ราชันเร้นลับ 1230 : แล้วพบกันใหม่

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ไคลน์ลองสวมบทบาทเป็นหมาป่าอสูรทมิฬโดยอาศัยประสบการณ์ส่วนตัว

อันดับแรก มันต้องยกเลิกระบบตอบรับอัตโนมัติเพื่อมิให้ศัตรูระบุตำแหน่งจากการตอบสนอง

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เมื่อเผชิญกับคำสวดวิงวอนแปลกหน้า สิ่งที่ต้องทำคือการจับตามองอีกฝ่ายผ่าน ‘จุดแสง’ เพื่อยืนยันสถานการณ์ จะได้เตรียมวางแผนรับมือในอนาคตได้อย่างถูกต้อง

หากผู้สวดวิงวอนเป็นตัวตนทรงพลังอย่างอามุนด์หรือสูงกว่า ทางเลือกเดียวคือการรีบสลายจุดแสงดังกล่าวทิ้งไป แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นตัวตนอ่อนแอและไม่มีพิษภัย หมาป่าอสูรก็คงจับตามอง ‘เหยื่อ’ เป็นเวลานานจนมั่นใจและหาทางตอบโต้ พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปรกติของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา หรืออย่างน้อยไคลน์ก็เชื่อเช่นนั้น

ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายที่สวดวิงวอนสามารถถูกผู้ที่ถูกเอ่ยนาม ‘ทำเครื่องหมาย’ ไว้บนจุดแสงได้ และนั่นอาจทำให้ผู้สวดวิงวอนเสียชีวิตขณะกำลังนอนหรือในตอนที่ประมาทโดยไม่รู้ตัว ไม่ต่างอะไรกับการยื่นมีดให้อีกฝ่ายเชือดตนอย่างง่ายดาย สถานการณ์ดังกล่าวจึงมีแต่ผลดีกับหมาป่าอสูรทมิฬ แทบไม่มีผลเสียแม้แต่น้อย

โคทาร์จะมองว่าเป็นกลอุบายในตอนต้นและไม่กล้าสร้างการเชื่อมต่อกับไคลน์จากระยะไกล แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนโคทาร์มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวตนอ่อนแอที่มีออร่าของปราสาทต้นกำเนิด มันจะหาโอกาสจู่โจมทีเผลอด้วยการลงมือระยะไกลผ่านจุดแสงที่ทำเครื่องหมาย

วิธีนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ไคลน์มองเป็นจุดแข็งของตัวเองเหนืออามุนด์มันอ่อนแอกว่า

ปัญหาเพียงอย่างเดียวในแผนคือ ไคลน์ทำได้แค่รอให้หมาป่าอสูรทมิฬเป็นฝ่ายลงมือก่อน และเนื่องจากทุกการกระทำจะถูกเฝ้าจับตามองอย่างถี่ถ้วนเป็นเวลานาน แทบไม่มีโอกาสที่ไคลน์จะได้เตรียมตัวหรือวางกับดักล่วงหน้า ในวินาทีที่โคทาร์ตัดสินใจลงมือ ชายหนุ่มจะกลายเป็นหุ่นเชิดในพริบตาและมิอาจเอาตัวรอด

ฟู่ว…การทำแบบนี้จะช่วยให้เราล่อเหยื่อสำเร็จก็จริง แต่นายพรานก็จะตายไปด้วย…ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด…แต่ถ้าหากไม่ทำตัวให้ดูเสียเปรียบและอ่อนแอเข้าไว้ คงเป็นเรื่องยากที่จะหลอกล่อเทวทูตเส้นทางนักทำนาย หมาป่าอสูรทมิฬขี้ระแวง…แถมวิธีนี้ยังไม่สามารถใช้หุ่นเชิดหรือภาพฉายทำหน้าที่แทน…และเราก็ไม่รู้ว่าหมาป่าอสูรทมิฬจะโจมตีเข้ามาจริงไหม หรือจะเอาแต่เฝ้ามองอยู่เช่นนั้น…ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พยายามตัดตัวเลือกออกให้เหลือเพียงสิ่งที่ดีที่สุด

