ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 82 ดาบฟันลง ชุดน้ำเงินเปียกชุ่ม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ที่ราบสูงนิ่งเงียบอย่างฉับพลัน

นับจากตอนที่เปี๋ยยั่งหงโจมตี ทุกคนไม่ว่าจะเป็นศิษย์สถานศึกษาหนานซี โก่วหานสือหรือฮู่ซานสือเอ้อร์หยุดลงไม่ว่าจะเป็นห่วงกังวลขนาดไหน

เปี๋ยยั่งหงได้ท้าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง ซึ่งหมายความว่าเขายอมรับว่าเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงสามารถร่วมมือกันต่อสู้กับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้

เมื่อเป็นการต่อสู้อย่างเสมอภาคกัน ก็ต้องให้ความเคารพ

ด้ายถูกตัดขาดไปแล้ว เหลือแค่ไม่กี่นิ้วที่ยังอยู่กับนิ้วก้อยของเปี๋ยยั่งหง ดอกไม้แดงลอยอยู่กลางอากาศ ดูราวกับจอกแหนไร้รากดูเปราะบางน่าสงสารอยู่บ้าง

ว่าตามเหตุผล เมื่อกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเปี๋ยยั่งหงถูกทำลาย ฝูงชนย่อมมองเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงอย่างคาดหวังยิ่งขึ้น

แต่หลังจากเห็นหมัดของเปี๋ยยั่งหง ใครจะกล้าตัดสินอีก

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเปี๋ยยั่งหงได้ใช้พลังของเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และประสบการณ์มากมายเพื่อแบ่งแยกเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง

ตอนนี้เฉินฉางเซิงบาดเจ็บหนัก หากเขาไม่อาจใช้เพลงกระบี่ประสานรวมกับสวีโหย่วหรง เขาจะฝืนอยู่ได้นานแค่ไหน

ทุกคนมองไปอย่างกระวนกระวาย อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ตอนนั้นเองที่มีบางอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้น

มีคนลอบโจมตีเฉินฉางเซิง

คนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือที่อยู่ระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว

ขุนพลเทพอันดับสองของต้าโจว ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว!

เสียงคำรามอย่างเย็นเยียบและเกรี้ยวกราดดังสะท้อนไปทั่วที่ราบสูง

ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวพุ่งเข้าใส่ด้านหลังของเฉินฉางเซิง มือทั้งสองจับทวนพร้อมแทงใส่เฉินฉางเซิง!

ทวนพุ่งผ่านอากาศ เปี่ยมไปด้วยพลังและความโหดเหี้ยม มันดูเหมือนจะจงใจแทงตรงเข้าใส่ร่างของเฉินฉางเซิง ถึงกับอยากปักเขาเอาไว้กับพื้น!

เฉินฉางเซิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังมึนงง เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ฟื้นตัวจากหมัดสะท้านฟ้าของเปี๋ยยั่งหง

การโจมตีของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวเป็นทวนที่อัดแน่นไปด้วยการบำเพ็ญเพียรชั่วชีวิตของเขา หากทวนสามารถทะลวงผ่านการป้องกันของเฉินฉางเซิง ก็ย่อมพุ่งตรงเข้าสู่แดนลี้ลับของเขา

ในตอนนี้ แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ฟื้นจากความตายหรือหวังจื่อเช่อพลันปรากฏตัวขึ้น เขาก็ยังยากจะรอดไปได้

ในตอนนี้ ใครจะแก้ไขสถานการณ์ได้

……

……

ดาบเล่มหนึ่ง

ร่วงลงมาจากท้องฟ้า

นี่คือคำตอบ

ดาบนี้ไม่สนระยะห่างระหว่างฟ้าดิน ตกลงจากท้องฟ้าสู่ที่ราบสูงโดยตรง ฟันใส่ศีรษะขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวอย่างอาจหาญ!

เห็นดาบนี้ทุกคนบนที่ราบสูงตระหนักว่าใครมาและอ้าปากด้วยความตกใจ

เทียนเหลียงหวังผ้อ!

……

……

เซียงอ๋องหรี่ตาในขณะที่มือตบพุงตุ้ยนุ้ยที่ยื่นออกจากเข็มขัดเบาๆ เขาไม่ได้โจมตีดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่

เขาเคยพบกับหวังผ้อเมื่อหลายวันก่อนบนภูเขาจีหมิงนอกเมืองเวิ่นสุ่ยและเขาก็คาดไว้แล้วว่าจะได้พบกันอีกวันนี้

มีหลายคนที่เป็นเหมือนเซียงอ๋อง กำลังรอให้หวังผ้อปรากฎตัว

อู๋ฉยงปี้เป็นหนึ่งในนั้น ในตอนแรกก่อนที่นางจะโจมตีเฉินฉางเซิง นางก็ได้ตะโกนใส่ท้องฟ้าอย่างฉุนเฉียว

ในที่สุดหวังผ้อก็มาแล้ว

เขามาจริงๆ!

อู๋ฉยงปี้เตรียมรับการมาถึงของหวังผ้อตลอดเวลา

นางไม่รู้ว่าทำไมขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวจะพลันลงมือโจมตีเฉินฉางเซิง ทว่านางไม่สน

ตราบใดที่เฉินฉางเซิงตาย นางไม่สนว่าใครเป็นคนฆ่า

นางกระโดดขึ้นกลางอากาศพร้อมกับเสียงกรีดร้องแหลมสูง แส้หางม้าในมือนางเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งการดับสูญ พุ่งไปรับดาบนั้น

ในเวลาเดียวกัน แขนเสื้อของนางก็ปลิวขึ้น ประหนึ่งมังกรทะยานพยายามพัวพันดาบเอาไว้

ในตอนนี้นางผลักดันการบำเพ็ญเพียรไปจนถึงขีดสุด วางชั้นป้องกันกว่าร้อยชั้นไว้รอบดาบนี้!

