ในชั่วพริบตา สมาชิกทุกคนในกลุ่มก็เริ่มลังเล-ควรถอยและล้มเลิกภารกิจ หรือเดินหน้าต่อไป?
ถึงพวกเขาจะอยู่ใกล้น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นแล้ว แต่แรงกดดันที่ต้องเผชิญก็หนักหน่วงขึ้นในทุกวินาทีที่ผ่านไป หากเป็นแบบนี้ ไม่ช้าไม่นานก็คงถูกกวาดล้าง
“เรามาไกลขนาดนี้แล้วนะ จวนจะถึงเป้าหมายอยู่แล้ว จะล้มเลิกได้อย่างไร?” อ้าวเฟิงตวาดก้อง “ทุกคนรอผมตรงนี้สักครู่ ผมจะเข้าไปเอาน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นออกมา!”
อ้าวเฟิงวิ่งตรงเข้าไปพร้อมกับคำรามกร้าว ในชั่วพริบตา เขาก็กลายร่างเป็นมังกรสีทองตัวมหึมา
มังกรตัวนั้นโถมกำลังเข้าใส่น้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นที่อยู่กลางอากาศ
อ้าวเฟิงรู้ดีว่าไม่อาจเข้าถึงเป้าหมายโดยใช้ร่างมนุษย์ จึงกลายสภาพกลับสู่ร่างเดิมโดยไม่ลังเล!
การปรากฏตัวของมังกรสีทองทำให้บรรยากาศโดยรอบดูจะเบาบางลงไป ปริมาณพลังจิตวิญญาณ ในบริเวณนั้นเข้มข้นดุเดือดยิ่งขึ้น
อ้าวเฟิงกำลังสำแดงพละกำลังที่แท้จริงของเขาในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่งน่านฟ้ามังกรเมฆ
ฟึ่บ!
ทันทีที่มังกรสีทองปรากฏ จิตวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงนั้นก็พุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง บางส่วนถึงกับระเบิดตัวเองเพื่อเล่นงานอีกฝ่ายให้ได้รับบาดเจ็บ ในชั่วพริบตา การกระเพื่อมของมิติชั้นแล้วชั้นเล่าก็กระจายตัวออกไปโดยรอบ ทำให้มิติตรงนั้นเกิดความไม่เสถียร
ภายใต้การโจมตีอย่างไม่ลดละของจิตวิญญาณหลอกหลอน เกล็ดอันแข็งแกร่งของอ้าวเฟิงฉีกขาด บาดแผลรุนแรงปรากฏทั่วร่าง เลือดมังกรสีทองหยดลงพื้น เกิดเสียงฉี่ฉ่าบนโขดหินด้านล่าง
เมื่อรู้แล้วว่ากำลังเพลี่ยงพล้ำ อ้าวเฟิงใช้ลมหายใจมังกรของเขาโดยไม่ลังเล ลมหายใจนั้นเล่นงานจิตวิญญาณหลอกหลอนจำนวนหลายสิบที่ขวางอยู่ เกิดเป็นช่องทางให้อ้าวเฟิงผ่านเข้าไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ฟึ่บ!
อ้าวเฟิงรีบใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าไป และขณะที่กำลังจะเข้าถึงน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น ปราการแสงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า สกัดกั้นเขาไว้
“มันคือค่ายกลที่จิตวิญญาณหลอกหลอนสร้างขึ้น!” อ้าวเฟิงหน้าดำคร่ำเครียดขณะขนลุกขนชันทั่วทั้งตัว
ไม่เพียงแต่จิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนี้จะมีชีวิตจิตใจ พวกมันยังผนึกกำลังกันเพื่อสร้างค่ายกลได้ด้วย…เรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขามาก
อ้าวเฟิงรีบเงื้อกรงเล็บขึ้นเพื่อกรีดปราการแสงให้เป็นรู
ปราการแสงสั่นสะท้านจากการโจมตีของเขา แต่ก็ไม่เกิดความเสียหาย
ขนาดนักรบที่แข็งแกร่งระดับอ้าวเฟิงสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด ก็ยังไม่อาจเล่นงานค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าได้
“เราไม่เชื่อหรอก!”
