เขาสงสัยมาตลอดว่าไอ้จิตวิญญาณหลอกหลอนบ้าบอนี่คืออะไร แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ต้นไม้โบร่ำโบราณและหญ้าที่มีชีวิตจิตใจเพราะได้รับพลังจิตวิญญาณเข้มข้นจากบริเวณโดยรอบ
ก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับราชายาเม็ด
แม้จิตวิญญาณเหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า แต่เพราะทำอะไรไม่ได้มาก ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันจึงอ่อนด้อย แต่สิ่งที่ทำให้รับมือได้ยากก็คือจำนวนของมันที่มีมากมายมหาศาล ถึงขนาดที่ทำให้ใครๆอึ้งตะลึงได้
อีกอย่าง เพราะพวกมันเติบโตด้วยพลังจิตวิญญาณ จึงเรียกได้ว่าหากอยู่ในพื้นที่ที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ก็แทบจะทำลายมันไม่ได้เลย มีแต่จะทำให้มันเกรี้ยวกราดและรับมือด้วยได้ยากขึ้นกว่าเดิม
“เป้าหมายของเราคือนำน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกมาและไม่เอาชีวิตเข้าแลกกับจิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนั้น ผมอยากให้พวกคุณตรงเข้าโจมตีจากทุกทิศทางเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกมัน แล้วผมจะใช้ช่วงเวลาชุลมุนนั้นลอบเข้าไป ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมาเมื่อไหร่ พวกเราจะถอนกำลังทันที!”
“ผมว่าก็เป็นความคิดที่ดี แต่จะเป็นอย่างไรล่ะถ้าคุณหนีไปพร้อมกับน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นโดยไม่บอกพวกเรา?” ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งพูด
พวกเขาเพิ่งพบกัน ยากที่จะไว้ใจอีกฝ่ายถึงขนาดเอาชีวิตเข้าเสี่ยง
“จริงด้วย ถ้าคุณหนีไปในช่วงชุลมุนหลังจากที่ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องชดใช้และมอบความดีความชอบให้เรา พวกเราต้องเสี่ยงมากนะ ผมว่าแผนนี้ไม่เข้าที” ราชันย์เทพเจ้าอีกคนหนึ่งเสริม
“งั้นพวกคุณมีข้อเสนออย่างไร?” อ้าวเฟิงขมวดคิ้วเมื่อมีเสียงคัดค้านสิ่งที่เขาเพิ่งเสนอ
“เราจะบุกเข้าไปและถอยออกมาทีละคน!” ราชันย์เทพเจ้าคนเมื่อครู่ตอบ
“ใช่! เราจะบุกเข้าไปและถอยออกมาทีละคน!”
ฝูงชนที่เหลือพยักหน้า
“ทำแบบนั้นทำให้เรามองเห็นกันทั่วถึงก็จริง แต่คุณคิดบ้างหรือเปล่าว่าเราอาจถูกจิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนั้นตีวงล้อมก็ได้?” อ้าวเฟิงถาม “ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นล่ะก็ ไม่เพียงแต่เราจะไม่ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น ยังอาจต้องตายด้วย!”
“เอ่อ…”
ทุกคนขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังข้อโต้แย้ง
สิ่งที่อ้าวเฟิงพูดก็มีเหตุผล ตรงนี้มีจิตวิญญาณหลอกหลอนอยู่มากมาย และแต่ละดวงมีพละกำลังเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า
หากพวกเขาติดกับ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ทั้งทีมยังอาจถูกกวาดล้างจนราบคาบ
ซึ่งภายใต้สถานการณ์แบบนั้น แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องยอมสละชีวิตใครสักคนเพื่อฝ่าวงล้อมออกมาให้ได้ แต่ในเมื่อทุกคนล้วนเป็นคนแปลกหน้าที่มารวมตัวกันเพราะผลประโยชน์ ใครเล่าจะเต็มใจสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น? เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้!
“หลอกล่อจิตวิญญาณหลอกหลอนและเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมัน-นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ถ้าแม้แต่เชื่อใจผม…พวกคุณยังทำไม่ได้ แล้วจะร่วมมือกันเพื่ออะไร?” อ้าวเฟิงโบกมืออย่างหงุดหงิด
ฝูงชนต่างเงียบกริบไปอีกครั้ง เมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งรวมตัวเป็นพันธมิตรกันก็จริง แต่หากไม่ไว้วางใจผู้นำ ต่างคนต่างไปก็น่าจะดีกว่า
“ทำไมเราไม่ฝึกฝนการสร้างค่ายกลผนึกกำลังและหาทางฝ่าจิตวิญญาณหลอกหลอนเข้าไปล่ะ?”
