ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 1051 ถ้ายังไม่แต่งงานอีก ก็คงจะไม่ได้ใส่ชุดเจ้าสาวแล้ว
“แต่ว่า……แต่ว่าผู้บัญชาการขุนนายได้เห็นรูปภาพแล้ว ในขณะที่ใจลอย ลูกกระสุนของฝ่ายตรงข้าม……ก็ยิงเข้ามาแล้ว”
ดิลกพูดมาถึงประโยคสุดท้ายนี้ เบื้องหน้าก็มองเห็นภาพที่บาดใจอีกครั้ง แม้แต่เสียงของเขายังยากที่พูดออกมาแล้ว
ตอนนั้นขุนนายล้มลงไปต่อหน้าเขาแบบนี้จริงๆ
เขาหยิบรูปรูปนั้นออกมา อีกทั้งยังไม่ทันได้พูดอะไร คนก็ได้ล้มลงต่อหน้าของเขาแล้ว
หลังจากนั้น รอให้ดิลกเหมือนตกใจตื่นมาจากความฝัน เขาที่ล้มลงอยู่ที่พื้นสติสัมปชัญญะเริ่มจะลดน้อยลงแล้ว
“หลังจากนั้น เขาที่ร่างสั่นเทาได้หยิบเอาเหรียญเกียรติยศเปื้อนเลือดออกมาจากร่างกาย ให้ผมเอาให้ภารานิน เขาพูดว่า ให้ภารานินแม่ลูกถือเอาสิ่งนี้ไปหาคุณ แต่ว่า สุดท้ายพวกเราไม่สามารถทำได้ เพราะว่า……ภารานินเธอได้รับข่าวว่าเขาไม่อยู่แล้ว แม้แต่ลูกก็ยังไม่ได้คลอดออกมา ก็เสียสติแล้ว……”
“……”
ในสวนสนุกแห่งนี้ เหมือนกับว่าเสียงต่างๆได้หายไปแล้ว
เหมือนกับว่าถูกกดปุ่มหยุดเอาไว้ ทั้งที่เมื่อสักครู่สถานที่แห่งนี้ยังครื้นเครง แต่ว่าวินาทีนี้ ไชยันต์นั่งอยู่ที่นั่น ใบหูทั้งสองไม่ได้ยินอะไรเลย
สิ่งเดียวที่ดังก้องอยู่ มีเพียงประโยคเดียว:ให้พวกเขาแม่ลูกนำเอาสิ่งนี้ไปหาไชยันต์
ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้น?
หรือว่า เพราะว่าลูกชายของเขาคนนี้ ความจริงแล้วไม่เคยสงสัยมาก่อนเลยว่า ว่าเขาจะลงมือฆ่าเขา?
ในดวงตาวัยชราอันขาวขุ่นของไชยันต์ ในที่สุด ก็แดงขึ้นมาน้ำตาค่อยๆไหลออกมาแล้ว
“คุณท่าน?”
ดิลกที่อยู่ด้านข้างได้เห็นแล้ว ตกใจเป็นอย่างมาก
แต่ว่า คุณท่านคนนี้โบกมือไปมา แสดงออกว่าเขาไม่ต้องพูดอะไร
“ความจริงผมรู้ ขุนนายในตอนที่เป็นทหารกองทัพบก มีคนมากมายอยากจะฆ่าเขา เพียงแค่ผมคิดไม่ถึงว่า สุดท้าย ผมจะกลายเป็นคนที่ช่วยผลักดัน”
“หา?”
ดิลกได้ฟังแล้วก็นิ่งไป วินาทีแรก ยังคิดตามไม่ทัน
“คุณท่าน คำพูดนี้ของคุณ?”
“คุณดูสิ พวกเขาสามคนเล่นกันอย่างมีความสุข” ชายชราที่น้ำตาคลอเบ้า ทันใดก็ชี้ไปยังร่างเล็กๆที่เล่นอยู่ในสวนสนุกอย่างมีความสุข
ดิลกมองตามที่เขาชี้ไป
ไม่นาน ก็อึ้งไปแล้ว
“เมื่อก่อน ผมกระตือรือร้นอยากจะประสบความสำเร็จมากเกินไป ชอบรู้สึกว่าอยากให้ลูกๆหลานๆของตัวเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ ถึงจะดีที่สุด แต่ตอนนี้มองดูแล้ว ชีวิตที่เรียบง่าย ถึงจะมีความสุขที่สุด”
“ดังนั้น ความหมายของคุณคือ……?”
“เขาอยู่ที่ตระกูลหิรัญชาก็ดีแล้ว”
ในที่สุดไชยันต์ก็พูดประโยคสุดท้ายของตัวเองออกมา
ดิลกถึงได้วางใจลงได้:“ความจริงแล้วต่างเหมือนกัน ตระกูลหิรัญชาก็ดี ตระกูลเทวเทพก็ดี ต่างก็เป็นหลานของคุณไม่ใช่เหรอ? ที่นี่เป็นบ้านของเขา เมืองหลวงด้านโน้นก็ใช่เช่นกัน”
“อืม……”
ไชยันต์ ก็ยิ้มออกมาแล้ว
ในคืนนี้ แสนรักกับเส้นหมี่ทั้งสองคนกลับมาแล้ว ไชยันต์ได้ออกไปแล้ว อีกทั้ง เขายังพากองกำลังรักษาความปลอดภัยที่เคยให้เฝ้าอยู่ที่นี่กลับไปด้วย
“คุณชายเล็ก คุณท่านพูดแล้วว่า คณาธิปกำลังป่วยอยู่ หิรัญชากรุ๊ปต้องการคนจัดการดูแล ให้คุณอยู่ที่นี่บริหารหิรัญชากรุ๊ปอย่างไม่ต้องเป็นกังวล โรงถลุงแร่ของตระกูลเทวเทพด้านโน้น เขาจะให้คุณชายม็อกโกไปตรวจสอบ”
“ม็อกโก? ไม่ใช่ว่าเขากำลังตรวจสอบคดีลักลอบขนอาวุธอยู่เหรอ?”