อ้าวเฟิงรับไม่ได้หากต้องปล่อยน้ำทิพย์ปฐพีให้หลุดลอยไปทั้งที่มันอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องปฏิบัติภารกิจนี้จนสำเร็จให้ได้
ไม่อย่างนั้น ถ้าใครต่อใครนำเรื่องความอันตรายของที่นี่ไปซุบซิบกัน ต่อไปเขาคงรวมทีมใหม่ได้ยาก พูดอีกอย่างก็คือ อ้าวเฟิงมีโอกาสครั้งนี้เพียงครั้งเดียวที่จะทำให้สำเร็จ ความล้มเหลวคือสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
แต่เขาก็รู้ดีว่ามีเวลาไม่มาก ทุกวินาทีที่เขายังอยู่ตรงนี้ คนอื่นๆในกลุ่มจะต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากจิตวิญญาณหลอกหลอน
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
อ้าวเฟิงตวัดกรงเล็บกรีดปราการแสงครั้งแล้วครั้งเล่าจนปราการสั่นสะท้านไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจทำลายมันได้
ปราการแสงนั้นยังไม่แตกสลายก็จริง แต่ก็บางลงเรื่อยๆจากการโจมตีอันดุเดือดของเขา การตวัดกรงเล็บแต่ละครั้งทำให้พลังจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ
จางเซวียนเฝ้ามองภาพนั้น เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น
มันไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นรังดักแด้ที่ก่อตัวขึ้นจากน้ำทิพย์ที่บริสุทธิ์ที่สุดซึ่งสกัดจากจิตวิญญาณหลอกหลอนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน*…*
หากมองเผินๆก็เหมือนปราการแสง แต่พลังงานที่แผ่ซ่านออกมาจากการโจมตีแต่ละครั้งทำให้เห็นชัดแล้วว่าไม่ใช่
ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด เหตุผลที่พืชพันธุ์ชนิดต่างๆในบริเวณนี้มีจิตวิญญาณตั้งแต่กำเนิดก็เพราะการที่มีน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นอยู่ ด้วยเหตุนี้ จิตวิญญาณเหล่านั้นจึงเห็นน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นเป็นเสมือนมารดาของพวกมัน
เพื่อปกป้องมารดา จิตวิญญาณหลอกหลอนจะสกัดน้ำทิพย์จากจิตวิญญาณของพวกมันและนำมาสะสมรวมกันให้มากขึ้นเรื่อยๆเพื่อสร้างเป็นชั้นปราการปกป้อง
พูดอีกอย่างก็คือ…
แท้ที่จริงแล้ว ปราการแสงคือน้ำทิพย์ชั้นดีสำหรับเขา!
ถ้าเราได้ซึมซับมัน**คงยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้อีกแน่ๆ
เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบปัดจิตวิญญาณหลอกหลอน 2 ดวงที่เข้ามาขวางให้ออกไปพ้นทางก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ปราการแสง เขารู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่แผ่ออกมาและอบอวลอยู่ในอากาศ
เพียงแค่ซึมซับเข้าไปเสี้ยวหนึ่ง ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอีกมาก
สิ่งนี้ช่วยยืนยันความคิดของจางเซวียน ถ้าเขาได้ซึมซับมัน จะต้องยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้เข้าถึงขั้นใหม่ได้อย่างแน่นอน
คงโง่เต็มทีหากยอมพลาดของดีๆแบบนี้!
จางเซวียนหันไปมองปราการแสง เห็นมันถูกฉีกกระชากออกไปชั้นแล้วชั้นเล่าด้วยการโจมตีอย่างไม่ลดละของอ้าวเฟิง จิตวิญญาณหลอกหลอนที่อยู่บริเวณนั้นซึมซับเอาพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่แผ่ซ่านออกมาจนพวกมันแข็งแกร่งขึ้น
“น่าเสียดาย…”
หากเป็นแบบนี้ แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่กลุ่มราชันย์เทพเจ้าก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นอีก เพราะจิตวิญญาณหลอกหลอนแข็งแกร่งกว่าเดิม ทั้งยังเป็นการสูญเปล่าหากจะปล่อยให้จิตวิญญาณหลอกหลอนพวกนั้นซึมซับน้ำทิพย์เข้าไปฟรีๆ
ถ้าเขาได้มันมา ประโยชน์ที่ได้อาจมากกว่าการซึมซับน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นเสียอีก!
