อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1271 ขาดแคลนเงิน

ตำหนักทอง

กู้ชูหน่วนสวมเสื้อคลุมลายมังกรเก้าเล็บ บนพระเศียรสวมพระมาลา สวมฉลองพระบาทมังกร นั่งอยู่บอ๋องเสวี่ยฉินนบัลลังก์มังกร

ด้านล่างมี อ๋องเสวี่ยฉินกับซูเฉิงเซี่ยงเฉิงเซี่ยงยืนนำเหล่าขุนนางคุกเข่าทำความเคารพ

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

เสียงพูดดังลั่น กึกก้องก้องไปทั่ววังหลวง ฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิม

กู้ชูหน่วนนั่งบนบัลลังก์มังกร มองลงไปทางเหล่าขุนนางด้านล่างที่ยืนเรียงรายราวมด ทุกสิ่งในแคว้นน้ำแข็งกลายเป็นของนางในชั่วข้ามคืนเดียว

แค่เพียงนางเอ่ยปาก ทั่วใต้หล้าไม่มีใครกล้าขัดขืน

ความรู้สึกเช่นนี้ดียิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนต่างก็อยากเป็นราชินี

แม้แต่นางเอง หลังจากได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรแล้ว ยังรู้สึกว่าสถานะของนางสูงส่งขึ้นทันที

“ลุกขึ้นได้”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ขันทีป่าวประกาศเสียงแหลม “มีฎีการีบยื่น ถ้าไม่มีอะไรก็สิ้นสุดการประชุมได้”

เหล่าขุนนางมองหน้ากันไป มองหน้ากันมา ทุกคนต่างข่มกลั้นคำพูดไว้มากมาย แต่พวกเขาไม่กล้าพูดออกมา ไม่รู้ว่ายังอยู่ภายใต้สงครามนองเลือดอยู่หรือไม่

ตำหนักทองตกอยู่ในความเงียบ

กู้ชูหน่วนมองลงไป ขุนนางเหล่านี้นางล้วนไม่รู้จัก มีเพียงหยางโม่กับอ๋องเสวี่ยฉินเท่านั้นที่พอจะคุ้นเคย

หยางม่านเองก็ยืนอยู่ในท้องพระโรงด้วย ถึงแม้จะเก็บซ่อนอารมณ์ไว้อย่างดี แต่ความเกลียดชังในแววตาของเขาก็ยังชัดเจน กู้ชูหน่วนเองก็ไม่รู้ว่านางทำอะไรให้นางแค้นเคืองใจ แคว้นน้ำแข็ง

ตั้งแต่อดีตแคว้นน้ำแข็งก็มีหญิงสาวขึ้นครองราชย์

ในช่วงนั้น นางยังไม่ได้กลับคืนสถานะของตนเอง และราชินีองค์ก่อนก็ไม่มีทายาท มีเพียงเจ้าหญิงที่รับมาเลี้ยงองค์เดียวก็คือหยางม่าน

ดังนั้นนางจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทโดยตรง จึงมีสิทธิ์เข้าว่าราชการพร้อมกับเหล่าขุนนาง

“ข้าขึ้นว่าราชการวันแรก ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่มีเรื่องจะรายงาน มีเรื่องอะไรก็พูดออกมา”

แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก อ๋องเสวี่ยฉินกับหยางโม่มองหน้ากัน

อ๋องเสวี่ยฉินจึงเอ่ยพูดขึ้นมา “ฝ่าบาท ราชินีองค์ก่อนถูกคนทรยศปลิดชีพ และยังไม่ได้จัดทำพิธี กระหม่อมขอให้ทำพิธีฝังพระบรมศพอย่างยิ่งใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าอนุญาต”

ไม่ว่านางจะยอมรับหรือไม่ หญิงผู้นั้นก็คือมารดาของนาง

จัดพิธีอย่างใหญ่หลวงก็ไม่ผิด

อ๋องเสวี่ยฉินรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ฝ่าบาท คนทรยศที่ปลอมตัวเป็นราชินีองค์ก่อนทำการปกครองบ้านเมืองเป็นเวลาสามปี อีกทั้งคลังสมบัติก็ถูกนาง… ตอนนี้คลังสมบัติขาดแคลน ให้จัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ กระหม่อมเกรงว่า…”