“ค่ายกลผนึกกำลัง? ข้อแรกสุดเลยนะ ตอนนี้เรามีเวลาจำกัดมาก ข้อ 2, ไม่ช้าราชันย์เทพเจ้าคนอื่นๆก็จะรู้เรื่องน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น ทุกอย่างจะซับซ้อนวุ่นวายเกินเหตุหากเรามัวใช้เวลาไปกับการสร้างค่ายกล”
“จริงด้วย กว่าจะเชี่ยวชาญค่ายกลผนึกกำลังก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน แถมยังต้องประสานงานกันให้ดี เราไม่มีเวลามากขนาดนั้นหรอก”
“ถ้าพวกเรามีเวลามากขนาดนั้น ออกสำรวจหาทรัพย์สมบัติอื่นๆในบริเวณโดยรอบไม่ดีกว่าหรือ? น่าจะได้ของล้ำค่าที่มีมูลค่ามากกว่าน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นด้วยซ้ำ!”
…..
เกิดการโต้แย้งในกลุ่ม
เหล่าราชันย์เทพเจ้านึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ดูเหมือนง่ายจะวุ่นวายซับซ้อนขนาดนี้ ทั้งทีมดูจะแตกคอกันตั้งแต่ภารกิจยังไม่เริ่ม
“เอาล่ะ ทำแบบนี้เถอะ ผมจะพุ่งออกไปเป็นด่านหน้า ขณะที่พวกคุณที่เหลือคอยระวังหลังให้ผม คุ้มกันผมจากการโจมตีของจิตวิญญาณหลอกหลอน ตกลงไหม?”
เมื่อรู้แล้วว่าไม่น่าจะพึ่งพาพันธมิตรที่รวมตัวกันอย่างปัจจุบันทันด่วนได้ อ้าวเฟิงจึงทำได้แค่ประนีประนอม
ราชันย์เทพเจ้าพวกนี้หวังจะได้ทรัพย์สมบัติโดยไม่ต้องเสี่ยง โลกนี้มีเรื่องดีๆแบบนั้นด้วยหรือไง*?*
“ผมไม่มีปัญหา!”
ฝูงชนรีบตอบรับแผนการใหม่ของอ้าวเฟิง
ถึงตอนนี้ อ้าวเฟิงไม่มีเวลาเสาะหายุทธวิธีอื่น เขาสูดหายใจลึกและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ!”
เมื่อพูดจบก็พุ่งปราดเข้าไป
ฟิ้ววววว!
อ้าวเฟิงสำแดงพละกำลังของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ร่างของเขาพุ่งผงาดราวกับสายฟ้าฟาด ฝ่ามือแปรสภาพเป็นกรงเล็บขณะกวาดมิติที่อยู่ตรงหน้า ทำให้จิตวิญญาณหลอกหลอนที่รุมล้อมอยู่แตกสลายกลายเป็นพลังจิตวิญญาณ
“ตามผมมา!” อ้าวเฟิงตวาดก้อง
ราชันย์เทพเจ้าที่เหลือรีบตามไปติดๆ
จางเซวียนกับหลัวฉีฉีก็เกาะกลุ่ม
พูดได้เลยว่าอ้าวเฟิงคนนี้ทรงพลังมาก เขาปราบจิตวิญญาณหลอกหลอนที่มีความแข็งแกร่งระดับราชันย์เทพเจ้าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และไม่ทิ้งซากใดๆไว้เลย
เอ๊ะ*?*จิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนี้ดูจะมีประโยชน์กับวรยุทธของจิตวิญญาณของเรา
จางเซวียนคิดขณะปัดป้องการโจมตีของจิตวิญญาณหลอกหลอนที่พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง
พื้นฐานของจิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนี้ก็คือจิตวิญญาณ เหมือนสิ่งที่เขาร่ายมนต์ใส่ จางเซวียนรู้ทันทีว่าหากซึมซับพวกมันเข้าไป ก็น่าจะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของตัวเองได้ไม่น้อย
แม้จิตวิญญาณของเขาจะเข้าถึงระดับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นสูงสุดแล้วหลังจากที่ได้รับตำแหน่งทรงเกียรติจากโลก แต่ก็ยังต้องขัดเกลาวรยุทธนั้นอีกสักหน่อยก่อนที่จะพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์
ถ้าเขาซึมซับจิตวิญญาณเหล่านี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณได้ดีขึ้นอีกมาก
ต้องลอง!
เมื่อคิดได้ จางเซวียนพยายามซึมซับจิตวิญญาณดวงหนึ่งที่อ้าวเฟิงตีแตกกระจายเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา
ถ้าจิตวิญญาณยังคงมีจิตใต้สำนึกหลงเหลืออยู่ การซึมซับมันย่อมเท่ากับการครอบงำ ส่งผลให้ซึมซับได้ยาก แต่จิตวิญญาณที่แตกสลายล้วนแต่สูญเสียจิตใต้สำนึกของมันไปแล้ว ทำให้กลายเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ สำหรับจางเซวียน เขาซึมซับมันได้ง่ายมาก
จางเซวียนพลันรู้สึกได้ว่าระดับวรยุทธของจิตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น
ไม่เลวเลย!
โชคดีที่เลือกเข้าร่วมกลุ่มนี้ ต่อให้ไม่ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมา แต่อย่างน้อยก็เป็นการเดินทางที่ได้ประโยชน์
เมื่อมีอ้าวเฟิงเป็นกองหน้าและราชันย์เทพเจ้าอีก 13 คนคอยปัดป้องจิตวิญญาณหลอกหลอนอยู่ด้านหลัง จิตวิญญาณที่แตกสลายก็กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น
เพียง 10 นาที จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
…..
