ในอดีตฉีเฉิงได้รับข่าวโดยบังเอิญซึ่งระบุว่าฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ได้ตายไปแล้วและไม่เหลือแม้กระทั่งโครงกระดูก
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก ด้วยการที่เป็นบุคคลที่รักตัวกลัวตาย หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จึงไม่จำเป็นต้องใช้วิชาพิเศษใดในการทำให้ฉีเฉิงเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างที่ทราบ
ฉีเฉิงไม่ทราบตัวตนของผู้ที่ส่งข่าวมาให้ตนและทราบเพียงว่าข่าวการตายของฉินอวี้โม่มาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ อีกทั้งยังบอกให้พวกเขาเดินหน้ายึดครองอำนาจทั่วทั้งดินแดนหวนหลิงโดยที่ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก
และก็เป็นหลังจากที่ได้ทราบข่าวดังกล่าวที่ตระกูลราชวงศ์เริ่มใช้วิธีการที่ล้ำเส้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นขุมกำลังที่ไม่ประนีประนอมต่อตระกูลใหญ่ทั้งหมดในจักรวรรดิ
หากมิใช่เพราะยังมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง เกรงว่าตระกูลราชวงศ์คงเดินหน้ากวาดล้างตระกูลฉินไปนานแล้ว
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันทันทีเมื่อคาดเดาได้ลาง ๆ ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แม้ขุมกำลังอื่น ๆ ในดินแดนหวนหลิงจะแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนางอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากเกิดเรื่องร้ายในดินแดนหวนหลิง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็จะยังได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย และไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมกำลังใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้
“ฉีเซิ่งก็คงจะทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ทว่าเขาก็มีจิตใจที่หนักแน่นกว่าฉีเฉิงมากและไม่ยอมปริปากง่าย ๆ แน่ ข้าจะไม่เสียเวลาสอบสวนเขาและใช้วิชาทะลวงจิตเพื่อหาคำตอบโดยตรง”
หานโม่ฉือกล่าวอย่างสบาย ๆ และคาดว่าฉีเซิ่งจะต้องทราบข้อมูลมากกว่าฉีเฉิงอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังไม่สอบสวนข้อมูลจากเขาเท่านั้น
เวลานี้ ฉีเซิ่งก็ถูกจับตัวมาไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวและถูกขังอยู่ในคุกของพระราชวัง ตราบใดที่หานโม่ฉือใช้วิชาทะลวงจิต เขาไม่มีทางซ่อนความจริงเกี่ยวกับทุกอย่างที่ทราบได้อย่างแน่นอน
ทั้งสองไม่รอช้าและมุ่งหน้าไปหาฉีเซิ่งทันที จากนั้นหานโม่ฉือก็ใช้วิชาทะลวงจิตโดยไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสตอบสนอง
ภายใต้อิทธิพลของวิชาทะลวงจิต ในที่สุดฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ได้ทราบข้อมูลทั้งหมดที่ฉีเซิ่งทราบ
สิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เป็นฝีมือของจอมยุทธ์ปีศาจ หากแต่เป็นฝีมือของศัตรูเก่าแก่ของพวกนางในดินแดนเทพมายาซึ่งก็คือฝ่ายมาร
หลายสิบปีหลังจากที่ฉินอวี้โม่ออกจากดินแดนหวนหลิง พวกเขาเหล่านั้นก็ได้ส่งข่าวมาว่านางและคนอื่น ๆ เสียชีวิตไปแล้ว
ในตอนแรกฉีเซิ่งเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปหลายปีซึ่งฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็นแม้แต่เงา เขาจึงปักใจเชื่อข่าวเหล่านั้นในที่สุด
หากทราบมาก่อนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงไม่กล้าแม้แต่จะคิดโจมตีตระกูลฉินอย่างแน่นอน