คิดถึงตรงนี้ มันนึกเสียดายที่ตนไม่ใช่เทวทูตของเส้นทางผู้ชม

จากการวิเคราะห์ของไคลน์ เทวทูตเส้นทางผู้ชมน่าจะมีคุณสมบัติพิเศษทำนองว่า ‘ยิ่งถูกรู้จัก ยิ่งรู้จักอีกฝ่าย’ กล่าวคือถ้าหมาป่าอสูรทมิฬทำการเฝ้ามองผ่านจุดแสงจนลงเอยด้วยการ ‘รู้จัก’ เทวทูตเส้นทางผู้ชม ตำแหน่งของโคทาร์ก็จะถูกเปิดเผยให้ ‘เหยื่อ’ ทราบทันที

แต่น่าเสียดายที่เราไม่ใช่…นอกจากนั้นยังไม่แน่ใจว่าเทวทูตลำดับสองสามารถทำได้ไหม ที่เรามั่นใจมีเพียงลำดับหนึ่ง…อัญเชิญ ศูนย์-ศูนย์แปด ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์? ยังไม่ต้องพูดเรื่องอัญเชิญสำเร็จหรือไม่เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากการเดินทางของกรอซาย ต่อให้อัญเชิญภาพฉายออกมาสำเร็จ แต่ปากกาก็ยังเป็นคนละสิ่งกับตัวเรา หมาป่าอสูรทมิฬที่มองเห็นเราไม่จำเป็นต้องมองเห็น ศูนย์-ศูนย์แปด…แถมเรายังอัญเชิญออกมาได้ไม่เกินสองนาที เวลาแค่นั้นไม่มากพอที่จะสร้างอิทธิพล…แต่เราสามารถใช้มันเป็นอุปกรณ์เสริมในแผนการได้ เขียนเรื่องราวที่ต้องการโดยทำให้โคทาร์เชื่อว่าเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผล นั่นจะช่วยตัดตัวแปรออกไปได้มากมาย…ไคลน์ยังคงไม่พบวิธีล่อเหยื่อแม้จะเค้นสมองคิดอย่างหนัก

นอกจากการนึกเสียดายที่ตนไม่ใช่เทวทูตลำดับหนึ่งของเส้นทางผู้ชม ไคลน์ยังนึกถึงประเด็นเกี่ยวกับอวกาศ

แค่ ‘รู้จัก’ อวกาศก็มากพอจะทำให้ถูกกัดกร่อน!

หากเรามีคุณสมบัติแบบเดียวกับอวกาศ หมาป่าอสูรทมิฬจะถูกกัดกร่อนทันทีที่รู้จักเรา และช่วยให้เราระบุพิกัดอีกฝ่ายได้ทันที…แต่อวกาศมีระดับตัวตนสูงกว่าเทวทูตด้วยซ้ำ จะไปมีคุณสมบัติแบบนั้นได้ยังไง…ดูเหมือนว่าความทรงจำของเราจะขาดหายไปบางส่วน…ไคลน์ส่ายหน้าพลางกวาดสายตาไปรอบตัว

“ยังไม่ต้องรีบตอบคำถามตอนนี้ พวกคุณสามารถกลับไปปรึกษาคนอื่นเพื่อช่วยกันเลือกวิธีที่ดีที่สุด”

ประโยคดังกล่าวสื่อถึงเลียวนาร์ดและแคทลียาเป็นหลัก ไคลน์หวังว่าจะได้ฟังความเห็นของราชินีเงื่อนงำกับพาลีสโซโรอาสเตอร์

สำหรับตัวไคลน์เอง มันเตรียมจะเดินทางกลับเบ็คลันด์ในสถานะภาพฉาย จากนั้นก็ขอคำปรึกษาจากมิสผู้ส่งสาร วิลอัสติน และมาดามอาเรียนน่า

สิ่งนี้เรียกว่าการขอคำปรึกษาจากเหล่ารุ่นพี่เทวทูตและกึ่งเทวทูตก่อนลงมือ…ไคลน์รำพันจิกกัดตัวเอง

เดอะสตาร์และเฮอร์มิทพยักหน้ารับทันทีที่ได้ยิน

“ตกลง”

จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ ชุมนุมทาโรต์ยุติลงหลังจากสมาชิกทุกคนแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับสงครามเสร็จ