กู้ชูหน่วนกรอกตามองบน

คลังสมบัติขาดแคลนเจ้าก็พูดออกมาให้เร็วสิ

ไม่มีเงินจะจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่อะไรได้

“งั้นก็จัดพิธีเล็กๆ พอ”

“ฝ่าบาท ตั้งแต่อดีตกาลไม่มีกษัตริษ์องค์ใดจัดพิธีฝังพระบรมศพเล็กๆ กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนัก”

“แล้วท่านมีความคิดเช่นใด?”

“เอ่อ……”

อ๋องเสวี่ยฉินเองก็ลำบากใจเช่นกัน

จัดพิธีฝังพระบรมศพอย่างยิ่งใหญ่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก

เขาเองก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้น

ส่วนแคว้นน้ำแข็ง สามปีมานี้ชาวบ้านลำบากลำเค็ญ ถ้าเก็บภาษีอีก ชาวบ้านคงต้องตายแน่

ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้นยืน แล้วกราบบังคมทูลว่า “ฝ่าบาท เราสามารถเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากราษฎรพ่ะย่ะค่ะ”

หยางโม่รีบคัดค้านทันที “ทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด ภาคเหนือของแคว้นน้ำแข็งประสบปัญหาภัยแล้งติดต่อกันสามปี ภาคใต้ประสบปัญหาน้ำท่วม ปัญหาการแพร่ระบาดของตั๊กแตน ส่งผลให้ชาวบ้านไม่มีผลผลิต หลายเมืองมีชาวบ้านหิวตายแล้ว ถ้าเก็บภาษีอีก ชาวบ้านอาจจะก่อความไม่สงบได้

พอพูดถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติ แม้ว่าเหล่าขุนนางจะไม่กล้ายื่นฎีกา แต่ก็ยังอยากจะลองยื่นฎีกาดู

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีฎีกาจะยื่นพ่ะย่ะค่ะ สิบสองเมืองภาคเหนือกำลังประสบภัยแล้ง ชาวบ้านขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ มีหลายหมู่บ้านกระหายหิวน้ำตาย ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกคำสั่งให้ส่งน้ำไปช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ “

กู้ชูหน่วนยังไม่ตอบ ให้ทุกคนพูดทุกสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูดออกมาให้หมด นางไม่ได้ตำหนิ

เหล่าขุนนางจึงกล้าไปรายงานทุกอย่างออกมา

“ฝ่าบาท สถานการณ์ภัยพิบัติในยี่สิบสี่เมืองภาคใต้เลวร้ายยิ่งกว่า ต้องการจัดสรรเงินจากราชสำนักอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท โรคระบาดทางตะวันออก ได้แพร่ระบาดไปหลายเมือง เริ่มควบคุมไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท เมืองเกาทั้งเมืองถูกกลุ่มกบฏทำลายไปทั่ว ตอนนี้เมืองเกากลายเป็นเมืองว่างเปล่า จำเป็นต้องทำการสร้างใหม่อย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท เงินเดือนของเหล่าทหารค้างชำระมาสามปีแล้ว เหล่าทหารต่างก็ถามว่าเมื่อใดราชสำนักจะจัดสรรเงินให้พ่ะย่ะค่ะ”

“…”

เหล่าขุนนางกล่าวรายงานออกมาอย่างติดต่อกัน กู้ชูหน่วนเข้าใจแล้ว แต่ละคน ต่างก็ต้องการเบิกเงินจำนวนมาก

“พวกเจ้ารายงานมาเยอะเช่นนี้ ตอนนี้ในคลังมีเงินเหลือเท่าไหร่”

“ทูลฝ่าบาท ยังมีเงินอยู่หนึ่งแสนตําลึงพ่ะย่ะค่ะ”

กู้ชูหน่วนแทบจะลุกขึ้นยืน

หนึ่งแสนตําลึง?

นี่ล้อนางเล่นหรือไง