หลังจากรอเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เสี่ยวเฮยก็บินกลับมาพร้อมกับบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง และเขาก็คือองค์ชายสี่ฉีจวิ้นนั่นเอง
ฉีจวิ้นมีอายุเพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้นและมีความแข็งแกร่งที่บรรลุขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดซึ่งถือเป็นผู้ทรงพลังในอันดับต้น ๆ ของดินแดนหวนหลิง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและมีแววตาที่ใสชัด กอปรกับท่าทางนอบน้อม ทุกคนจึงรู้สึกถูกชะตากับเขาได้ง่าย ๆ
“คารวะท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง”
ฉีจวิ้นประกบกำปั้นทักทายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมกล่าวด้วยกิริยาท่าทางที่ไม่แสดงถึงความประจบประแจงหรือเย่อหยิ่งใด ๆ ซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกชื่นชมไม่น้อย
“สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เจ้าคงจะทราบแล้ว เจ้ามีความคิดเห็นอะไรกับการที่ข้าจัดการกับฉีเซิ่งและฉีเฉิงเช่นนั้นหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวเพื่อเป็นการลองเชิงดูว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าจะคู่ควรกับตำแหน่งจักรพรรดิอย่างที่คิดไว้หรือไม่
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ แม้ทั้งสองจะเป็นพี่ชายของข้า ทว่าพวกเขาก็ทำสิ่งที่ผิดมามากมาย การที่ท่านลงโทษให้บทเรียนกับพวกเขามิใช่เรื่องที่จะสามารถกล่าวโทษใครได้นอกเหนือจากตัวพวกเขาเอง ข้าเคยแนะนำและพยายามขัดขวางแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยฟัง เพราะฉะนั้นทางนี้คงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว”
ฉีจวิ้นกล่าวด้วยท่าทางที่สงบนิ่งใจเย็น
เขาไม่เคยชื่นชมพี่ชายทั้งสองเป็นทุนเดิมและทราบดีว่าพวกเขาต้องการสังหารตนให้สิ้นซาก หากมิใช่เพราะการคุ้มครองจากบรรพบุรุษหลายคนในตระกูลราชวงศ์ เกรงว่าองค์ชายสี่ฉีจวิ้นคงสิ้นชีพไปนานแล้ว
เดิมทีฉีจวิ้นตั้งใจจะออกจากที่นี่เพื่อเดินทางไปยังดินแดนระดับสูง ซึ่งเขาวางแผนไว้ว่าตราบใดที่ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพได้สำเร็จ เขาก็จะไปจากที่นี่ทันที
ไม่คาดคิดเลยว่าก่อนที่เขาจะได้ทำเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะปรากฏตัวและสะสางความวุ่นวายทั้งหมดเสียแล้ว ทั้งสองกำจัดคนจิตใจชั่วร้ายของตระกูลราชวงศ์ไปอย่างเผด็จการและช่วยให้เขาออกมาที่นี่ได้
ฉีจวิ้นเป็นคนชาญฉลาดและมีไหวพริบดีอยู่แล้ว เขาก็คาดเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขา ทว่าไม่รีบร้อนที่จะยืนยันความคิดดังกล่าวให้แน่ชัด
“ก็ดี อย่างน้อยเจ้าก็แยกแยะความผิดชอบชั่วดีได้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ และพึงพอใจกับคำตอบของฉีจวิ้น
หากฉีจวิ้นพยายามปกป้องการกระทำของพี่ชายทั้งสองทันทีที่เอ่ยปาก ฉินอวี้โม่คงจะต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดอีกครา ทว่าการที่ฉีจวิ้นแสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคนทั้งสองอย่างเปิดเผยเช่นนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจของเขา
“เจ้าต้องการจะดำรงตำแหน่งผู้ปกครองคนใหม่ของตระกูลราชวงศ์หรือไม่ ?”