นางรู้ดีว่านางไม่ใช่คู่มือของหวังผ้อ อย่างมากนางก็ทำได้แค่ป้องกันดาบไว้ชั่วขณะหนึ่ง

แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เพียงพอแล้ว!

นางมั่นใจว่าขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวจะสามารถฆ่าเฉินฉางเซิงได้ในชั่วขณะนี้

แม้ว่าเฉินฉางเซิงยังมีของวิเศษซ่อนไว้ นางก็มั่นใจว่าสามีนางจะสามารถล้มสวีโหย่วหรงได้อย่างรวดเร็วแล้วมาฆ่าเฉินฉางเซิง!

……

……

สถานการณ์บนที่ราบสูงเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนดูเสมือนลำแสง นอกจากพวกที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าว่าแต่เข้าไปยุ่งด้วยเลย

ไม่มีใครสังเกตชายที่ดูไม่โดดเด่นอย่างยิ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างซ่อนเร้นเข้าใกล้การต่อสู้เข้ามาสิบกว่าจั้ง

และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าที่มุมหนึ่งของที่ราบสูง ท่ามกลางผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักเล็กๆ ในแดนใต้ คนชุดน้ำเงินสวมหมวกไผ่สานได้เงยหน้าขึ้นมองฟ้า

ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงยังอยู่กลางการล่าถอย ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวก้าวออกมาครั้งแรกและสวีโหย่วหรงก็ง้างธนูถง

คนที่สวมหมวกไผ่สานไม่ได้มองไปที่การต่อสู้สะท้านขวัญ หากแต่มองไปที่ท้องฟ้า

ตอนนั้นท้องฟ้าไม่มีสิ่งใด

ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรพันกว่าคนบนที่ราบสูง คนชุดน้ำเงินเป็นคนแรกที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้แต่เซียงอ๋องก็ยังช้ากว่าเล็กน้อย

เขายืนใต้ต้นไม้ ในสายตาของเขา ท้องฟ้าได้ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ นับไม่ถ้วน แต่เขามองไปที่ส่วนใดกัน

น่าจะเป็นส่วนของท้องฟ้าที่ดูคล้ายกับดาบ

เขาสัมผัสได้ว่าหวังผ้อมาถึงในที่สุด

มีแต่คนที่อยู่ใกล้กับเขามากๆ จึงจะเห็นว่าคนชุดน้ำเงินสวมหน้ากากทองแดงไว้ใต้หมวกไผ่สาน

หน้ากากทองแดงนี้ดูลึกลับมาก มีส่วนเล็กๆ หายไปแต่ก็ยังปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้อย่างแน่น เผยให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น

คนชุดน้ำเงินมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาลึกล้ำเฉยชาผิดปกติ

เขารอเวลานี้มานานแล้ว

ในที่สุดดาบนี้ก็มาแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหว

เขารู้ว่าดาบนี้ต้องใช้เวลาสามลมหายใจเพื่อทำลายการป้องกันของอู๋ฉยงปี้และตัดศีรษะของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว

ในเวลาสามลมหายใจนี้ ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวไม่อาจฆ่าเฉินฉางเซิงได้ เพราะเฉินฉางเซิงเป็นสังฆราช เขาย่อมมีวิธีที่จะรักษาชีวิตเอาไว้

ส่วนเปี๋ยยั่งหง ต่อให้เขาสามารถบีบให้สวีโหย่วหรงถอยไปได้ในสามลมหายใจ เขาก็ยังทำได้แค่จับตัวเฉินฉางเซิง ไม่ใช่สังหาร

และมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความสามารถฆ่าเฉินฉางเซิงในเวลาสามลมหายใจ

ในตอนแรกคนชุดน้ำเงินไม่เคยคิดว่าจะลงมือด้วยตัวเอง เพราะมันเพิ่มความเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัว อย่างไรก็ตามเขาไม่คาดคิดว่าเซียงอ๋องจะใจเย็นถึงเพียงนี้ นับจากต้นจนจบ นอกจากใช้วิชาสุริยันแผดเผาส่งเสียคำรามออกไป เขาก็นิ่งเฉยมาตลอด ตอนนี้หวังผ้อมาแล้ว โอกาสที่เซียงอ๋องจะลงมือยิ่งน้อยไปใหญ่

ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือสวีโหย่วหรงไม่สนใจว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าไรในการออกจากการกักตน และเพลงกระบี่ของนางกับเฉินฉางเซิงก็ลึกลับจนถึงกับสามารถรับมือกับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ หากไม่ใช่เพราะนาง เฉินฉางเซิงคงตายใต้เงือมมือของอู๋ฉยงปี้ไปแล้ว

เมื่อเรื่องประหลาดใจทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน ทำให้สรุปได้ว่าหากเขาไม่ลงมือ เฉินฉางเซิงอาจมีโอกาสรอด

โชคยังดีที่สถานการณ์ยังอยู่ใต้การควบคุม

หวังผ้อถูกอู๋ฉยงปี้กันเอาไว้ สวีโหย่วหรงถูกเปี๋ยยั่งหงกันเอาไว้ และเฉินฉางเซิงก็ยากที่จะป้องกันการโจมตีของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวได้

ส่วนพวกโก่วหานสือกับศิษย์สำนักกระบี่หลีซาน ศิษย์เปี๋ยยั่งหงและพวกนักบวชนั้น พวกเขายังอยู่ไกลเกินไป ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

เขามั่นใจว่าตราบใดที่เขาลงมือ เฉินฉางเซิงต้องตายแน่นอน

ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่สุด

โอกาสที่ไม่อาจพลาดได้