อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1187 กลับวัง
ได้ยินคำว่าไฉ่เหนียงสองคำ ร่างกายของรองหัวหน้าเผ่าชะงักไปทันที แม้จะฝืนแสร้ง แต่ในตาก็ยังเป็นความเจ็บปวดเล็กน้อยแวบผ่านไป
“หัวหน้าเผ่ามีภารกิจอันหนักอึ้งของหัวหน้าเผ่า ข้าก็มีภารกิจอันหนักอึ้งของข้า”
“รองหัวหน้าเผ่าดูแลจัดการเผ่าเทียนเฟิ่นได้ดีมาก ตอนนี้เผ่าเทียนเฟิ่นก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร รองหัวหน้าเผ่าสามารถไตร่ตรองเรื่องสำคัญในชีวิตของตัวเองได้”
“วันหนึ่งมิติเชื่อมต่อระหว่างทวีปปิงหลิงและทวีปเย่หยู่ไม่เปิดออก หน่วยหลักของเผ่าเทียนเฟิ่นก็ก่อตั้งขึ้นมาไม่ได้ เผ่าหยกไม่สิ้นเผ่าพันธุ์ในวันหนึ่ง ภารกิจอันหนักอึ้งของพวกเราก็ยังไม่สำเร็จ”
“เหล่านี้ล้วนเป็นความรับผิดชอบของข้า ท่านทำได้ดีมากแล้ว ยิ่งกว่านั้น แต่งงานก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการก่อตั้งหน่วยหลักของเผ่าเทียนเฟิ่น”
น้ำเสียงของเวินเส้าหยีอ่อนลง กล่าวอย่างอ่อนโยน “ไฉ่เหนียงรอท่านมาหลายสิบปีแล้ว ชีวิตคนไม่มีความแน่นอน ความสวยงามเปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตา รองหัวหน้าเผ่า เส้าหยียังหวังว่าท่านจะเห็นคุณค่าของคนที่อยู่ตรงหน้า อย่ารอให้เสียไปแล้วค่อยรู้สึกเสียดาย และอย่าปล่อยให้ไฉ่เหนียงใช้เวลาที่เหลือด้วยความเสียใจ”
รองหัวหน้าเผ่ามองดูแก้วเหล้าด้วยความนิ่งงัน ความสนใจที่จะจิบเหล้าหายไปหมด
เมื่อแหงนหน้าขึ้นอีกครั้ง เวินเส้าหยีก็จากไปนานแล้วซึ่งไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาถอนหายใจเบาๆ ใช้น้ำเต้าอีกลูกหนึ่งใส่เหล้าที่เหลือไว้
เหลือบมองเหล้าไม่กี่หยดที่เวินเส้าหยีเหลือไว้ เขาก็หยิบน้ำเต้าเล็กๆใบหนึ่งออกมาใส่ไว้อีกครั้ง ไม่เหลือไว้แม้สักหยดเดียว ตอนนี้ถึงได้กอดไหเหล้าใบใหญ่แล้วจากไปด้วยฝีเท้าอันหนักหน่วง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากแต่งงานกับไฉ่เหนียง แต่เขาไม่กล้าแต่ง
ในฐานะรองหัวหน้าเผ่าเทียนเฟิ่น เขามีภาระให้รับผิดชอบมากเกินไป และมีศัตรูมากเกินไปอีกด้วย
การใช้ชีวิตที่ปลายมีดต้องลิ้มรสเลือด ไม่แน่ว่าตัวเองจะต้องตายเมื่อไหร่
หากเขาตาย ไฉ่เหนียงจะทำอย่างไร?
เมื่อศัตรูพุ่งเป้าหมายมาที่นางแล้วควรจะทำไง?
