ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 854 เยี่ยนจ้าวเกอผู้มั่งมีเป็นอันดับหนึ่ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สถานที่บนโลกซ้อนโลกซึ่งเยี่ยนตี๋เลือกเปิดสำนักในปัจจุบัน แม้ว่าจะอยู่บนดินแดนจิตคุณธรรม แต่ไม่ได้เป็นที่อยู่เดิมของผาตะวันจันทรา อันเป็นที่อยู่เดิมของสำนักแสงสว่าง

แต่เป็นน่านน้ำทางเหนือของผาตะวันจันทรา อยู่ด้านบนบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์พอดี

ยอดเขาทั้งแปดยังคงมียอดเขานภากาศเป็นยอดเขาหลัก นอกจานั้นยังมียอดเขาอื่นๆ อีกเช่นยอดเขาอรรณพและยอดเขาลมอาคเนย์

ประตูทางเขาบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ถูกสะกดไว้ชั่วคราว ตั้งอยู่ด้านล่างยอดเขาอรรณพ

การคุกคามที่มาจาก ‘ด้านบน’ อย่างโลกซ้อนโลกในปัจจุบันถูกขจัดทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว โลกปีศาจอัคคีกับนพยมโลกถูกผนึกเอาไว้ นอกเสียจากว่าจะเกิดสถานการณ์เร่งด่วน ไม่เช่นนั้นโลกแปดพิภพก็จะไม่พบพานการคุกคามจากภายนอกอีก

และในการเผชิญหน้ากับปัญหาส่วนใหญ่ เนื่องจาก ‘การสนับสนุน’ ของสำนักแสงสว่างและราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง เขากว่างเฉิงจึงได้เก็บอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำไว้ที่โลกแปดพิภพห้าชิ้น

มาตรว่าจะไม่มียอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คอยดูแล แค่จอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ก็รับมือกับสถานการณ์ได้แล้ว

ต่อให้มีเรื่องเหนือความคาดหมาย พวกเยี่ยนจ้าวเกอกับหยวนเจิ้งเฟิงที่คอยเฝ้าบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ ก็สามารถเดินทางลงไปกวาดล้างคู่ต่อสู้ได้

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้คัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิตของหยวนเจิ้งเฟิง และคัมภีร์นภาหยินหยางที่เยี่ยนจ้าวเกอมอบให้ วิชาวรยุทธ์ของเขากว่างเฉิงจึงโดดเด่นขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย

ยอดฝีมือในสำนักอย่างเช่นจางคุน เหอหนิง ต่างมีความเป็นไปได้ว่าฝีมือจะรุดหน้าขึ้นอีกขั้น

แม้ว่าศักยภาพของพวกเขาจะค่อยๆ ปรากฏอย่างชัดเจนว่าไม่อาจเดินไปถึงระดับพวกเยี่ยนตี๋ หยวนเจิ้งเฟิง และฟางจุ่นได้

แต่การทำลายคอขวด ก้าวข้ามอุปสรรคที่ยากเหมือนปีนป่ายสวรรค์ ยืดไม้ไผ่ร้อยคืบให้ยาวขึ้นอีกขั้น กลับจุดความหวังใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง

ยอดฝีมือในยุคกลางและพวกคนรุ่นหลังของเขากว่างเฉิงก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน

วิชาวรยุทธ์และการสั่งสมทรัพยากร รวมถึงการกราบเข้าสำนักด้วยความชื่นชมของบุคคลที่มีความสามารถ ทำให้ความได้เปรียบโดยรวมของเขากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ศักยภาพยิ่งมายิ่งโดนเด่น

หลังจากเวลาผ่านไป หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายชนิดเปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนดิน ความได้เปรียบนี้มีแต่จะยิ่งใหญ่ขึ้น

ต่อให้ยอดฝีมือระดับสุดยอดพากันมุ่งหน้าไปโลกซ้อนโลก ก็จะมีคนรุ่นใหม่มาถมที่ว่างมากกว่าเดิม

นี่เป็นเส้นทางพัฒนาทั่วไปของสำนักสำนักหนึ่ง หลังจากยึดครองตำแหน่งผู้นำอันเบ็ดเสร็จในโลกเบื้องล่างได้

ต่อให้ไม่คิดจะปราบขุมกำลังต่างๆ เช่นเขาไร้พรมแดน เมืองทะเลมรต เขากว่างเฉิงที่กำหนดชัยชนะได้ตั้งแต่แรก พลังก็มีแต่จะยิ่งมายิ่งมากเหมือนกับการกลิ้งลูกหิมะ