“เหอะ ท่านลุงฉีมอบตำแหน่งผู้นำของตระกูลราชวงศ์ให้กับเจ้าเพราะต้องการให้เจ้าปกครองดินแดนไปในทางที่ดี ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตอบแทนความไว้วางใจของเขาเช่นนี้ !”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชาและแสดงถึงความชิงชังต่อฉีเซิ่งอย่างที่สุด
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”
สีหน้าของฉีเซิ่งซีดเผือดและอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างไม่หยุดหย่อน เดิมทีเขาคิดว่าจะใช้ข้อมูลที่มีเพื่อเป็นใบเบิกทางในการเอาตัวรอด ไม่คิดเลยว่าหานโม่ฉือจะใช้วิชาทะลวงจิตโดยตรงเช่นนี้และทำให้เขาไม่มีอำนาจต่อรองสิ่งใดได้อีก
หากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาก็ทำได้เพียงอ้อนวอนขอความเมตตาเท่านั้น
“ไม่ต้องกังวล เราไม่ได้คิดที่จะฆ่าเจ้า เจ้าเป็นคนที่ท่านลุงฉินไว้วางใจและมอบหมายจักรวรรดิให้ดูแล แน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนจัดการกับเจ้าด้วยตัวเอง รออยู่ที่นี่และดื่มด่ำกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตไปก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและจับมือหานโม่ฉือก่อนเดินออกไปจากคุกใต้ดิน
เดิมทีทั้งสองวางแผนที่จะแวะไปที่ดินแดนเทพมายาเป็นการชั่วคราว ทว่าทันทีที่ออกจากดินแดนหวนหลิง พวกนางก็ได้รับข่าวจากอวิ๋นซื่อเทียนซึ่งบอกให้รีบกลับไปโดยเร็วที่สุด
หลังจากตัดความคิดที่จะไปเยี่ยมเยือนดินแดนเก่าแก่ ทั้งสองก็มุ่งหน้าตรงไปยังดินแดนมหาเทพทันที
ทันทีที่มาถึงนิกายหมื่นบุปผา ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเปลี่ยนแปลงของทุกคนทันที ไม่คิดเลยว่าแม้จากไปเพียงสามวัน บรรยากาศของขุมกำลังจะกลายเป็นตึงเครียดเช่นนี้
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ศิษย์น้องโม่ฉือ พวกเจ้ากลับมาแล้ว…”
ศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาคนหนึ่งมองเห็นทั้งสองและปรี่เข้ามาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที
“ท่านจ้าวนิกายและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กำลังรออยู่ในโถงห้องประชุม พวกเจ้าทั้งสองรีบไปที่นั่นเถอะ”
นางกล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทันที
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับและตรงไปที่ห้องโถงของนิกายหมื่นบุปผาทันที
ภายในโถงประชุม ฮวาเยว่และบุคคลระดับสูงคนอื่น ๆ ของนิกายหมื่นบุปผาล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อหารือเรื่องวิธีการรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกลับมา ทุกคนก็หยุดหารือเป็นการชั่วคราว
“นั่งก่อนเถอะ”
ฮวาเยว่กล่าวเพื่อให้ทั้งสองนั่งลงในตำแหน่งที่สงวนไว้ด้านหน้าก่อนกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว “เมื่อสองวันก่อน จู่ ๆ จอมยุทธ์ปีศาจก็เคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน แม้แต่มังกรกระดูกดำและฮวาฟางเฟยก็เคลื่อนไหวออกมาเช่นกัน ตอนนี้สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจต่างก็เดินทางออกจากฐานทัพของพวกเขาและประจำการอยู่ที่ชายฝั่งแห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาวางแผนที่จะโจมตีเราในเวลาอันใกล้นี้”
นางเริ่มจากเล่าถึงสถานการณ์ของดินแดนที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองได้ทราบ
เมื่อสองวันก่อน จู่ ๆ จอมยุทธ์ปีศาจที่นิ่งเงียบไร้การเคลื่อนไหวมานานก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ทุกคนนอกเหนือจากเสียอวิ๋นเดินทางไปที่ชายฝั่งใกล้กับฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจและประจำการอยู่ที่นั่น ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีบุคคลระดับสูงหลายคนของจอมยุทธ์ปีศาจ รวมถึงคนของดินแดนมหาเทพที่ยอมจำนนต่อพวกเขาก่อนหน้านี้