ในวังของเผ่าน้ำแข็ง
กู้ชูหน่วนปลอมตัวเป็นหมอจินเข้าพบราชินี
ราชินีทรงบรรทมอยู่บนเก้าอี้นอน ดื่มเหล้าไปพลาง กวาดตามองดูกู้ชูหน่วนที่อยู่นอกฉากกั้นด้วยความดุดันไปพลาง อารมณ์ในน้ำเสียงไม่น่าฟัง
“หมอจิน เจ้ากล้ามาก ข้าต้องการให้เจ้าควักดวงตาของซือโม่เฟยออกมาให้ข้า เจ้าไม่ได้เอากลับมาแล้วยังจะกล้ากลับมาอีกรึ”
“ทูลฝ่าบาท ซือโม่เฟยเป็นแค่เพียงคนโง่ที่ไม่แรงจะต่อสู้คนหนึ่งเท่านั้น ข้าน้อยรู้ ฝ่าบาทคิดอยากจะควักดวงตาของเขายังง่ายดายซะกว่าการบี้มด แต่ดวงตานั่นเมื่อเอามาแล้วก็จะไม่มีชี่ทิพย์แล้ว ดังนั้นข้าน้อยจึงบังอาจ คิดจะเอาซือโม่เฟยกลับมาทั้งคนโดยตรง ถึงเวลานั้นฝ่าบาทอยากจะควักเมื่อไหร่ก็ได้ ข้าน้อยรับรองว่า ดวงตานั่นของเขาจะต้องยิ่งเปล่งประกายยิ่งมีจิตวิญญาณและยิ่งระยิบระยับมากขึ้นเพคะ”
“อ๋อ…..เช่นนั้นแล้วตัวเขาล่ะ?”
“อยู่ที่เผ่าเทียนเฟิ่นเพคะ”
“ความหมายของเจ้าคือ ให้ข้าไปเอาที่เผ่าเทียนเฟิ่น?”
น้ำเสียงของราชินีราบเรียบ ฟังความหมายอะไรไม่ออก แต่สายตาของนางกลับทำให้คนขนลุกซู่ รู้สึกอึมครึมน่าสะพรึงกลัวอยู่เสมอ
“ข้าน้อยไม่กล้า ทูลตามจริง ที่ข้าน้อยหายตัวไปสองสามวันนี้ก็เพราะถูกเผ่าเทียนเฟิ่นจับตัวไป เดิมทีข้าน้อยคิดพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อนำตัวซือโม่เฟยกลับมาที่วัง ต่อมาได้ยินว่า ฝ่าบาทออกพระราชโองการแต่งตั้งหัวหน้าเผ่าของเผ่าเทียนเฟิ่นเป็นฮองเฮาเพคะ”
“ข้าน้อยได้สืบข่าวมาจากหลายทางจึงได้รู้ว่า เผ่าเทียนเฟิ่นอยากจะหล่อหลอมซือโม่เฟย อาศัยซือโม่เฟยพุ่งขึ้นสู่ระดับเจ็ด เพราะว่าซือโม่เฟยเคยเป็นขั้นสูงสุดระดับหกมาก่อน และเป็นร่างกายก็เป็นหยินบริสุทธิ์อีกด้วย หลังจากที่หล่อหลอมเขาด้วยวิชาลับเฉพาะของเผ่าเทียนเฟิ่นแล้ว โอกาสที่หัวหน้าเผ่าเทียนเฟิ่นก็จะพุ่งขึ้นสู่ระดับเจ็ดก็มีมากขึ้นเป็นพิเศษเพคะ”
ขณะที่กู้ชูหน่วนพูดประโยคนี้ก็แอบสังเกตราชินีอย่างละเอียด ดูการเคลื่อนไหวทุกอย่างของราชินีไว้ในสายตา
เป็นดังคาด….