ทุกคนต่างก้าวหน้าตามปกติ ความได้เปรียบมีแต่จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ตัวอย่างที่คล้ายกัน ก็คือสำนักตะวันซ้อนในโลกยมทะยาน

ถ้าหากไม่ใช่หยวนเจิ้งเฟิงที่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาหิมะไพศาลหรือหอพัดคลื่น ก็ไม่อาจสั่นสะเทือนตำแหน่งของสำนักตะวันซ้อนในโลกยมทะยานได้ แม้ว่าเขาหิมะไพศาลจะมีไป๋จื่อหมิงที่ลอยขึ้นมาก็ตาม

หลังจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ และฟางจุ่นหยัดยืนบนโลกซ้อนโลกอย่างมั่นคงได้แล้ว หยวนเจิ้งเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่โลกแปดพิภพอีกต่อไป

บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์เปิดออกอีกครั้ง ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกดพลังฝึกปรือของตัวเองแล้วเดินทางลงไป

สามวันต่อมา บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง

นอกจากร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่กลับไปแล้ว ยังมีคนอีกคนมาถึงโลกซ้อนโลกด้วยสภาวะฉีกกระชากม่านฟ้า

ในเงาร่างที่ผอมเล็กราวกับแฝงพลังไร้สิ้นสุดเอาไว้

เป็นหยวนเจิ้งเฟิงที่จัดการภารกิจในมือจนลุล่วง ไม่มีห่วงกังวลอีกต่อไปนั่นเอง!

“ท่านอาจารย์ปู่!”

“ท่านอาจารย์!”

บนยอดเขาอรรณพของเขากว่างเฉิงในโลกซ้อนโลก บนใบหน้าของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ ฟางจุ่น และฟู่เอินซูต่างปรากฏรอยยิ้ม

หยวนเจิ้งเฟิงกระโดดขึ้นไปบนยอดเขาอรรณพ มองท้องฟ้าสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ตรงหน้า พึมพำว่า “ที่นี่คือโลกซ้อนโลกหรือ ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”

เยี่ยนจ้าวเกอแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “อาจารย์ปู่ ร่างแยกของข้าบอกกับท่านตอนอยู่ด้านล่างแล้ว โอสถต่อชีวิตหมื่นอัศจรรย์นี้ได้เตรียมให้ท่านแต่แรกแล้ว”

โอสถต่อชีวิตหมื่นอัศจรรย์ เป็นโอสถเซียนที่เยี่ยนจ้าวเกอได้มาจากตอนที่ตามหาเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับเช่นกัน

ในด้านการสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่ มันมีสรรพคุณน่าอัศจรรย์ถึงขีดสุด

หยวนเจิ้งเฟิงจนถึงวันนี้ไม่ได้ต่อแขนที่ขาดไปของตนเอง

ไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ แต่หลังจากเขาฝึกฝนคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิต ก็มีความคิดของตัวเองอยู่

จะนำมาปฏิบัติจริงได้ จำเป็นต้องมีการเตรียมการพิเศษ หลายปีมานี้ค่อยๆ สั่งสมจนครบถ้วนแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอครั้งนี้นำโอสถต่อชีวิตหมื่นอัศจรรย์กลับมา ทำให้หยวนเจิ้งเฟิงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

หยวนเจิ้งเฟิงเอ่ยอย่างชื่นชม “โชคดีที่มีเจ้า”

ฟางจุ่นว่า “จ้าวเกอครั้งนี้กลับมาได้สิ่งของมามากมายจริงๆ ตอนมองโอสถเซียนยาวิเศษที่มีอยู่แค่ในตำนานเหล่านนั้น ศิษย์ถือว่าได้เปิดโลก”

ฟู่เอินซูที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หลังจากนางมาถึงโลกซ้อนโลกแล้ว ก็ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น เลื่อนเป็นขั้นบรรลุธรรมซึ่งอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นสิบสำเร็จ

การเพิ่มระดับของวิชาวรยุทธ์ ความเต็มเปี่ยมของทรัพยากรในการฝึกฝน ความได้เปรียบของสภาพแวดล้อมบนโลกซ้อนโลก ยิ่งเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเท่าไร ก็ยิ่งได้รับประโยชน์เท่านั้น