แบบนี้ไม่ได้การ**เราควรซึมซับเสียเอง จางเซวียนคิดขณะเดินเข้าหาปราการแสง
…..
ระหว่างนั้น มังกรสีทองที่อยู่กลางอากาศก็ยังโจมตีปราการแสงอย่างต่อเนื่อง แรงตีกลับจากการปะทะทำให้กรงเล็บของมันมีเลือดไหลโกรก แถมบางครั้ง จิตวิญญาณหลอกหลอนที่อยู่โดยรอบก็ตรงเข้าเล่นงานมัน ทำให้อาการบอบช้ำยิ่งรุนแรงกว่าเดิม
มันรู้สึกเหมือนจะหมดแรงและร่วงลงจากกลางอากาศได้ทุกขณะ
อ้าวเฟิงกัดฟันกรอดขณะครุ่นคิด เราเป็นหนี้บุญคุณต่อจอมราชันย์มังกรเมฆน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้นคือสิ่งที่จะช่วยให้จอมราชันย์มังกรเมฆยกระดับวรยุทธของเขาได้ดังนั้น**ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จ
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติส่วนใหญ่ได้รับคำชี้แนะจากจอมราชันย์ ซึ่งทั้งน่านฟ้าทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เหล่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็มีสายเลือดเกี่ยวพันกับจอมราชันทั้งนั้น
นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาแนบแน่นกว่าธรรมดา
หากจอมราชันย์ต้องการสิ่งใด ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก พวกเขาก็พร้อมจะหามันมาให้ได้!
อ้าวเฟิงโจมตีอย่างบ้าคลั่งต่อไป แต่ยิ่งออกแรงมากขึ้นเท่าไหร่ แรงตีกลับก็หนักหน่วงขึ้นเท่านั้น ไม่ช้าร่างของเขาก็บอบช้ำอย่างหนัก ดูเหมือนใกล้ทรุดเต็มที
อ้าวเฟิงรู้ดีว่าร่างกายของเขาใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว หากดันทุรังต่อไป คงตายก่อนจะได้เข้าถึงน้ำทิพย์ปฐพีเข้มข้น เขาจนปัญญาอย่างหนักจนคิดจะออกคำสั่งให้ล่าถอย ก็พอดีกับที่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าปราการแสงที่เขาเพิ่งโจมตีไปเมื่อครู่
ชายหนุ่มยิ้มอย่างลิงโลด เขาตั้งต้นซึมซับพลังงานที่แผ่ซ่านออกมาจากปราการแสง
“….”
อ้าวเฟิงในร่างมังกรก้มหน้าลงและเห็นทันทีว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร
หมอนั่นคือหนึ่งในสองราชันย์เทพเจ้าคนสุดท้ายที่เขารับเข้ากลุ่ม
“ไม่ต้องสนใจผม คุณทำอะไรก็ทำไปเถอะ ผมแค่จะซึมซับมันสักหน่อยก่อนจะออกไป” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับโบกมืออย่างสบายใจ
“….” อ้าวเฟิงเกือบลมจับ
ไอ้น้อง!
ผมเกือบจะถูกจิตวิญญาณหลอกหลอนฆ่าตายอยู่แล้วขณะที่พยายามทำลายปราการแสงนี่! แม้ตอนนี้ ตัวผมก็ยังมีเลือดไหลไม่หยุด
แล้วคุณเข้ามาตรงนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีแม้แต่รอยฉีกขาดบนเสื้อผ้า?
แถมยังอารมณ์ดีถึงขนาดยิ้มและโบกมือให้ผม…
จะบ้าหรือไง! ผมจะตายอยู่แล้ว! ถ้าคุณเก่งกาจขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ลงมือทำอะไรตั้งแต่เมื่อกี้?