กลับถึงโลกความจริง เลียวนาร์ดที่พักในชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล เปล่งเสียงต่ำเพื่อเล่าคำถามจากไคลน์และตบท้ายว่า

“ตาแก่…คุณมีความเห็นอย่างไร”

“เขาพยายามช่วงชิงตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ที่ยังเหลือในดินแดนเทพทอดทิ้ง…” พาลีสโซโรอาสเตอร์ขำแห้งหลังจากเข้าใจเจตนา “บอกกับอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าว่า เขาไม่มีทางทำเรื่องนี้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว…ข้ามีเพียงหนึ่งคำแนะนำเท่านั้น จงขอความช่วยเหลือจากเดอะฟูลซะ!”

เลียวนาร์ดยิ่งคำถามใหม่เนื่องจากรู้จักนิสัยของตาแก่เป็นอย่างดี

“มีแค่คำแนะนำเดียวจริงหรือ?”

พาลีสโซโรอาสเตอร์กระแอมแห้ง

“นั่นเป็นถึงสัตว์ในตำนานที่แม้แต่อามุนด์ยังล่าไม่สำเร็จ…ไม่มีตัวเลือกใดปลอดภัยการขอความช่วยเหลือจากเดอะฟูลอีกแล้ว”

เลียวนาร์ดพยักหน้าพลางถอนหายใจ

“คงทำได้แค่นี้จริงๆ สินะ…”

สองวันถัดมา สองนาทีก่อนจะถึงเวลานัดที่เอ็มลินตกลงกับมาริค

เมจิกเชี่ยนฟอร์สกำลังนอนบนเก้าอี้เอนหลังข้างเตาผิง จากนั้นก็หันไปคุยกับซิลพลางฟังความเคลื่อนไหวจากชั้นบน

“ถ้าสงครามยังดำเนินต่อไป เบ็คลันด์จะต้องเสียหายหนักกว่านี้แน่…เธอไม่คิดจะย้ายแม่กับน้องไปอยู่ในแถบชนบทจริงหรือ?”

ผมสั้นสีทองของซิลถูกหวีแสกอย่างเรียบร้อยแต่ไม่สมมาตร บรรยากาศรอบตัวดูเคร่งขรึมขึ้นมากเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อน ปัจจุบันหญิงสาวมีมาดคล้ายกับผู้พิพากษา คล้ายกับอัศวินระดับสูงที่คอยปกครองอัศวินอีกทอด

เธอลังเลอยู่พักหนึ่ง

“หมู่บ้านแถบชนบทมีจำนวนประชากรสูงเกินกว่าจะรับไหวแล้ว นอกจากนั้น การที่ยังมีกินทุกวันนี้ได้เป็นเพราะอาหารจาก เอ็มไอเก้า”

หญิงสาวเว้นวรรคเมื่อเล่าถึงตรงนี้

“ถ้าเปลวไฟแห่งสงครามลามมาถึงเบ็คลันด์จริง…คงรบกวนเธอช่วย ‘เทเลพอร์ต’ พวกเขาไปยังอินทิสหรือไม่ก็เฟเนพ็อต…”

“นั่นสินะ คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว…” ขณะเตรียมเล่าเรื่องที่เธอไปซื้ออาหารจากอินทิสเมื่อไม่กี่วันก่อน ฟอร์สได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก

หญิงสาวสั่นสะท้านไปทั้งร่างพร้อมกับรีบเหยียดตัวตรง เธอเหยียดแขนขวาซึ่งผูกเชือกสีแดงออกไปจับคว้าอากาศ

แขนของเธอทรุดทรงขณะดึงเกอร์มันสแปร์โรว์ผู้แต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและเสื้อกันลมออกมา

นักผจญภัยผู้น่าสะพรึงเริ่มกลอกตาอย่างมีชีวิตชีวา ช่วยลดทอนการเผาผลาญพลังวิญญาณของฟอร์ส

มันพยักหน้าแผ่วเบาพร้อมกับเปลี่ยนให้ถุงมือข้างซ้ายกลายเป็นโปร่งใส

ภายในไม่กี่วินาที เกอร์มันสแปร์โรว์เทเลพอร์ตหายไปจากหอพักเช่าของซิลและฟอร์ส

“…” ฟอร์สหมดคำจะกล่าวด้วยมุมปากสั่นกระตุก จากนั้นก็หันไปหาซิลและพูด “ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่เครื่องมือ…”

