ตอนที่ 2,352 : เซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์?!
เมื่อต้วนหลิงเทียนชะลอความเร็วลง เซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์อย่างเฉินอี้หรูย่อมตามมาได้ทัน
อย่างไรก็ตามแม้จะติดตามมาทันแล้วแต่เฉินอี้หรูก็ไม่กล้าเหินร่างนำหน้าต้วนหลิงเทียน เพียงชะลอความเร็วเหินตามต้วนหลิงเทียนอยู่ด้านหลัง
ต้วนหลิงเทียนเป็นเจ้านายของมัน!
“ข้าได้ยินคนในเมืองพูดกันว่า แต่ก่อนเจ้ามีฉายาว่า เฉิน 3 ดาบงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงถามออกมาด้ววยน้ำเสียงเฉยเมย
และแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้หันไปมองเฉินอี้หรูด้านหลังเลย เสมือนเขาคุยกับอากาศว่างๆข้างหน้า
หากเป็นคนอื่นมาคุยกับเฉินอี้หรูแบบนี้ มันคงจะพิโรธหนักนัก!
แต่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนมันย่อมไม่กล้าหือ ยังเชื่องยิ่งกว่าลูกแมวเร่งพยักหน้าตอบคำทันที “ใช่แล้วนายท่าน”
“เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘ซานเตา’ เจ้าไม่มีอะไรขัดข้องนะ?”
(ซานเตา = สามดาบ)
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ข้าน้อยมิกล้า!”
ในเมื่อมันได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าไปแล้วว่าจะจงรักภักดีและยึดถือต้วนหลิงเทียนเป็นนาย เช่นนั้นเฉินอี้หรูย่อมไม่ขัดคำต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา
อย่าได้กล่าวถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะมอบชื่อ ‘ซานเตา’ ให้มันเลย กระทั่งให้ต้วนหลิงเทียนคิดเรียกหามันว่า ‘โง่งมน้อย’ มันก็ต้องยิ้มรับแต่โดยดี…
“ข้ามีบางเรื่องจะถามเจ้า”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกอีกครั้งเสียงเบา
“ขอนายท่านโปรดกล่าว”
เฉิ้นอี้หรูตอบคำด้วยเคารพยังเผยทีท่าราวกับ ‘ไม่รู้ไม่พูด รู้พูดไม่เหนื่อย’
“ในภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีเซียนอมตะเสเพลเช่นเจ้าทั้งสิ้นกี่คน?”
ต้วนหลิงเทียนเปิดด้วยคำถามแรกที่เขาอยากรู้ที่สุด
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนแห่งนี้ มีเซียนอมตะเสเพลเท่าไหร่กันแน่…
ก่อนที่จะย้อนกลับมายังภูมิภาคเบื้องบนคราวนี้ ถ้าเขาไม่ได้พบเจอกับประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์อย่างเลี่ยวหนันเจียงล่ะก็ เกรงว่าเขาคงไม่ได้รู้เลยว่าโลกนี้มีตัวตนอย่างเซียนอมตะเสเพลดำรงอยู่!
แต่ก่อนเขาเองก็ไม่ต่างจากทุกคนทั่วไป ที่คิดว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในระนาบโลกียะแล้ว
จนกระทั่งเลี่ยวหนันเจียงปรากฏขึ้น และได้รับทราบถึงขอบเขตเซียนอมตะเสเพล เขาจึงตระหนักได้ว่า…
ในอดีตเขาเองก็เป็นกบน้อยก้นบ่อเช่นกัน!
