ในมิติปีศาจที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด
ชั้นอากาศเต็มไปด้วยรัศมีน่าขนลุกพร้อมกับการกัดกร่อนบนชั้นดิน
หลินต้งและเซียวเหยียนยืนอยู่บนภูเขาสองมือไพล่หลัง ขณะที่มองสภาพแวดล้อมโดยรอบ คิ้วของพวกเขาขมวดแน่น ที่ปลายขอบฟ้าสามารถมองเห็นร่างแสงนับไม่ถ้วน พวกเขาคือกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพซึ่งกำลังค้นหาร่องรอยของจักรวรรดิปีศาจอยู่
ตั้งแต่ประกาศสงครามนี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว
ช่วงครึ่งปีสงครามไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง เพราะเมื่อกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพเข้ามาพื้นที่ทั้งหมดก็ว่างเปล่า
ขณะที่กวาดล้างก็พบปีศาจหลงเหลืออยู่บางส่วน แต่ทันทีที่เกิดการปะทะก็จะถูกล้างบางโดยจอมยุทธ์มหาพันภพ ไม่รอให้สร้างความวุ่นวายใดๆ…
“ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้ง… เราได้ข้อมูลจากเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ว่าพวกมันถอยกลับไปยังพิภพเขตล่างแล้ว…” ฉิงเทียนปรากฏตัวที่ด้านหลังทั้งสอง
“ซ่อนตัวจริงๆ ด้วย”
เซียวเหยียนถอนหายใจ เทพปีศาจจักรพรรดิยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เนื่องจากต้องฟื้นตัว ทว่าพวกเขาไม่ได้มีข้อกังวลในเรื่องนี้ ดังนั้นเวลานี้ฝ่ายสมาพันธ์มหาพันภพได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เผ่าปีศาจทั้งหลายก็ตัดสินใจที่จะซ่อนตัว
“ในเมื่อพวกมันอยู่ในรู เราก็จะขุดออกทีละตัว!” เสียงเหี้ยมหาญของหลินต้งดังก้องอย่างเย็นชา เผ่าปีศาจทรงพลัง แม้ว่าพวกมันจะซ่อนตัวอยู่ในพิภพเขตล่าง แต่ก็ยังกำจายความผันผวนแปลกประหลาด ดังนั้นด้วยการตรวจจับที่แม่นยำก็สามารถค้นหาได้
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เผ่าปีศาจอยู่อย่างสงบสุขและให้เทพปีศาจเข้าสู่สมาธิได้
“ตกลง!”
ฉิงเทียนพยักหน้าพร้อมกับไอสังหารกะพริบในนัยน์ตาก่อนจะหันกลับ กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพมาด้วยความกล้าที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิต ตอนแรกคิดว่าจะมีการต่อสู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีใครคิดว่ากลับไม่พบอะไรเลย
ฉิงเทียนมุ่งหน้าไปแล้ว หลินต้งและเซียวเหยียนก็แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความเคร่งขรึมในสายตาของกันและกัน พวกเขารู้ดีว่าหากเทพปีศาจต้องการซ่อนตัวจริงๆ ก็จะเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะค้นหาอีกฝ่ายผ่านพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วน
ทุกวันที่ผ่านไปเทพปีศาจจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุดก็จะฟื้นตัวเต็มที่
“ไม่รู้ว่าตอนนี้มู่เฉินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
พวกเขาหันไปมองทางมหาพันภพพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด
“หวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จ มิฉะนั้นมหาพันภพจะไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยในอีกห้าปีข้างหน้า…”
ควับ ควับ**!**
พายุทอร์นาโดหลิงกวนตัวอยู่ในส่วนลึกของพื้นดิน การขยายตัวทุกครั้งทำให้ดินแดนวั้นมู่ฉีกออกเป็นชิ้นๆ…
ที่ใจกลางของพายุทอร์นาโดร่างเงาสองร่างนั่งหันหน้าเข้าหากันคล้ายกับก้อนหิน
มือของพวกเขาประสานเข้าด้วยกัน คลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ไหลออกมาไม่มีที่สิ้นสุดและคำรามอยู่ภายในร่างกายของมู่เฉิน ฉีกทึ้งร่างของเขาออกจากกัน ขณะเดียวกันก็ซ่อมแซมตัวเองอย่างต่อเนื่อง
เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทว่าใบหน้าของมู่เฉินก็ไม่มีริ้วอารมณ์ใด นั่นเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับความเจ็บปวดนี้มาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา
เนื่องจากเขาชินจึงรู้สึกด้านชาโดยธรรมชาติ
ปู้สื่อนั่งบนเสาที่ไกลออกไปขณะมองมู่เฉิน “ขั้นเซียนระยะปลายแล้ว…”
เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของพลังงานที่เอิบอาบออกมาจากร่างกายของมู่เฉินมาถึงขอบเขตขั้นเซียนระยะปลายเรียบร้อยแล้ว
“ค่อนข้างช้านะ…”
ปู้สื่อพึมพำ ถ้านับตามเวลาปกติถือว่ารวดเร็วสำหรับผู้ฝึกที่ไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายได้ภายในหกเดือน แต่ตอนนี้มู่เฉินกำลังรับมรดกของเทพจักรพรรดินิรันดร์ ความเร็วนี้ไม่สามารถคำนวณได้ตามปกติ
นอกจากนี้ปู้สื่อยังสามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อมาถึงขั้นเซียนระยะปลาย การเสริมสร้างพลังของมู่เฉินก็ชะลอตัวลงเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่เพราะคลื่นหลิงไม่เพียงพอ แต่มู่เฉินจงใจยับยั้งไว้
“คลื่นลูกใหม่กลบคลื่นลูกเก่าอย่างแท้จริง มิน่าล่ะถึงก้าวมาสู่ขั้นนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์” ปู้สื่อพึมพำเนื่องจากตระหนักได้ว่ามู่เฉินกำลังตั้งใจทำอะไร
มู่เฉินกำลังยับยั้งการเสริมสร้างคลื่นพลัง เนื่องจากรากฐานจะไม่มั่นคงหากแข็งแกร่งขึ้นเร็วเกินไปแม้ว่าคลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์จะสูญเสียความตั้งใจและง่ายต่อการดูดซับก็ตาม
แต่พลังก็ทรงศักยภาพเกินไป ถ้าเขาดูดซับอย่างไม่เกรงกลัวก็จะสั่นคลอนรากฐานของตนเอง
ดังนั้นเขาจึงพยายามยับยั้งการดูดซึมและสร้างความชินกับพลังตนเอง แต่การทำแบบนี้เขาจะต้องเจ็บปวดมากกว่าเดิม…
ขนาดเผชิญกับโอกาสที่จะแข็งแกร่งเร็วขึ้น มู่เฉินยังมีจิตใจสงบและฝึกฝนด้วยความยับยั้งชั่งใจ ทำให้ปู้สื่อมองไปด้วยความชื่นชม
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทั้งหลินต้งและเซียวเหยียนถึงมีความเห็นที่ดีกับชายหนุ่มคนนี้ยิ่งนัก
แต่แม้ว่าการฝึกฝนของมู่เฉินจะเพิ่มขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ได้ฝึกฝนในสิ่งที่เรียกว่าขั้นสามพิสุทธิ์ของวิชาสามพิสุทธิ์
สิ่งนี้ทำให้ปู้สื่อค่อนข้างกังวล เนื่องจากท้ายที่สุดมู่เฉินจะต้องพึ่งพาวิชานี้เพื่อก้าวไปบนทำเนียบเหนือภพ ถ้าไม่บรรลุสิ่งนี้ แม้ว่าด้วยพรสวรรค์ของมู่เฉิน เขาก็ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะลงนามบนทำเนียบเหนือภพได้
แต่ในขณะนี้เขาไม่มีเวลาแล้ว
ดังนั้นมู่เฉินต้องสำเร็จขั้นสามพิสุทธิ์เท่านั้น เขาถึงจะมีคุณสมบัติในการลงนามบนทำเนียบเหนือภพ
ในทางกลับกันโอกาสนี้ไม่มีอะไรเลย แม้ว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ตาม
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกปีครึ่ง
นั่นหมายความว่าเป็นเวลาสองปีแล้วที่เกิดสงครามในดินแดนวั้นมู่
ตู้ม ตู้ม!
พิภพเขตล่างแห่งหนึ่งกำลังถูกทำลาย ทั้งมิติแตกสลาย ริ้วแสงนับไม่ถ้วนทะยานออกมาปะทะกับเหล่าปีศาจ
ขณะเดียวกันหลินต้งและเซียวเหยียนที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็ยื่นมือออกมาโอบประคองไปเพื่อทำให้พิภพนี้มีเสถียรภาพขึ้น เพราะพิภพล่างเสี่ยงที่จะล่มสลายไปเมื่อจอมยุทธ์ทรงพลังนับไม่ถ้วนแห่กันเข้าไป
พิภพเขตล่างแห่งนี้ถูกยึดครองโดยหนึ่งในสามสิบสองเผ่าใหญ่แห่งจักรวรรดิปีศาจ—เผ่าเตาหมัว ตอนแรกเหล่าปีศาจก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่ดันถูกเทพจักรพรรดิทั้งสองค้นพบเข้า กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพจึงเปิดการโจมตีไม่ยั้ง
ตู้ม!