ได้ยินว่าเวินเส้าหยีอาจจะพุ่งขึ้นสู่ระดับเจ็ดได้ ลมหายใจของราชินีก็แรงขึ้นเล็กน้อย
เหมือนจะคาดไม่ถึงเล็กน้อย
และก็เหมือนกับพอจะสามารถเดาได้แล้ว
“หัวหน้าเผ่าเทียนเฟินเป็นว่าที่ฮองเฮาของพระองค์ ข้าน้อยคิดว่า เทียบดวงคู่หนึ่งกับฮองเฮาแล้ว ไม่สามารถเทียบกันได้จริงๆ จึงได้ไม่ลงมือสักทีเพคะ”
ราชินีหัวเราะอย่างเย็นชา เย็นยะเยือกดั่งน้ำค้างแข็ง “ให้เหตุผลที่ข้าจะไม่ฆ่าเจ้ามาข้อหนึ่งซิ”
คนที่มีสติปัญญาล้วนมองออก ราชินีทรงกริ้วแล้ว และทรงกริ้วเป็นอย่างมาก
เพียงแค่นางกระดิกนิ้วมือหรือขยับผิวปาก ก็สามารถทำให้กู้ชูหน่วนตายโดยไร้ที่ฝังศพได้
กู้ชูหน่วนรู้ ข้ออ้างเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ราชินีพอใจได้
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดต่อ “ในเมื่อหัวหน้าเผ่าเทียนเฟิ่นเป็นว่าทีฮองเฮาของฝ่าบาท และสามวันหลังจากนี้ก็คือวันอภิเษกสมรส เช่นนั้นสินสมรสเหล่านั้นที่หัวหน้าเผ่าเทียนเฟิ่นนำมา ก็ไม่ได้ล้ำค่ามากมาย ขอเพียงแค่ฝ่าบาทเอ่ยปากเพคะ”
“อ๋อ…อย่างเช่นสินสอดอะไรล่ะ?”
“อย่างเช่น ซือโม่เฟย…อย่างเช่น วิชาลับในการหล่อหลอมซือโม่เฟยเพื่อเพิ่มพลังยุทธ ร่างกายที่เป็นหยินบริสุทธิ์ ทั้งยังเคยเป็นขั้นสูงสุดระดับหกด้วย สามารถพบเจอได้แต่ร้องขอไม่ได้ คนที่มีวิทยายุทธหล่อหลอมและใช้พัฒนาพลังยุทธได้ คนที่ไม่มีวิทยายุทธก็สามารถใช้ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ คุ้มค่าที่จะทำแล้วทำไมไม่ทำล่ะเพคะ”
ราชินีลูบเส้นผมที่ขมับของตัวเอง ทบทวนคำพูดของกู้ชูหน่วนอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เผ่าเทียนเฟิ่นมีวิชาลับอยู่ไม่น้อยจริงๆ
เอาคนไปหล่อหลอม วิชาลับที่สกัดเอาส่วนที่เป็นแก่นอันยอดเยี่ยมออกมาก็มีจริงๆ
เพียงแต่นางอยู่ที่เผ่าเทียนเฟิ่นมาตั้งหลายปีก็ล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน
ราวกับว่า…..
วิชาลับวิชานี้ไร้ผู้สืบทอดไปนานแล้ว
หน่วยหลักไร้ผู้สืบทอด หน่วยย่อยไม่ได้ไร้ผู้สืบทอดเหรอ?
งั้นก็เท่ากับว่าวิชาลับนี้ใช้วิธีต่างกันแต่ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกับวิชามนต์ดำของนางหรือ?
วิชามนต์ดำของนางหลังจากที่หล่อหลอมคนแล้ว อย่างมากก็สกัดออกมาได้เจ็ดส่วน
หากว่าสามารถสกัดออกมาได้สิบส่วน….