อ้าวเฟิงจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ก็เห็นอีกฝ่ายง่วนอยู่กับการซึมซับพลังงานที่รั่วไหลออกมา จดจ่ออยู่กับมันจนดูเหมือนมีพายุทอร์นาโดขนาดย่อมก่อตัวขึ้นโอบล้อมร่างของเขาไว้
จิตวิญญาณหลอกหลอน 2 ดวงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้นรู้สึกได้ว่าแหล่งพละกำลังของพวกมันกำลังถูกชายหนุ่มแย่งไป มันพุ่งเข้าใส่ขณะกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว
“ระวังตัวด้วย!” อ้าวเฟิงตะโกน
ตุ้บ! ตุ้บ!
แต่ยังไม่ทันที่จิตวิญญาณหลอกหลอนจะได้เข้าใกล้ ชายหนุ่มก็โบกมือ
เกิดเสียงตุ้บหนักๆ 2 ครั้ง จิตวิญญาณหลอกหลอนทั้ง 2 ดวงแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงก่อนจะถูกชายหนุ่มซึมซับเข้าไป
ชายหนุ่มเงยหน้ามองอ้าวเฟิงอีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ต้องคอยระวังให้ผม คุณทำลายปราการแสงต่อไปเถอะ ตอนนี้มันก็บางมากแล้ว ถ้าคุณเร่งมือหน่อย น่าจะจัดการมันได้ภายใน 10 นาที!”
“10 นาที?” อ้าวเฟิงกระอักเลือดออกมา
เขายังคิดอยู่ว่าไม่ช้าก็คงทำลายมันได้สำเร็จ แต่ลงท้าย…10 นาทีเชียวหรือ?
เขาแทบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อโจมตีมัน แต่สุดท้ายก็ทำลายปราการแสงไปได้ไม่ถึง 1 ใน 10 ด้วยซ้ำ?
ให้นรกกินเถอะ! ตกลงไอ้นี่มันแตกสลายได้ใช่ไหม?
อ้าวเฟิงกล้ำกลืนความชอกช้ำ เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มเพิ่งเสร็จสิ้นการซึมซับพลังงานที่อบอวลอยู่โดยรอบ
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าขัดอกขัดใจก่อนจะตั้งคำถาม “คุณจะมัวยืนนิ่งทำไม? อย่าหยุดสิ!”
“ฮะ…”
อ้าวเฟิงคิดอะไรไม่ออก เขาตั้งต้นใช้กรงเล็บกรีดปราการแสงอีกครั้ง พลังงานแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ
จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะหันกลับไปซึมซับพลังจิตวิญญาณที่อบอวลอยู่รอบตัว
เพราะได้ซึมซับน้ำทิพย์ของจิตวิญญาณที่อยู่ในปราการแสง จิตวิญญาณของจางเซวียนจึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งประสิทธิภาพการควบคุมพลังจิตวิญญาณก็ได้รับการขัดเกลาจนแม่นยำกว่าเดิม
ไม่ช้า ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เข้าถึงขั้นที่น่าพอใจอีกครั้ง
ไม่มีอะไรต้องกังวล
ด้วยการใช้ความคิด จางเซวียนส่งต่อน้ำทิพย์ของจิตวิญญาณให้ตัวโคลนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้จิตวิญญาณของอีกฝ่าย ซึ่งหมอนั่นก็ซึมซับทุกอย่างที่พอจะซึมซับได้
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง จางเซวียนเห็นอ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ ร่างมังกรของเขาโชกเลือดและอ่อนปวกเปียก ดูเหมือนใช้พละกำลังไปหมดเกลี้ยง
อีกฝ่ายดูไม่สง่างามเหมือนเคย
“ผมมียาเม็ดที่ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของคุณได้ กินเสีย!”
จางเซวียนกระดิกนิ้ว จากนั้นก็โยนยาเม็ดหนึ่งให้อ้าวเฟิง
ถ้าอ้าวเฟิงสลบ เขาคงไม่อาจซึมซับน้ำทิพย์ของจิตวิญญาณที่อยู่ตรงนี้ได้เหมือนเดิม แถมเขาก็ซึมซับไปเยอะแล้ว สมควรตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่ายบ้าง