แต่แล้ว ทั้งกลุ่มก็ลงเอยด้วยการตกอยู่ในวงล้อมของจิตวิญญาณหลอกหลอนโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เหมือนที่อ้าวเฟิงเคยคาดการณ์ไว้
ลำธารในภูเขาสายนี้เต็มไปด้วยพืชพรรณและสมุนไพรที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานนับปีไม่ถ้วน อีกทั้งสภาพแวดล้อมโดยรอบก็แสนจะเหมาะสมกับการบ่มเพาะจิตวิญญาณหลอกหลอน ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงมีจำนวนมาก
แม้จะต่อสู้กันมาระยะหนึ่งแล้ว จำนวนจิตวิญญาณหลอกหลอนก็ดูจะยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ครู่ต่อมา จางเซวียนก็หยุดซึมซับจิตวิญญาณ
ประสิทธิภาพในการซึมซับจิตวิญญาณของเขาลดลงเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ล่วงไป สุดท้ายก็มาถึงจุดที่หยุดนิ่ง ตอนนี้ จางเซวียนไม่ต้องการแม้จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดเพื่อยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาอีกแล้ว
“น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นอยู่ตรงนั้น!” อ้าวเฟิงตะโกนขณะชี้นิ้วไป
จางเซวียนมองตาม เห็นลูกทรงกลมที่มีสีขาวเหมือนน้ำนมลอยอยู่เหนือทะเลสาบ
ลูกทรงกลมนั้นมีขนาดเท่ากำปั้น แผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณออกมาอย่างต่อเนื่อง ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณภายในลูกทรงกลมสีขาวน้ำนมนี้น่าจะเข้มข้นกว่าพลังจิตวิญญาณในยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดหลายเท่า
จางเซวียนรู้สึกได้ว่าพลังปราณในร่างกายของเขาเต้นเร่าด้วยความร้อนรนอยากจะซึมซับมันเข้าไป
มันคือของดีจริงๆด้วย**จะต้องมีประโยชน์กับเราแน่…จางเซวียนตาโต
เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ หากได้ซึมซับมัน ก็น่าจะผลักดันระดับวรยุทธของพลังปราณไปเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขั้นกลางหรือแม้แต่ขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่…
เมื่อครู่นี้เขาง่วนอยู่กับการซึมซับจิตวิญญาณและไม่ได้ช่วยเหลืออะไรพรรคพวกมากนัก ในเมื่ออ้าวเฟิงกับราชันย์เทพเจ้าคนอื่นๆลงทุนลงแรงไปมาก เขาก็รู้สึกละอายหากจะฉกฉวยน้ำทิพย์มา
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นปรมาจารย์ ไม่ใช่นักย่องเบา
และอีกอย่าง ก็น่าจะมีลูกทรงกลมที่บรรจุน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นแบบนี้มากกว่า 1 ลูกอยู่แถวๆนี้ ไว้ค่อยตรวจสอบทีหลังก็ได้
ขณะที่คนอื่นๆต้องหาทางฝ่าจิตวิญญาณหลอกหลอนเพื่อให้ได้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นมา แต่จางเซวียนไม่ต้องพยายามถึงขนาดนั้น
เพราะเมื่อถึงเวลา เขาก็แค่ถอดจิตวิญญาณออกมาและปลอมตัวเป็นจิตวิญญาณหลอกหลอน ด้วยวิธีนี้ ก็จะเล็ดลอดผ่านพวกมันเข้าไปและนำน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกมาได้โดยไม่ลำบากอะไร
ฟึ่บ!
ราวกับจะปกป้องน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น จำนวนจิตวิญญาณหลอกหลอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ราชันย์เทพเจ้าทั้งกลุ่มรุกคืบเข้าไป ด้วยเหตุนี้ แรงกดดันที่พวกเขาได้รับจึงมากมายมหาศาล
ภายในไม่กี่นาที ก็มีราชันย์เทพเจ้า 4 คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่อ้าวเฟิงก็มีเลือดซึมออกจากมุมปาก
แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงไปอีก เพราะจิตวิญญาณหลอกหลอนเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกมากจนมีวรยุทธเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุด พวกมันตรงเข้าเล่นงานทั้งกลุ่มโดยปราศจากความหวาดกลัว แถมยังมีทักษะการโจมตีจิตวิญญาณที่ถือว่าเป็นเลิศ ทำให้สภาวะจิตและประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งกลุ่มย่ำแย่ลงมาก
“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ พวกเราได้ตายที่นี่แน่” ราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งร้องออกมา
เกือบทุกคนในกลุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด
พวกเขาเคยคิดว่าหากรวมพลังกันก็น่าจะเอาชนะจิตวิญญาณหลอกหลอนได้สบาย ใครจะไปรู้ว่าประเมินความยากของภารกิจครั้งนี้ต่ำไป?
“เราต้องถอยแล้วนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่มีชีวิตรอดกลับไปแน่!” ราชันย์เทพเจ้าอีกคนหนึ่งตะโกน