่พวกนั้นพร่ำบ่นบอกเล่าถึงความชั่วร้ายในช่วงหลายวันมานี้ของนางมารร้ายบางคน…
“นางมารร้ายคนนั้นไม่ใช่คนดีจริงๆ นายต้องเกลี้ยกล่อมเจ้านายของนายบ้างแล้วจริงๆ นะ!”
“ใช่แล้วๆ! นางมารคนนี้เชี่ยวชาญในการหลอกลวงเป็นที่สุด!”
“ใช่ๆๆ! ไม่เชื่อนายถามพวกเราที่อยู่รอบๆ ก็ได้ หลายวันมานี้โดนยัยนี่เล่นงานแทบตายแล้ว!”
หลินเชวียไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว…
เวรเอ้ย เขารีบร้อนตามมาหาถึงที่ เพราะห่วงว่าเธอจะเกิดเรื่อง ตกใจอกสั่นขวัญแขวน สรุปแล้วเพื่ออะไรกัน…
….
อีกด้านหนึ่ง ทั้งสองเพิ่งเข้ามาในห้อง เยี่ยหวันหวั่นไม่ทันได้อ้าปากพูด ก็ถูกออกแรงรั้งเข้าหาอ้อมอกแล้ว
อ้อมกอดนี้ถ่ายทอดความว้าวุ่นและความตื่นตระหนกทั้งหมดที่เจ้าของข่มกลั้นเอาไว้ออกมาอย่างชัดเจน
เยี่ยหวันหวั่นรีบใช้มือน้อยๆ ลูบหลังชายหนุ่ม “ขอโทษนะ ฉันน่าจะส่งสัญญาณหาคุณให้เร็วกว่านี้ แต่ฉันเพิ่งมาอยู่บนเกาะได้ไม่นาน ก่อนที่จะสืบทราบสถานการณ์ที่ชัดเจนก็ยังไม่กล้าผลีผลามแจ้งให้คุณเข้ามาเสี่ยง…”
ซือเยี่ยหานตอบสั้นๆ “เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณดูสิฉันก็สบายดีไม่ใช่เหรอ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง “ทำไมจู่ๆ คุณก็มาที่นี่ล่ะ เสี่ยงเกินไปแล้วนะ ถ้าเกิดอันตรายขึ้นจะทำยังไง”
ซือเยี่ยหานตอบทันที “ไม่มีถ้า” แม้ว่าจะเป็นเรื่องสมมุติ เขาก็ไม่อนุญาต
ยิ่งไปกว่านั้นคือถ้ามีอันตราย เขาก็ยิ่งสมควรมา
“ได้ๆๆ ไม่มีถ้า!” เยี่ยหวันหวั่นหอมแก้มชายหนุ่มเพื่อปลอบโยน จากนั้นก็เล่าสถานการณ์บนเกาะให้ซือเยี่ยหานฟังคร่าวๆ
“จากที่ฉันสืบดูมาหลายวัน เกาะนี้เป็นสถานที่คุมขังพวกบอสใหญ่จริงๆ ไอ้สถานที่บ้าๆ นี่อยู่กลางทะเล บนเกาะไม่มีสัญญาณเลย เพราะภูมิประเทศที่อันตรายรอบข้างจึงไม่มีเส้นทางเดินเรือ ไม่เคยมีเรือผ่านมาเลย จึงไม่มีทางถูกค้นพบได้
คนที่ถูกลักพาตัวมาไว้ในสถานที่ผีสางนี่ ก็เหมือนถูกจับเข้ามาในเรือนจำกลางทะเล ต่อให้มีความสามารถหยั่งรู้ฟ้าดิน ก็ไม่มีทางหนีออกไปได้”
เยี่ยหวันหวั่นถอนหายใจออกมา “เท่าที่ฉันรู้มา หลังจากบอสใหญ่พวกนี้ถูกโยนเข้ามาก็ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนี้ตามยถากรรม แม้แต่เงาผีสักตัวก็ไม่เห็น ยิ่งไม่พูดถึงคนบงการเลย
ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าผู้บงการคนนั้นจับตัวบอสใหญ่คนสำคัญของรัฐอิสระมากมายขนาดนั้นมาทำไม ไม่สนใจไม่สอบสวนเลย แค่ขังไว้แบบนี้ สรุปแล้วจะทำอะไรกันแน่…”
ดวงตาซือเยี่ยหานส่องประกายนิดๆ แล้วเปิดปากถาม “พวกเขาไม่มีใครเคยเจอตัวคนบงการเลยงั้นเหรอ”
เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า “ใช่ บนเกาะนี้ไม่มีผู้คุมเลย ทำไมเหรอ”
ซือเยี่ยหานไม่รู้เหมือนกันว่านึกถึงอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา “ไม่มีอะไร”
—————————————————————————-