ในระยะไกลใบมีดแหลมคมฉีกฟ้าดินออกจากกัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ยังไม่กล้าประมาท
ฮึ่ม!
แสงกระบี่เปล่งประกาย กวาดผ่านขอบฟ้าในระยะหลายแสนจั้งปะทะเข้ากับใบมีดแหลมคมนั้น
ชี่ ชี่!
เสียงแสบหูดังก้องออกมาขณะที่มิติแถบนั้นยุบลงเรื่อยๆ ลำแสงสีฟ้าอมเขียวพุ่งออกมาปรากฏที่เบื้องหน้าปีศาจร่างหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายร่างหยุดชะงักไป
เมื่อลำแสงสีฟ้าอมเขียวรวมตัวกันชิงซันก็เผยตัวออกมาพร้อมกับเก็บกระบี่สีเขียวยาวในมือเข้าฝัก
ชี่!
ที่ข้างหลังร่างปีศาจแข็งแกร่งแตกสลายอย่างช้าๆ นี่ก็คือประมุขเผ่าเตาหมัว—จอมปีศาจจ่านเทียน ทว่ายามนี้เขามองไปที่กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม แผดเสียงโหดร้ายขึ้น “เมื่อท่านเทพปีศาจฟื้นพลัง มหาพันภพของพวกแกก็จงเตรียมต้อนรับการทำลายล้าง!”
ปัง!
ร่างปีศาจระเบิดออกพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรงกวาดเข้าหากองทัพจอมยุทธ์บ้าคลั่ง
ฟู่ ฟู่!
แต่ในเวลาเดียวกันเปลวไฟก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า แผดเผารัศมีปีศาจเชี่ยวกรากสิ้นซาก
คนที่เคลื่อนไหวก็คือเซียวเหยียน สายตาเขามองไปที่เผ่าเตาหมัวที่พ่ายแพ้โดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ในแววตา เขารู้ว่าตั้งแต่วันนี้สามสิบสองเผ่าใหญ่จะหายไปอีกเผ่า
ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา พวกเขากวาดล้างไปหกเผ่าใหญ่แล้ว
แต่พวกเขายังไม่ค้นพบร่องรอยของเทพปีศาจจักรพรรดิ
หลินต้งและเซียวเหยียนมองไปที่ท้องฟ้าด้วยสายตาเฉียบคม
ไอ้เทพปีศาจจักรพรรดิ แกซ่อนตัวอยู่ที่ไหน… แม้แต่การทำลายล้างเช่นนี้ก็ไม่สามารถบีบแกออกมาได้รึ?
มิตินี้มืดมิดไร้แสงใดแทรกซึมเข้ามา
นี่คือวังปีศาจที่ลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ภายในวังจอมปีศาจเซิ่งเทียนลืมตาโพลงมองไปที่ใจกลางวัง ป้ายปีศาจป้ายหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเส้นชีวิตของจอมปีศาจจ่านเทียน
และการที่ป้ายแตกสลาย นั่นก็หมายความว่าจอมปีศาจจ่านเทียนดับสูญไปตลอดกาลแล้ว
“ไอ้เทพจักรพรรดิอัคคี ไอ้เทพจักรพรรดิสงครามโหดจริงๆ”
จอมปีศาจเซิ่งเทียนพึมพำเสียงเรียบเฉย ในแววตาไม่มีความสงสาร เนื่องจากที่พวกเขาเลือกถอยชั่วคราวก็เพื่อที่จะตอบโต้แบบดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้น
จอมปีศาจเซิ่งเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่ส่วนลึกของโลกใบนี้ รัศมีปีศาจรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่ในทิศทางนั้นราวกับว่ากำลังก่อเกิดบางสิ่งที่น่ากลัว
เขายิ้มเบา ดวงตากะพริบด้วยแสงดุร้าย
“ไอ้สองเทพจักรพรรดิอย่าได้ตีปีกไป ในไม่ช้า… เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนจะถูกฆ่าต่อหน้าพวกแก…”
ณ ดินแดนวั้นมู่
ครืน!
แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไปและกระจายไปทั่วทุกมุม
ปู้สื่อที่นั่งอยู่บนเสาก็ลืมตาขึ้นจ้องไปที่แท่นบูชา ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉินในตอนนี้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว!
บนแท่นบูชาดวงตาของมู่เฉินที่ปิดสนิทมาสองปีเปิดออก เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งภายในร่างกาย ริ้วแสงก็พุ่งออกมาจากดวงตา
ยามนี้เขาสูดหายใจเข้าลึกทำให้หัวใจสงบลง นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสามพิสุทธิ์!