“นายท่าน คำถามนี้ของท่าน ข้าเองก็ยากจะตอบได้…”
เฉินอี้หรูไม่คิดเลยว่าจู่ๆต้วนหลิงเทียนจะยิงคำถามนี้ออกมา จึงอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขม “ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนมีเซียนอมตะเสเพลทั้งสิ้นกี่คน? ข้ามิอาจล่วงรู้จำนวนที่แน่ชัดได้…แต่ที่แน่ๆต่อให้มีไม่ถึงพัน อย่างน้อยก็นับร้อย…”
“หืม? เจ้าเองก็เป็นเซียนอมตะเสเพลคนนึงแต่ไม่รู้งั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
ในสายตาเขาในเมื่อเฉินอี้หรูเองก็เป็นเซียนอมตะเสเพลของภูมิภาคเบื้องบน ก็สมควรรู้เรื่องพววกนี้เป็นอย่างดี…
“นายท่าน ถึงแม้ข้าจะเป็นเซียนอมตะเสเพล แต่ข้าก็มิได้สุงสิงกับเซียนอมตะเสเพลคนอื่นมากนัก…และอันที่จริงเซียนอมตะเสเพลส่วนใหญ่ก็จักมิค่อยข้องเกี่ยวกับผู้ใด เท่าที่ข้ารู้ก็คือเซียนอมตะเสเพลที่มีอายุน้อยที่สุดตอนนี้ ก็สมควรถือกำเนิดขึ้นเมื่อราวๆ 1,000 ปีที่แล้ว ส่วนคนที่มีอายุมากที่สุดสมควรอยู่มาแล้ว 7,000 – 8,000ปี…”
เฉินอี้หรูค่อยๆอธิบายออกมาอย่างอดทน “ตั้งแต่ที่ข้าล้มเหลวในการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์และกลายเป็นเซียนอมตะเสเพล ข้าได้พบพานกับเซียนอมตะเสเพลด้วยกันทั้งสิ้น 10 คนเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วหากข้าไม่ปิดด่านบ่มเพาะเพื่อเตรียมรับมือหายนะทัณฑ์สวรรค์ทุกๆรอบพันปี ข้าก็มักจะเดินทางท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด มิยุ่งกับความเป็นไปใดๆในโลก…”
กล่าวถึงจุดนี้เฉินอี้หรูอดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจเพิ่มเติม
อนิจจาที่คราวนี้ข้าดันซวยมาเจอท่านเข้าได้!
แน่นอนว่ามันทำได้แค่กล้าคิดอยู่ในใจเท่านั้น ไม่กล้าหลุดกล่าวออกมาเด็ดขาด
“เป็นแบบนี้นี่เอง…”
ได้ยินคำของเฉินอี้หรู คล้ายต้วนหลิงเทียนนึกอะไรได้จึงถามออกมาต่อ “หากเจ้าไม่ปิดด่านบ่มเพาะ เจ้าก็มักเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยงั้นเหรอ แล้วคนอื่นเป็นแบบนี้ด้วยหรือไม่?”
“ถูกแล้วใต้เท้า”
เฉินอี้หรูพยักหน้า “ไม่เพียงข้า กระทั่งคนอื่นๆเองก็มักกระทำกันเช่นนี้”
“ถ้างั้นทำไมไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของพวกเจ้าเลย ว่าพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
และนี่เป็นคำถามที่ทำให้เขาสงสัยและไม่เข้าใจมากที่สุด
เพราะก่อนที่เขาจะย้อนกลับขึ้นมาบนภูมิภาคเบื้องบน วันที่พบเลี่ยวหนันเจียงกระทั่งคนของเผ่าปีศาจมนุษย์เอง ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เลยว่าเลี่ยวหนันเจียงยังไม่ตาย!
แทบทั้งหมดก็พากันคิดไปว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระนาบโลกียะ
และในเมืองที่คึกคักก่อนหน้านี้ ตอนที่มีเรื่องกัน เหล่าผู้ชมที่มามุ่งกันบนถนนหน้าเหลา…ก็เห็นชัดว่าไม่ได้ล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของเซียนอมตะเสเพลเลย!
พวกมันทั้งหมดพึ่งจะมารู้เรื่องราวของเซียนอมตะเสเพลเอาตอนนั้นทั้งสิ้น
“นายท่าน มิใช่ว่าพวกเราจงใจปกปิดการดำรงอยู่ของพวกเรา…หากแต่ทั้งหมดเป็นคำสั่งของเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้า…”
เฉินอี้หรูกล่าวตอบพลางยิ้มแหยๆ
“หือ? เผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้างั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “พวกมันเอาปัญญาที่ไหนมาห้ามเซียนอมตะเสเพลอย่างพวกเจ้า?”
“เพราะเท่าที่ข้ารู้มา….จะเผ่ามังกรหรือเผ่าหงส์ฟ้า ในภูมิภาคเบื้องบนแห่งนี้…พวกมันยังเป็นขุมพลังที่อ่อนด้อยกว่า 3 ลัทธิใหญ่ไม่ใช่รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนถามด้วยสงสัย
เพราะเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของสองเผ่าเก่าแก่ที่ดำรงอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามาช้านานแล้วเช่นกัน และยังนับเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่ไม่น้อย
เรียกว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าขุมพลังชั้น 1 เป็นเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม กระนั้นพวกมันก็ยังคงด้อยกว่า 3 ลัทธิ…
แล้วนี่เฉินอี้หรูเอาอะไรมาพูดกับเขา?
เฉินอี้หรูบอกว่า…
เผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้าสามารถ ‘สั่ง’ เซียนอมตะเสเพลได้?