บางที….นางอาจจะบรรลุระดับคนหรือแม้กระทั่งระดับดินได้โดยตรงจริงๆ
ราชินีเพ่งมองกู้ชูหน่วนอยู่นาน โดยเฉพาะที่หน้าผากของนาง ผ่านไปสักพักใหญ่จึงกล่าวขึ้นว่า “ช่างเถอะ ยอดฝีมือของเผ่าเทียนเฟิ่นมีมากมาย เจ้าสามารถออกมาจากเผ่าเทียนเฟิ่นได้อย่างปลอดภัย คิดว่าก็คงได้รับความทุกข์ทรมานไปมากมาย ไม่สามารถนำดวงตาของซือโม่เฟยกลับมาได้ เจ้ามีความผิด แต่…เห็นแก่ที่เจ้าทุ่มเทสุดความสามารถตั้งใจคิดถึงประโยชน์ของข้า ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้ละกัน”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ปากของกู้ชูหน่วนกล่าวขอบคุณ แต่ในดวงตาไม่มีร่องรอยความซาบซึ้งแม้สักนิด
นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าราชินีมีความสามารถมากเพียงใดกันแน่
ทำได้เพียงหยั่งเชิงให้ได้มากที่สุด
“ไปเยี่ยมเย่จิ่งหานเถอะ ใกล้จะถึงวันแต่งงานแล้ว ข้าต้องการให้อาการบาดเจ็บของเขาหายดีโดยสมบูรณ์ก่อนวันแต่งงาน”
“เพคะ”
กู้ชูหน่วนโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ในที่สุดก็นับได้ว่าผ่านไปอีกด่านหนึ่งแล้ว
ในหอกระบี่
กู้ชูหน่วนผลักประตูเข้าไป เย่จิ่งหานยังคงอยู่ในท่าทางที่ถูกมัดไว้เช่นนั้น ไม่แม้จะเคลื่อนไหว
แต่ว่าสีหน้าของเขาดีกว่าก่อนหน้านี้มาก ไม่ซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงแล้ว
เห็นนางเข้ามา เย่จิ่งหานตะลึงไปครู่หนึ่ง ดีใจก่อนในตอนแรก แล้วก็ทำหน้าบึ้ง กล่าวด้วยสีหน้าทะมึนตึง “ยังไม่ตายอีกรึไง?”
กู้ชูหน่วนนั่งอยู่หน้าเตียงของเขา บิดขี้เกียจ หาวครั้งหนึ่งแล้วกล่าว “ท่านยังไม่ตาย ข้าจะตายได้ยังไงล่ะ”
“อยู่ให้ห่างจากข้าหน่อย?”
“ห้องนี้ใหญ่แค่นี้ จะไกลได้แค่ไหนกัน?”
กู้ชูหน่วนจงใจขยับเข้าไปใกล้ อยู่ใกล้เขามากขึ้น กระทั่งเลิกเสื้อของเขาขึ้นแล้วตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขา
“เจ้าทำอะไร ปล่อยข้า”
“ทั้งตัวของท่านมีส่วนไหนที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
ความโมโหของเย่จิ่งหานพรั่งพรูขึ้นมา
กู้ชูหน่วนถูดั้งจมูกของเขา ยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์และพูดว่า “เสือกระดาษ”
เสือกระดาษ?
นางกล้าเรียกเขาว่าเสือกระดาษ?
เขาเป็นเสือกระดาษจริงๆหรือ?
“ไม่กี่วันมานี่ข้าเหนื่อยจนแทบเป็นแทบตาย เกือบจะทิ้งชีวิตน้อยๆนี้ไปแล้ว พอกลับมาก็มาตรวจดูอาการบาดเจ็บของท่านทันที ท่านไม่ซาบซึ้งไม่ว่า ยังจะใช้สายตาที่เหมือนจะกินคนเช่นนั้นมองข้าอีก เสี่ยวเย่เย่ เจ้าช่างทำร้ายจิตใจคนยิ่งนัก”
เสี่ยวเย่เย่คำเดียว ทำให้กำแพงในจิตใจของเย่จิ่งหานพังทลายในพริบตา
เสี่ยวเย่เย่มีเพียงกู้ชูหน่วนเท่านั้นที่เรียก
มองไปที่หน้าผากของนางอีกครั้ง เย่จิ่งหานรู้สึกได้ถึงอะไรอยู่เป็นรางๆ
“เจ้าหาวิญญาณดวงที่สี่พบแล้วหรือ?”