โคมไฟถนนยังปิดอยู่ทั้งที่ฟ้าเริ่มมืด มีเพียงแสงจันทร์สีแดงที่คอยมอบแสงสว่างไปทั่วเมือง

เมื่อมาถึงจุดนัดพบ ไคลน์ใช้เวลาหลายวินาทีในการกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อสำรวจถนนอันเปล่าเปลี่ยวผิดวิสัย สำรวจอาคารที่มีรอยไหม้บนผนังและซากตึกถล่มที่อยู่ห่างไม่ไกล

เพียงได้เห็นก็ทราบทันทีว่ากรุงเบ็คลันด์กำลังอยู่ในสภาพทรุดโทรมและเต็มไปด้วยกลิ่นควันดินปืน

เอ็มลินเดินออกจากตรอกแห่งหนึ่งพร้อมกับพยักหน้าให้นักผจญภัยเสียสติ

ตามที่เกอร์มันสแปร์โรว์กำชับ เอ็มลินมิได้ทักทายหรือคำนับ เพียงรีบนำทางไปยังบ้านหลังใกล้เคียงเพื่อไม่ให้เวลาอันแสนมีค่าของนักผจญภัยเสียสติถูกผลาญไปอย่างเปล่าประโยชน์ จากนั้นก็เคาะประตูเป็นจังหวะ

ประตูเปิดออกด้วยตัวเองพร้อมกับเสียงเสียดสี เผยให้เห็นความมืดที่เจือปนแสงจันทร์เล็กน้อย

พวกมันเห็นมาริคในเชิ้ตขาวกั๊กดำนั่งอยู่บนโซฟาทันทีที่เดินเข้าไป ส่วนประตูด้านหลังก็เปิดลงด้วยตัวเองราวกับชีวิต

เอ็มลินยิ้มและชี้มาทางไคลน์หลังจากสำรวจมาริค

“พวกพ้องของผม เกอร์มันสแปร์โรว์”

ทันทีที่กล่าวจบ เอ็มลินสัมผัสได้ทันทีว่ามาริคมองตนด้วยสายตาแปลกประหลาด ราวกับกำลังจ้องไอ้งั่งคนหนึ่ง

“ไม่ได้พบกันนาน” มาริคลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกมือทาบอกคำนับเชอร์ล็อกโมเรียตี้

แต่มันมิได้เอ่ยชื่อเนื่องจากอีกฝ่ายปรากฏกายในรูปลักษณ์อื่น

“นานแล้วสินะ” ไคลน์ถอนหมวกพลางกวาดสายตา “มิสชารอน ออกมาคุยกันเถอะ ผมมีเวลาไม่มาก”

มันหยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาเป่าหลังจากกล่าวจบ

ร่างของสตรีแต่งกายในเดรสสีเข้มซับซ้อน สองมือถือสี่หัวทองตาแดง เดินออกจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน

มิสผู้ส่งสารซึ่งถูกเรียกออกจากภาพฉายฮาร์โมนิก้าคือตัวจริง จึงไม่เป็นภาระต่อพลังวิญญาณของฟอร์ส

มาริคพยักหน้า

“ตกลง”

มันจ้องไปทางเก้าอี้สูงไร้พนักอีกฝั่งของห้อง

เอ็มลินจ้องวิญญาณอาฆาตด้วยสายตาว่างเปล่าสักพัก จากนั้นก็หันไปทางเกอร์มันสแปร์โรว์และสิ่งมีชีวิตที่อีกฝ่ายอัญเชิญ ด้วยเหตุผลบางประการ มันสัมผัสได้เลือนรางว่าตนเป็นส่วนเกิน

ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นอย่างรวดเร็วบนเก้าอี้สูง ผิวกายละเอียดประหนึ่งตุ๊กตา สวมเดรสสีดำซับซ้อนและหมวกอ่อนใบเล็กเหนือศีรษะ ผมสีทองซีด ดวงตาสีฟ้าลุ่มลึก

……………….