แสนรักเกิดความสงสัยนิดหน่อย เขาไม่ชอบวิธีการแบบนี้เลยไม่พูดอะไรกับเขาสักคำแล้วก็นำเรื่องแบกหนีไปแล้ว
แต่ว่ารองผู้นำคนนี้ก็ยังคงยืนยันว่าไม่มีการปล่อยปละละเลย
“ใช่ แต่ว่าคุณท่านไม่ให้เขาตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว การตรวจสอบคดีนี้ เป็นไปได้ว่าต้องใช้ความทุ่มเทอย่างมาก ก่อนหน้านี้ คุณชายเล็กไม่ใช่ว่าคุณเคยพูดว่าตระกูลเทวเทพของพวกเราต้องผ่อนปรนลงบ้างเหรอ? ดังนั้น ความหมายของคุณท่าน ก็คือไม่ให้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้แล้ว กลับบ้านไปตรวจสอบเรื่องในบ้านจะดีกว่า บวกกับไวท์ พาเลซมีการเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ เขาที่เป็นคนรับช่วงต่อของตระกูลเทวเทพ ก็ต้องไปจัดฐานรองรับด้วย”
“……”
คำพูดนี้พูดออกมาขนาดนี้แล้ว แสนรักก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
จากนั้นสุดท้ายทำได้เพียงบอกกล่าวหนึ่งประโยค:“โอเค ผมเข้าใจแล้ว งั้นพวกคุณกลับไปมีเรื่องอะไรก็ติดต่อผมละกัน”
“ครับ คุณชายเล็ก”
รองผู้นำเดชาเผยรอยยิ้มออกมา รับปากออกมาอย่างง่ายดาย
เขาชอบลักษณะท่าทางของคุณชายเล็กท่านนี้จริงๆ ถึงแม้ว่าในน้ำเสียงของเขาจะเต็มไม่ด้วยความหงุดหงิด แต่ว่า ตระกูลเทวเทพต้องการเพียงประโยคนี้ก็เพียงพอแล้ว
รองผู้นำเดชากลับเมืองหลวงไปตอนกลางดึกเลย
ทว่าแสนรัก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เหตุเพราะว่าคณาธิปยังไม่กลับมา ก็กลับมาที่หิรัญชากรุ๊ป ขึ้นมากุมอำนาจอีกครั้ง
หลังจากนั้นครึ่งปี
ในฤดูกาลใบไม้ผลิที่ดอกไม้เบ่งบาน เด็กน้อยทั้งสามของตระกูลหิรัญชาก็ได้อยู่ชั้น ป.2 ของเทอมสองแล้ว โตขึ้นมามากแล้ว
เส้นหมี่เองก็มีงานของตัวเอง เธอกลับมาที่หิรัญชากรุ๊ปอีกครั้ง ภายใต้ความถนัดของเธอ ได้นำพาเพื่อนร่วมงานแผนกปฏิบัติการลงทุนต่อ ทุกวันต่างทำได้เป็นอย่างดี
“คุณภรรยา ใกล้จะเลิกงานแล้ว จะขึ้นไปทำกับข้าวตอนไหน?”
“มาแล้ว มาแล้ว”
วันนี้ตอนเที่ยง เธอกำลังขะมักเขม้นทำโครงการโครงการหนึ่งอยู่บนโต๊ะทำงานแม้แต่เวลาดื่มน้ำยังไม่มี โทรศัพท์บ้านที่อยู่บนโต๊ะก็มีคนโทรมาแล้ว
เสียงที่ดังมาเป็นเสียงทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งที่แฝงไปด้วยความน้อยใจ
เส้นหมี่จึงทำได้เพียงนำเอางานที่อยู่ในมือวางลง หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นไปแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่า ในห้องพักผ่อนชั้นบนสุด เส้นหมี่พลางทานข้าวไปด้วย พลางมองไปยังผู้ชายที่กําลังทานอยู่อย่างช้าๆที่อยู่ด้านหน้า
“ใช่แล้ว พี่สาวพวกเขาจะจัดงานแต่งงานกันตอนไหน?”
“รีบร้อนอะไรล่ะ?”
คนคนนี้พูดออกมาอย่างไม่เดือดร้อนอะไรหนึ่งประโยค
เส้นหมี่ได้วางตะเกียบลงแล้ว:“จะไม่รีบร้อนได้อย่างไร ตั้งครรภ์แล้ว ถ้ายังไม่จัดงานแต่งงาน งั้นก็คงจะไม่ได้ใส่ชุดเจ้าสาวแล้ว ถึงเวลานั้นจัดงานแต่งงาน ไม่แน่แม่สามีของเธอคนนั้นจะว่าอะไรเธออีก”
เธอรู้สึกเดือดดาล เมื่อพูดถึงผู้หญิงแปลกประหลาดคนนั้น ยิ่งโมโหเป็นอย่างมาก