ต้องทราบด้วยว่าในโลกที่ยึดถือพลังเป็นที่สุดและเคารพผู้เข้มแข็งเหนือสิ่งใดนั้น มีเพuยงต้องมีพลังเข้มแข็งเหนือล้ำเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามคำสั่งได้…
หาไม่แล้วผู้ใดจะไปทำตาม…
เจ้าเป็นตัวอะไร!?
และตอนนี้หากจะมองไปทั่วภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ที่สมควรมีพลังอำนาจมากที่สุดย่อมเป็น เหล่าตัวตนเซียนอมตะเสเพลอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
หากเหล่าเซียนอมตะเสเพลเปิดตัวออกมา และบอกว่าพวกมันทั้งหมดเป็นขุมพลังอันดับ 2 น่ากลัวว่าทั้งแดนดินคงไม่มีใครกล้ารับนามขุมพลังอันดับ 1!
ลำพังแค่เซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์ ก็ทรงพลังก้าวข้ามครึ่งก้าวเซียนอมตะไปแล้ว…
เซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์ยิ่งแล้วใหญ่ เกรงว่าหากคิดฆ่าครึ่งก้าวเซียนอมตะทั่วไปจริง ก็ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น…
นั่นเพราะเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์แล้ว พลังอำนาจมันมหาศาลถึงขั้นยามลงมือยังทำให้คววามว่างพังทลาย บังเกิดรอยแตกแยกฉีก…
พลังขนาดนี้ ไม่ใช่อะไรที่ครึ่งก้าวเซียนอมตะธรรมดาจะมีปัญญาต่อกร!
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์ 6 ทัณฑ์ 7 ทัณฑ์และ 8 ทัณฑ์เลย เอาแค่เซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์ ก็เป็นยิ่งกว่าฝันร้ายสำหรับครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว!!
แน่นอนว่าเหนือกวว่านั้นยังมีเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์อยู่อีก แต่เท่าที่ฟังมาตัวตนระดับนี้ยากนักจะปรากฏขึ้น ยังมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“นายท่าน เรื่องที่เผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าอ่อนด้อยกว่า 3 ลัทธิใหญ่นั้น…เป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้ความจริงกล่าวออก กระทั่งยังเป็นเรื่องที่เผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าจงใจให้ผู้คนทั้งแดนดินเชื่อกันไปแบบนั้นเอง”
เฉินอี้หรูกล่าวพลางคลี่ยิ้มแห้งๆ
“อันที่จริง…หากกวาดตามองไปทั่วแดนดินเทพยุทธ์เซียนเต๋าทั้งหมด ผู้ที่มีพลังอำนาจสูงสุดย่อมไม่พ้นเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้า!”
“ทั้ง 3 ลัทธิใหญ่นั่น…กล่าวกันในระดับหนึ่งแล้ว พวกมันไม่ต่างอันใดจาก ‘หุ่นเชิด’ ที่ถูกเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้าชักใยอยู่เบื้องหลังเลย”
เรื่องที่เฉินอี้หรูพูดออกมา ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนประตูสู่โลกใหม่กำลังอ้าเปิดตรงหน้าอีกครั้ง
“อะไรนะ? ทั้ง 3 ลัทธิใหญ่ เป็นแค่หุ่นเชิดของเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้างั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนหันกลับไปมองเฉินอี้หรูแทบไม่ทัน ตอนนี้เขารู้สึกอึ้งและตะลึงจริงๆ
ด้วยไม่เคยคิดคาดมาก่อน
ว่าไฉน 3 ลัทธิใหญ่ จะกลับกลายเป็นแค่หุ่นเชิดของเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้าไปได้!?