แม้พวกเขายังไม่ลงมือโจมตีก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะโจมตีดินแดนมหาเทพ ตอนนี้ขุมกำลังใหญ่ทั้งหมดก็ได้รับข่าวจากฟู่ชางแล้วและกำลังวางแผนรับมือกัน
“สถานที่ที่จอมยุทธ์ปีศาจประจำการอยู่ตอนนี้อยู่ห่างจากเมืองอู๋อั้นไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้ จ้าวสำนักฟู่ชางต้องการให้เราไปที่เมืองแห่งนั้นก่อนและจะหารือการรับมือต่อไป”
นี่มิใช่สาส์นโดยตรงจากฟู่ชาง ทว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนหารือและคิดเห็นตรงกัน
ความแข็งแกร่งภายนอกของจอมยุทธ์ปีศาจไม่แตกต่างไปจากดินแดนมหาเทพมากนักโดยที่ฝ่ายดินแดนมหาเทพได้เปรียบเหนือกว่าเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากรอให้ฝ่ายจอมยุทธ์ปีศาจได้ดำเนินตามแผนการสมคบคิด พวกเขาจะต้องตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงควรร่วมมือกันเพื่อเปิดฉากโจมตีโดยตรง
“ถ้าเช่นนั้นเราไปที่เมืองอู๋อั้นกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตัดสินใจเดินทางไปที่เมืองอู๋อั้นก่อน
ตอนนี้เสียอวิ๋นยังไม่ปรากฏตัวและเชื่อว่าจอมยุทธ์ปีศาจน่าจะยังไม่เดินหน้าโจมตีในตอนนี้ พวกนางสามารถเดินทางไปที่นั่นก่อนและสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับแผนการของฝ่ายตรงข้าม
ทุกคนไม่คัดค้านและมีความคิดเห็นตรงกัน นอกเหนือจากไม่กี่คนที่คอยคุ้มกันอยู่ในนิกาย คนอื่น ๆ เกือบทั้งหมดก็จะเดินทางไปที่เมืองอู๋อั้นด้วยกัน
ทุกคนคาดเดาในใจได้ลาง ๆ แล้วว่าสงครามครานี้น่าจะเป็นสงครามชี้ชะตาซึ่งตัดสินผลลัพธ์ทั้งหมด ในระหว่างดินแดนมหาเทพและจอมยุทธ์ปีศาจ มีเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่จะดำรงอยู่ต่อไปได้และปัญหาในอนาคตก็จะหมดไป
เมืองอู๋อั้นในเวลานี้คึกคักและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง การรวมตัวกันของขุมกำลังใหญ่มากมายได้เสริมประชากรของเมืองใกล้ชายฝั่งที่มีขนาดเล็กแห่งนี้ได้เป็นอย่างมาก
ครานี้ขุมกำลังจำนวนมากของดินแดนมหาเทพจะเดินทางมารวมตัวกันที่นี่ รวมถึงตระกูลราชวงศ์และสามสำนักและเก้านิกายที่เหลือ เรียกได้ว่าการรวมตัวในครานี้เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ที่สุด
สำนักเมฆาครามและตระกูลราชวงศ์เป็นสองขุมกำลังแรกที่มาถึงที่นี่ เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาถึง ขุมกำลังทั้งหมดก็ใกล้ที่จะมากันครบแล้ว
เจ้าเมืองของเมืองอู๋อั้นก็มาเฝ้ารอขุมกำลังต่าง ๆ อยู่หน้าประตูเมืองเช่นกัน เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่มาถึง เขาก็ต้อนรับพวกนางอย่างอบอุ่น
“ฮ่า ๆ ๆ ยินดีต้อนรับท่านจอมยุทธ์ขอรับ”
อู๋จื้อหย่ง—เจ้าเมืองอู๋อั้นเป็นบุรุษวัยกลางคนที่ดูจิตใจดีและเป็นมิตร เขามีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดและจัดเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งของดินแดนมหาเทพ
อู๋จื้อหย่งได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือผู้โด่งดังมานานแล้ว แม้ตนจะเป็นคนกว้างขวางพอสมควร แต่ก็ยังประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้พบหน้าผู้ที่โด่งดังเป็นจุดสนใจของทั้งดินแดนมหาเทพ
“เจ้าเมืองอู๋ไม่ต้องสุภาพกับพวกเราหรอกเจ้าค่ะ โปรดนำทางเราไปที่จวนเจ้าเมืองก่อนเถิด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับอู๋จื้อหย่งและกล่าวเพื่อให้เขานำทางพวกตนไปที่จวนเจ้าเมือง