นางเอ่ยถามความคิดเห็นของฉีจวิ้นออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม หากเขาไม่ต้องการรับมัน ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดที่จะบังคับฝืนใจ
“แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่ข้ายินดี อย่างไรก็ตาม ข้าก็ปรารถนาที่จะเดินทางไปที่ดินแดนระดับสูงเพื่อสั่งสมประสบการณ์มาตลอด หากหาผู้ที่เหมาะสมไม่ได้ ข้าก็จะรับตำแหน่งผู้นำเป็นการชั่วคราว ทว่าเมื่อความแข็งแกร่งของข้าบรรลุถึงขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุด เมื่อนั้นข้าจะเลือกทายาทตระกูลที่เหมาะสมอีกคนเพื่อส่งต่อตำแหน่งนี้และเดินทางไปที่ดินแดนระดับสูง”
ฉีจวิ้นไม่ปฏิเสธ ทว่าเปิดเผยแผนการในอนาคตของตนออกไป
การทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุดมิใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จภายในเวลาหนึ่งถึงสองปี ก่อนถึงตอนนั้น เขาก็สามารถจัดการดูแลตระกูลราชวงศ์และทำให้มั่นใจว่าตระกูลราชวงศ์จะไม่มีเรื่องบาดหมางกับผู้ใดอีก และก่อนที่เขาจะไปจากที่นี่ เขาก็จะเตรียมความพร้อมทุกอย่างและหาผู้ที่เหมาะสมเพื่อรับช่วงต่อตำแหน่งของตนเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ในอนาคตข้างหน้า องค์ชายสี่จะเป็นผู้นำคนใหม่ของตระกูลราชวงศ์และองค์จักรพรรดิของจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ข้าหวังว่าเจ้าจะปกครองประชากรทุกคนของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นอย่างดีและนำพาทุกคนไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะหาเรื่องขัดแย้งกันเองเหมือนอย่างฉีเซิ่ง”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมพยักศีรษะเบา ๆ ฉีจวิ้นเป็นคนมุ่งมั่นและหนักแน่นอย่างเห็นได้ชัด ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกมั่นใจในระดับหนึ่งว่าในอนาคตสักวันเขาจะต้องกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่น่าจับตามองอย่างแน่นอน
แรกเริ่มเดิมที ทุกคนคิดว่าฉินอวี้โม่จะแต่งตั้งคนของตระกูลฉินให้รับตำแหน่งจักรพรรดิองค์ใหม่ของจักรวรรดิไป๋อวิ๋น คิดไม่ถึงเลยว่าทุกคนจะคาดเดาผิดไปอย่างสิ้นเชิง การตัดสินใจเช่นนี้ของฉินอวี้โม่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่านางเป็นผู้ที่ไม่คิดฝักใฝ่ในอำนาจและรู้สึกประทับใจในตระกูลฉินมากยิ่งขึ้น
ในเวลานี้ สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่คนตระกูลฉินและค้นพบทันทีว่าเดิมทีผู้ที่มีความแข็งแกร่งที่ไม่ต่างจากพวกตนมากนัก ทว่าในตอนนี้ความแข็งแกร่งของพวกเขากลับเปลี่ยนแปลงไปจนเกินกว่าที่พวกตนจะมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ดูเหมือนว่าพลังความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้จะพัฒนาขึ้นมาอย่างกะทันหันซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันเป็นอย่างมาก
“เหตุใดความแข็งแกร่งของสมาชิกตระกูลฉินถึงได้พัฒนาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ?”
ใครคนหนึ่งอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
“จะต้องเป็นท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่และท่านจอมยุทธ์หานโม่ฉือที่พัฒนาความแข็งแกร่งให้กับคนตระกูลฉินอย่างแน่นอน ถึงแม้ตระกูลฉินในปัจจุบันนี้จะมิใช่ตระกูลที่ปกครองทั้งดินแดน ทว่าพวกเขาก็มีความแข็งแกร่งที่มากกว่าตระกูลราชวงศ์เสียอีก”
ใครอีกคนกล่าวว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลฉินในตอนนี้เหนือชั้นกว่าตระกูลราชวงศ์เสียอีก เรียกได้ว่าหากต้องการขึ้นเป็นขุมกำลังอันหนึ่งของดินแดนหวนหลิง ตระกูลฉินก็เพียงต้องกล่าวแสดงเจตจำนงออกมาเท่านั้น
ทุกคนในตระกูลฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใดและยังคงมีท่าทีเรียบเฉยใจเย็นซึ่งไม่แสดงถึงความเย่อหยิ่งหรือความคึกคะนองใด พวกเขาตระหนักดีว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกตนเพื่อให้ปกป้องตัวเองเท่านั้น มิใช่เพื่อให้ตระกูลฉินรังแกผู้อื่น แม้ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเหนือกว่าก่อนมาก พวกเขาก็จะวางตัวเช่นเดิมต่อไปและไม่มีทางทำให้เกียรติยศชื่อเสียงของตระกูลต้องเสื่อมเสีย
“ทุกคน หากในอนาคตพวกเจ้ามีโอกาสได้เดินทางไปที่ดินแดนระดับสูงแต่ละแห่ง พวกเจ้าก็สามารถตามหาขุมกำลังที่เราสร้างไว้ในที่เหล่านั้นได้เลยและเจ้าจะได้รับความช่วยเหลือตามเหมาะสม ความแข็งแกร่งของขุมกำลังที่เราก่อตั้งในดินแดนเหล่านั้นก็ทรงพลังมากทีเดียวและพวกเจ้าจะได้ข้อมูลหลังจากการสืบหาเพียงไม่นาน”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับทุกคนอีกครั้งซึ่งทำให้พวกเขาตื่นเต้นยิ่งขึ้น
ผู้คนจำนวนมากต้องการที่จะเดินทางไปที่ดินแดนระดับสูงเพื่อสั่งสมประสบการณ์มาตลอด เพียงแต่กังวลว่าพวกตนจะตกอยู่ในอันตรายหากเดินทางไปที่นั่น การรับรองจากฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจมากขึ้น หลายคนที่บรรลุขอบเขตจ้าวพิภพก่อนหน้านี้ก็ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายา ในขณะที่ผู้ที่อ่อนแอกว่าก็หมายมั่นที่จะพัฒนาตนอย่างขันแข็งเพื่อหาโอกาสไปที่นั่นเช่นกัน
“เอาล่ะ พวกเราคงต้องไปแล้ว !”
ปฏิกิริยาของทุกคนเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่คาดหวังไว้แล้ว ครานี้พวกนางมาที่นี่เพียงเพื่อตรวจดูสถานการณ์ต่าง ๆ และไม่คิดอยู่นานนัก สถานการณ์ปัจจุบันในดินแดนมหาเทพยังไม่คลี่คลายและจอมยุทธ์ปีศาจอาจจู่โจมได้ทุกเมื่อ เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่นานจนเกินไป
“พวกท่านทั้งสองจะกลับแล้วหรือขอรับ ?”
ทุกคนในตระกูลฉินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะรีบกลับกันเช่นนี้
“ใช่ เรายังมีสิ่งที่ต้องจัดการอีกมากในดินแดนระดับสูงและจะเสียเวลานานเกินไปไม่ได้ ไม่ต้องกังวล แม้เราจะอยู่ในดินแดนระดับสูงกว่า เราก็จะจับตาดูสถานการณ์ของดินแดนหวนหลิงอยู่เสมอ หากเกิดเรื่องอะไร เราจะรีบกลับมา”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวกับทุกคนเพื่อมิให้คนตระกูลฉินทั้งหมดกังวลจนเกินไป ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นการกำชับย้ำเตือนทุกคนได้อย่างชัดเจน หากคิดจะลงมือทำสิ่งใดในดินแดนหวนหลิง พวกเขาก็ต้องคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนว่าจะรับมือกับความเดือดดาลของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้หรือไม่
“เสี่ยวเยี่ย ไปกันเถอะ”
นางโบกมือให้กับฉินเสี่ยวเยี่ยและส่งเขาเข้าในคฤหาสน์เฟิงทันที
จากนั้นด้วยการตวัดมือของหานโม่ฉือ รอยแยกก็ปรากฏบนอากาศก่อนที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะหายวับไปต่อหน้าทุกคน
“แยกเปิดห้วงมิติ…ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าสุดท้ายแล้วความแข็งแกร่งของท่านจอมยุทธ์ทั้งสองบรรลุถึงขอบเขตใด…”
ทุกคนถอนหายใจไปตาม ๆ กัน ในตอนนี้พวกเขารู้สึกเคารพนับถือฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมากยิ่งขึ้นและมองทั้งสองราวกับเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนหวนหลิงไปแล้ว
“เราต้องหาทางฝึกฝนกันอย่างหนักและไปที่ดินแดนระดับสูงโดยเร็วที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นเราอาจมีโอกาสได้พบท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่และท่านจอมยุทธ์หานโม่ฉืออีกครา…”
ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของพวกเขาในเวลาเดียวกันและกระตุ้นให้บรรยากาศการฝึกยุทธ์ฝึกวิชาของทั่วทั้งดินแดนเข้มข้นขึ้นเป็นระยะหนึ่ง…
ในอีกฝั่งหนึ่ง ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว หานโม่ฉือก็กำลังพูดคุยกับฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัย เหตุใดฉีเฉิงจึงคิดว่านางตายไปแล้ว ?