ไม่ใช่ว่าในประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็มีบันทึกเรื่องราววความบาดหมางระหว่าง 3 ลัทธิกับเผ่าพันธุ์มังกรและเผ่าพันธุ์หงส์ฟ้ามากมายหรือไร
“มิผิด แต่เป็นธรรมดาว่ากระทั่งตัว 3 ลัทธิใหญ่เองก็มิรู้ด้วยซ้ำว่าที่พวกมันยิ่งใหญ่กันขึ้นมาได้ เพราะพวกมันถูกชักไยโดยเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้าอยู่เบื้องหลัง”
เฉินอี้หรูกล่าว
และเมื่อเห็นว่ายิ่งมาต้วนหลิงเทียนยิ่งขมวดคิ้วยู่ย่น มันก็อธิบายสืบต่อ “ในช่วงแรกก่อตั้งนั้น 3 ลัทธิเรียกว่ามีสัมพันกับเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าไม่น้อย ทว่าหลังจากผ่านไป 10 ชั่วอายุคน ชนชั้นผู้นำรุ่นที่ 10 ก็ได้ตัดขาดกับเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าอย่างสมบูรณ์”
“แต่พวกมันไม่ได้รู้เลยว่า เส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่และอำนาจของพวกมันนั้น ที่แท้เป็นเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าลอบจัดแจงอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น…จนสุดท้ายทั้ง 3 ลัทธิก็ได้กลายเป็นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนดิน”
กล่าวถึงจุดนี้ เฉินอี้หรูก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง
“นายท่าน ตัวท่านที่สืบทอดนามหมอกพิรุณของ 7 ทวาราเที่ยงแท้มา ท่านเองก็คงจะได้รู้ประวัติของ 7 ทวาราเที่ยงแท้มาไม่น้อย…”
“รวมถึงเรื่องที่ในยุคสมัยหนึ่ง ที่ผู้สืบทอดหมอกพิรุณเป็นท่านผู้อาวุโสฟงชิงหยาง…และยุคสมัยนั้นด้วยพลังฝีมืออันเหนือล้ำของอาวุโสฟงชิงหยาง พวก 3 ลัทธิใหญ่ก็ทำได้แค่ร่วมมือกันเพื่อต้านทาน เอาตัวรอดไปอย่างทุลักทุเล…แต่ท่านไม่สงสัยหรือ ว่าไฉนสุดท้ายอาวุโสฟงชิงหยางถึงไม่ทำลายล้าง 3 ให้สิ้นซาก?”
“ต้องทราบด้วยว่า…พลังฝีมือของอาวุโสฟงชิงหยางยามนั้น ต่อให้ 3 ลัทธิจะร่วมมือกันให้ตาย พวกมันก็ไม่มีปัญญารอดพ้นจากหายนะล่มสลาย!”
กล่าวจบ แววตาของเฉินอี้หรูก็ฉายชัดออกมาถึงความยำเกรง!
ความยำเกรงในแววตาของเฉินอี้หรู แน่นอนว่ามีให้แก่ฟงชิงหยาง!!
“ก็ไม่ใช่ว่า…อาวุโสฟงชิงหยางไม่คิดจะกวาดล้างพวกมันรึไง…บ้างยังกล่าวว่าที่อาวุโสฟงชิงหยางละเว้นทั้ง 3 ลัทธิไว้ ก็เพื่อเคี่ยวกรำ 7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่นหลัง ด้วยกลัวว่าจะไม่มีคู่ต่อสู้?’
ต้วนหลิงเทียนกล่าว ‘ข้อมูล’ ที่เขาได้รู้มาจากเหลาอาหารในเมืองก่อนหน้าออกไป
สำหรับเรื่องที่เฉินอี้หรูพูดว่า เขาในฐานะผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ผู้นำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ จึงสมควรรู้ข้อมูลและความเป็นมาของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ดีนั้น…เป็นเฉินอี้หรูคิดไปเองทั้งนั้น!
แต่เรื่องนี้เขาไม่รู้จะพูดยังไง…
หรือจะให้เขาบอกเฉินอี้หรูว่า…
พอดีเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ ข้ายังไม่รู้เลยว่าข้ามีความสัมพันธ์กับ 7 ทวาราเที่ยงแท้ยังไง?
“นายท่านสิ่งที่ท่านรู้มา เป็นเพียง ‘ตำนานวีรบุรุษ’ ที่ผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเชื่อต่อๆกันมาเท่านั้น และทั้งหมดล้วนไม่เป็นความจริง”
เฉินอี้หรูกล่าวออกมาด้วยท่าทางราวกับรู้ทุกสิ่ง “ที่ไฉนในยามนั้นท่านผู้อาวุโสไม่ทำลาย 3 ลัทธิให้สิ้นซากถอนรากถอนโคนพวกมัน ไม่ใช่เพราะไม่อยากกระทำหากแต่กระทำมิได้! เนื่องจากเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ฟ้าได้สอดมือเข้ามาแทรกแซง!!”
“เพื่อป้องกันมิให้อาวุโสฟงชิงหยางทำลายหุ่นเชิดของพวกมัน เผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าจึงส่งตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพลออกมามากมาย…ในบรรดายอดฝีมือที่ออกไปทัดทานอาวุโสเซียนกระบี่ยามนั้น ไม่ขาดเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์หรือแม้กระทั่งเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์!”
ฟืด!
ได้ยินคำของเฉินอี้หรู ต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องหยุดหายใจ
เซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์?!