หยวนเจิ้งเฟิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จ้าวเกอสมบัติของเจ้าในตอนนี้ พูดแค่เรื่องคุณภาพไม่พูดถึงปริมาณ เกรงว่าแม้แต่ประมุขคนหนึ่งก็ยังเทียบไม่ได้กระมัง”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะฮ่าๆ อย่างพอใจ “มิกล้ารับ มิกล้ารับ”

ทุกคนต่างชี้เขา อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

ในตอนนั้นเอง ยอดเขามหาคุณที่อยู่ด้านข้างก็มีแสงวิญญาณปรากฏขึ้น

พวกเยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็สบตากันพร้อมกับยิ้มขึ้น

หยวนเจิ้งเฟิงมองครู่หนึ่ง เข้าใจขึ้นมาโดยพลัน “เป็นเยี่ยนตี๋กระมัง”

วินาทีถัดมา เงาคนสายหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทุกคน ภายนอกมีอายุราวๆ สามสี่สิบปี ใบหน้าตาหล่อเหลา จอนผมทั้งสองข้างเป็นสีขาว เป็นเยี่ยนตี๋นั่นเอง

เขาในตอนนี้เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ขั้นเทวะสำแดงระยะกลาง แต่ว่าการกะพริบของแสงวิญญาณในดวงตาทั้งสองข้าง บันดาลให้คนรู้สึกว่าเขาคล้ายพร้อมเพิ่มระดับขึ้นอีกขั้นตลอดเวลา

พอเห็นหยวนเจิ้งเฟิง เยี่ยนตี๋ก็คำนับทันที “ท่านอาจารย์ รบกวนท่านแล้ว”

หยวนเจิ้งเฟิงว่า “เจ้าเพิ่งขึ้นมาได้ไม่นาน การไหลของเวลาในโลกซ้อนโลกแม้ว่าจะช้ากว่าโลกผืนสมุทร แต่ก็เร็วกว่าโลกแปดพิภพ พวกเจ้าดูแลอยู่ที่นี่ ที่โลกแปดพิภพความจริงยังผ่านไปแค่ครึ่งปีกว่าๆ เอง”

หลังจากทุกคนทักทายกันเสร็จ ก็ปิดบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ พากันไปหาที่นั่งพักบนยอดเขานภากาศ

เยี่ยนจ้าวเกอได้เล่าเรื่องที่ในหลายๆ วันมานี้ตนได้เห็นมาอย่างคร่าวๆ

‘คิดไม่ถึงเลยว่ายังมีศาสนาพุทธอยู่อีก….’ ทุกคนในเขากว่างเฉิงใคร่ครวญในใจ ค่อยๆ คิดวิเคราะห์ข่าวที่เยี่ยนจ้าวเกอนำกลับมา

เมื่อคนอื่นๆ ออกไปแล้ว เหลือเพียงเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ ชายหนุ่มก็เล่าข่าวที่เกี่ยวข้องเสวี่ยชูฉิงให้บิดาของตนฟังอย่างละเอียด

เยี่ยนตี๋ไม่พูดแทรก เพียงฟังอย่างอดทน

หลังจากฟังเยี่ยนจ้าวเกอเล่าเสร็จ เยี่ยนตี๋ก็กล่าวอย่างแช่มช้าว่า “หมายความว่าความจริงแล้วพวกเราไม่ควรเอาแต่ตามหาแม่ของเจ้า ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับนำภัยร้ายมาให้นาง เพื่อลดข้อกริ่งเกรงให้แก่นาง ยังต้องพยายามอำพรางความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเรากับนางด้วยเช่นนั้นหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้พูดถึงเรื่องคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต กล่าวว่า “ข้าว่าการสืบหาในที่ลับยังพอทำได้”

เยี่ยนตี๋ไม่ได้ตอบ แต่สายตามองไปยังที่ไกลอย่างซึมเซา

ครู่ต่อมา เขาพลันถามว่า “ประมุขอาคเนย์บอกว่า อย่างน้อยต้องมีพลังฝึกปรือเท่าเขา จึงจะสามารถทราบถึงความจริงของเรื่องราวได้ใช่หรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ประมุขอาคเนย์กล่าวเช่นนั้นขอรับ”

ผู้เป็นบิดาพยักหน้า ไม่แสดงท่าที จากนั้นก็หันเหหัวข้อ “เจ้าคิดว่าเรื่องของชูฉิงเกี่ยวข้องกับพวกศิษย์หลานซือคงด้วยหรือ”

………………..